นับวัน การเซ็ตอัพชุดเครื่องเสียงไว้ฟังเพลง “แบบเน้นคุณภาพเสียง” สามารถทำได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ แค่ตั้งโจทย์ความต้องการของคุณไว้ใหัชัดเจนเท่านั้น การจัดชุดเครื่องเสียงเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นก็เป็นเรื่องไม่ยากแล้วสำหรับปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณตั้งหลักว่าจะใช้ “ไฟล์เพลงดิจิตัล” เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณแค่อย่างเดียว แบบนี้มีวิธีจัดชุดเครื่องเสียงแบบเรียบง่ายแต่เน้นคุณภาพเสียงได้สบายๆ
สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต + ออล–อิน–วัน แอมปลิฟาย + ลำโพง
ข้างบนนี้เป็นซิสเต็มที่เรียบง่ายแต่เน้นคุณภาพเสียงในแนว minimalist ซึ่งจริงๆ แล้ว แค่แอมปลิฟายแบบ all-in-one ที่มีสตรีมเมอร์ในตัว + ลำโพง ก็สามารถใช้ฟังเพลงได้แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าเน้นคุณภาพเสียงที่อยู่ในระดับที่เรียกว่า “ดี” สำหรับมาตรฐานไฮไฟฯ ผมแนะนำให้ใช้สมการแยก 3 ชิ้นคือ “สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต + ออล–อิน–วัน แอมปลิฟาย + ลำโพง” จะได้ทั้งความยืดหยุ่นในการแม็ทชิ่งและไฟน์จูนมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่เหนือกว่าด้วย
ตัวแรกคือ “สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต” นั้น มันจะทำหน้าที่ดึงไฟล์เพลงจากผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ตและไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสบนเน็ทเวิร์คที่คุณเก็บไว้มาเล่น เสร็จแล้วส่งเป็นสัญญาณดิจิตัล PCM หรือ DSD ไปให้กับ “ภาค DAC” ซึ่งอยู่ในตัว “แอมป์ all-in-one” ให้ทำหน้าที่แปลงเป็นสัญญาณอะนาลอก แล้วจัดส่งต่อให้กับภาคปรีแอมป์+เพาเวอร์แอมป์ซึ่งก็อยู่ในตัวแอมป์ all-in-one นั่นแหละ ให้ช่วยขยายสัญญาณอะนาลอกนั้นให้มีความแรงมากพอเพื่อส่งไปขับลำโพงออกมาเป็นเสียงเพลงให้เราฟัง
ซิสเต็มที่ใช้สมการแยก 3 ชิ้นแบบนี้ นอกจากจะทำให้ “เสียงดี” ได้ไม่ยากแล้ว มันยังเปิดโอกาสให้คุณสามารถ “อัพเกรด” ประสิทธิภาพเสียงของซิสเต็มให้สูงขึ้นได้ง่ายๆ อีกด้วย เป็นการเล่นเผื่ออนาคต ซึ่งส่วนที่สามารถขยับอัพเกรดไปต่อก็คือ ภาค DAC กับลำโพง ส่วนตัวที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตนั้น คุณสามารถใช้ต่อเนื่องไปได้อีกนานถ้าคุณเริ่มต้นด้วยรุ่นที่มีคุณภาพดีหน่อย..
ZENmini S MK3 ตัวนี้ เป็นทุกอย่างให้คุณแล้ว.!!
อุปกรณ์ที่ใช้งานในกระบวนการสตรีมมิ่งมันมีความสลับซับซ้อนมาก บางตัวเรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร.? ส่วนตัวแล้ว ผมจะพิจารณาตรง “หน้าที่” ของมันเป็นหลักแล้วค่อยกำหนดชื่อเรียกให้ตรงกับหน้าที่ของมัน ยกตัวอย่าง Innuos รุ่น ZENmini S MK3 ตัวนี้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประเภทที่ผมอยากจะเรียกว่า “ออล–อิน–วัน มิวสิค สตรีมเมอร์” เพราะมันมีหน้าที่การทำงานถึง 4 ส่วน อยู่ในตัว ได้แก่
1. เป็น “มิวสิค สตรีมเมอร์” (Music Streamer) เพราะมี “ภาค DAC” อยู่ในตัว และให้ช่อง analog out มาด้วย
2. เป็น “สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต” (Streaming Transport) เพราะมีช่อง digital out มาให้
3. เป็น “ซีดี ริปเปอร์” (CD Ripper) ที่สามารถริปสัญญาณเพลงในแผ่นซีดีให้ออกมาเป็นไฟล์เพลงได้
4. เป็น “มิวสิค เซิร์ฟเวอร์” (Music Server) ที่มีไฟล์เพลงอยู่ในตัว และสามารถส่งไฟล์เพลงไปให้เพลเยอร์ตัวอื่นที่อยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกันได้
ZENmini S MK3 ในคราบของ “มิวสิค สตรีมเมอร์“
ความหมายของ “Music Streamer” (มิวสิค สตรีมเมอร์) ก็คือ อุปกรณ์เครื่องเสียงที่สามารถดึงไฟล์เพลงจากภายนอกเครื่อง อย่างเช่น จาก NAS, จาก USB flash drive และจากเซิร์ฟเวอร์บนอินเตอร์เน็ต (TIDAL, Spotify, internat radio) เข้ามาเล่นออกมาเป็นสัญญาณดิจิตัล (PCM, DSD) แล้วนำสัญญาณนั้นมาผ่านภาค DAC ที่อยู่ในตัวเพื่อแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอก ก่อนจะปล่อยออกไปทางช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุต (RCA, XLR) ของมันเอง สรุปง่ายๆ Music Streamer (มิวสิค สตรีมเมอร์) มีสถานภาพเทียบเท่ากับ เครื่องเล่นซีดี (CD Player) นั่นเอง

ภาค DAC ในตัว ZENmini S MK3 ใช้ชิปของค่าย TI เบอร์ PCM5102 ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตัลให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก ก่อนจะปล่อยออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกฟอร์แม็ตอันบาลานซ์ (ซิงเกิ้ลเอ็นด์) ผ่านทางขั้วต่อ RCA ที่อยู่ด้านหลังของตัวเครื่อง (ในวงกลม) ซึ่งชิป PCM5102 ตัวนี้ถูกกำหนดให้รองรับสัญญาณดิจิตัลที่เป็นฟอร์แม็ต PCM ได้สูงสุดอยู่ที่ 24/192
ZENmini S MK3 ในคราบของ “สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต“
คุณสมบัติด้านนี้ของ ZENmini S MK3 ก็เหมือนกับคุณสมบัติทางด้าน Music Streamer ทุกอย่าง คือสามารถดึงไฟล์เพลงจากแหล่งเก็บไฟล์ภายนอกเข้ามาเล่นได้ ยกเว้นที่ต่างกันก็คือ Streaming Transport จะไม่ส่งสัญญาณ PCM, DSD ไปผ่านภาค DAC ในตัว คือหลังจากทำการ “เล่น” (decode) กับไฟล์เพลงเหล่านั้นจนได้ออกมาเป็นสัญญาณดิจิตัล PCM หรือ DSD แล้ว มันจะส่งออกสัญญาณ PCM, DSD เหล่านั้นไปให้กับภาค DAC ภายนอกผ่านทางช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่ให้มา

ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่เป็นเมนหลักของ ZENmini S MK3 คือช่องเอ๊าต์พุต USB (วงกลมสีเขียว) เพราะเป็นช่อง USB v2.0 ที่มีความสามารถในการส่งผ่านสัญญาณได้สูงสุดเมื่อเทียบกับช่องดิจิตัล เอ๊าต์อีกสองช่องที่ให้มาด้วย นั่นคือช่อง USB จะส่งออกสัญญาณ PCM ได้สูงสุดถึงระดับแซมเปิ้ลเรต 768kHz ด้วยความละเอียดของบิทตั้งแต่ 16bit, 24bit และ 32bit และส่งออกสัญญาณ DSD ได้สูงถึงระดับ DSD512 (แบบ native) ส่วนช่องเอ๊าต์พุต coaxial และ optical อีกสองช่องในวงกลมสีแดงที่ให้มานั้นรองรับการส่งออกสัญญาณได้แค่สัญญาณ PCM มาตรฐาน S/DIF ที่รองรับสเปคฯ ของสัญญาณที่สูงสุดได้แค่ 24/192 เท่านั้น สองช่องนี้มีประโยชน์ในกรณีที่นำ ZENmini S MK3 ไปใช้กับ DAC ยุคเก่าที่มีแค่อินพุต coaxial และ optical และรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้ไม่เกิน 24/192
ZENmini S MK3 ในคราบของ “CD Ripper”

ใครเห็นหน้าตาของ ZENmini S MK3 ก็คงจะพอเดาได้ว่ามันน่าจะต้องทำอะไรกับแผ่นซีดีได้สักอย่าง เพราะที่ด้านหน้าของตัวเครื่องมีช่องยาวๆ ที่ดูเหมือนช่องสล็อตสำหรับใส่แผ่นซีดีอยู่ตรงนั้น ซึ่งก็คือช่องใส่แผ่นซีดีจริงๆ แต่ไม่ใช่สำหรับเล่นเพลงเหมือนเครื่องเล่นซีดี มันคือช่องใส่แผ่นซีดีสำหรับริปสัญญาณ PCM บนแผ่นซีดีออกมาเป็นไฟล์เพลงนั่นเอง และนี่ก็คือความสามารถที่ทำให้ต้องร้องว้าวว.. สำหรับ ZENmini S MK3 ตัวนี้.!!

บนแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Sense ที่ Innuos ออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ยูสเซอร์ใช้ในการควบคุมสั่งงานผลิตภัณฑ์ของพวกเขานั้น เมื่อคุณเข้าไปที่หน้า SYSTEM ของแอพฯ คุณจะพบกับหน้าโฮมฯ ของ SYSTEM ตามแบบภาพข้างบนนี้ ซึ่งในนั้นคุณจะเห็นปุ่มฟังท์ชั่น DISC RIPPER (ศรสีแดง) ที่เก็บคำสั่งในการริปแผ่นซีดี กับหัวข้อ STORAGE (ศรสีฟ้า) ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้แสดงระดับความจุของฮาร์ดดิสที่อยู่ในตัว ZENmini S MK3 ซึ่งเอาไว้สำหรับเก็บไฟล์เพลงที่ได้จากการริปจากแผ่นซีดี และจากการ IMPORT ไฟล์เพลงที่อยู่ในฮาร์ดดิสภายนอกเข้ามาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสที่ว่านี้ โดยที่ตอนซื้อ ZENmini S MK3 คุณสามารถสั่งระดับความจุของฮาร์ดดิสในตัวได้จากตัวเลือก 1TB, 2TB หรือ 4TB ซึ่งแน่นอนว่าราคาต่างกัน ถ้าเลือกความจุเยอะราคาก็จะสูงขึ้นไปตามลำดับ ส่วนฮาร์ดดิสที่ใส่มาให้ในตัว ZENmini S MK3 เป็นฮาร์ดดิสแบบโซลิดสเตท (SSD) ทั้งหมด

พอกดลงไปที่ปุ่ม DISC RIPPER แอพลิเคชั่นจะพาคุณมาที่ตามภาพด้านบนนี้ ซึ่งก่อนจะสอดแผ่นซีดีเข้าไปเพื่อริป แนะนำให้ทำการปรับตั้งค่าในคำสั่งริปให้เสร็จก่อน ซึ่งบนหน้าต่างที่ชื่อว่า Ripping Mode มีอ๊อปชั่นให้เลือกอยู่ 3 หัวข้อ คือ Automatic, Assisted และ MORE OPTIONS ซึ่งสองหัวข้อแรกนั้นเราต้องเลือกว่าจะให้เครื่องทำการริปให้โดยอัตโนมัติมั้ย คือถ้าเลือก Automatic เครื่องจะดูดแผ่นเข้าไปแล้วทำการเลือกภาพปกอัลบั้ม และเลือกรายชื่อเพลงจากอินเตอร์เน็ตมาใส่ให้ในแต่ละแทรคโดยอัตโนมัติ คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ก็อาจจะเสี่ยงกับภาพปกที่ไม่ตรงกับต้นฉบับ หรือไปเอาชื่อเพลงมาใส่ไม่ตรงกับเพลงในอัลบั้มที่กำลังริป


แต่ขั้นตอนแรกที่คุณต้องทำก่อนก็คือให้กดไปที่ MORE OPTION (ภาพบน) เพื่อปรับตั้ง 2 อย่าง อย่างแรกคือ เลือกรูปแบบของ RIPPING SPEED ระหว่าง FAST หรือริปอย่างด่วน เน้นเซฟเวลาส่วนความถูกต้องของข้อมูลที่ได้ก็รองลงมา กับอีกทางเลือกคือ QUIET เป็นการริปแบบช้าๆ โดยเน้นความถูกต้องของข้อมูล (สัญญาณเสียง) ที่ริปออกมามากกว่าเวลาที่ต้องเสียไป (*เขาใช้คำว่า Quiet เพราะแผ่นจะหมุนช้ากว่า จึงได้ยินเสียงแผ่นหมุนเบากกว่าแบบ fast นั่นเอง) ส่วนอีกอย่างคือ RIPPING FORMAT เลือกรูปแบบของไฟล์ฟอร์แม็ตที่ริประหว่าง FLAC กับ WAV ซึ่งผมลองเลือกให้ริปเป็น WAV แล้ว ปรากฏว่ามีปกแผ่นด้วย (*เสียงต่างกันนิดหน่อย ส่วนตัวผมชอบเสียงของ WAV มากกว่า)



หลังจากนั้นค่อยกลับมาเลือก RIPPING MODE ระหว่าง Automatic กับ Assisted ซึ่งตรง Automatic ก็เป็นการสั่งริปแบบเร่งด่วน คือให้แอพฯ เลือกข้อมูลให้ทั้งหมด แต่ถ้าเลือกไปที่ Assisted ซึ่งแอพฯ จะพาคุณข้าไปทำการตรวจสอบความถูกต้องก่อนสั่งริป หรือในกรณีที่อัลบั้มนั้นไม่มีข้อมูลอยู่ในอินเตอร์เน็ต ถ้าเลือกไปที่โหมด Assisted แอพฯ จะพาคุณมาที่หน้า EDIT ALBUM (ภาพกลาง, ศรชี้สีแดง) คุณก็สามารถพิมพ์ชื่อเพลงใส่ลงไปในไฟล์เพลงได้เองในกรณีที่อัลบั้มนั้นไม่มีข้อมูลอยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือต้องการแก้ไขข้อมูลอะไรก็ทำได้ ต้องการตัดบางแทรคออกไปก่อนริปก็ทำได้ นอกจากนั้น ยังเปลี่ยนภาพปกและรายละเอียดอื่นๆ ของอัลบั้มได้อีก (ภาพล่าง) เสร็จแล้วก็กดไปที่ SAVE AND RIP (ลูกศรชี้สีฟ้า) เป็นการบันทึกข้อมูลที่แก้ไขก่อนสั่งริป
ZENmini S MK3 ในคราบของ “Music Server”
เพราะ OS Sense ที่ใช้ใน ZENmini S MK3 มีซอฟท์แวร์ Media Server ที่ใช้มาตรฐาน DLNA/UPnP ติดตั้งอยู่ในตัว ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีไฟล์เพลงเก็บอยู่ใน SSD ในตัว ZENmini S MK3 จะมีสถานะเป็น Music Server โดยอัตโนมัติ หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณเปิดใช้งานแอพลิเคชั่นที่ใช้เล่นไฟล์เพลงที่ใช้มาตรฐาน UPnP บนอุปกรณ์พกพาใดๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกันกับ ZENmini S MK3 คุณจะสามารถดึงไฟล์เพลงที่อยู่ใน SSD ของ ZENmini S MK3 ไปเล่นบนอุปกรณ์พกพาของคุณได้ หรือจะสั่งให้ไปเล่นผ่านอุปกรณ์ตัวอื่นที่อยู่ในเน็ทเวิร์ควงเดียวกันก็ได้ (*คุณสมบัติแบบเดียวกับ Roon ‘nucleus’)
ในฐานะที่เคยทดสอบผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Innuos มาก่อน ชื่อรุ่น PULSE (REVIEW) ซึ่งตัวนั้นก็สร้างความประทับใจให้กับผมมาแล้ว จนถึงขั้นต้องหามาใช้เป็น Streaming Transport ในชุดอ้างอิงที่ใช้ทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงอยู่ในปัจจุบัน วันนี้ได้มาลองทดสอบรุ่น ZENmini S MK3 ตัวนี้แล้ว ต้องบอกเลยว่า แบรนด์นี้เขามีอะไรให้ว้าวว.. ได้ตลอดจริงๆ.!! แต่ก่อนจะเจาะลึกลงไปมากกว่านี้ เรามาดูรูปพรรณสัณฐานของ ZENmini S MK3 กันก่อน
สวย, เรียบง่าย และกระทัดรัด.!


ตัวถังของ ZENmini S MK3 ถูกออกแบบมาได้ตรงกับชื่อรุ่นของมันคือเป็นไซร้มินิที่มีความกว้างของตัวเครื่องประมาณครึ่งหนึ่ง (half-size) เมื่อเทียบกับเครื่องเสียงทั่วไปที่ติดตั้งบนแร็คมาตรฐานหน้ากว้าง 17 นิ้ว ซึ่งต้องนับว่าตัวเครื่องขนาด half-size แบบนี้กำลังเป็นสัดส่วนตัวเครื่องที่เป็นมาตรฐานสากลไปแล้วสำหรับอุปกรณ์ประเภทที่ทำงานกับสัญญาณดิจิตัลในปัจจุบัน
แผงหน้าของ ZENmini S MK3 ถูกออกแบบให้มีความเรียบหรูด้วยผิวหน้าที่มีการเล่นเหลี่ยมมุมสูง–ต่ำ ไม่ได้แบนราบเหมือนเครื่องเสียงธรรมดาทั่วไป และบนนั้นก็มีเพียงปุ่มเปิด/ปิด กับช่องใส่แผ่นซีดีเท่านั้น ในสมุดคู่มือการใช้งานมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิด (On) และปิด (Standby) เครื่องด้วย ซึ่งใช้หลักการเปิด/ปิดคอมพิวเตอร์ คือ short-press = เปิด, long-press = สแตนด์บาย
เทอร์มินัล inputs และ outputs

ช่องอินพุตหลักของ ZENmini S MK3 ก็คือช่อง ‘LAN’ (3) ซึ่งเป็นทั้งช่องทางในการเชื่อมต่อสื่อสารกับ router และรับส่งไฟล์เพลงด้วย ซึ่งตอนเชื่อมต่อสาย LAN ต้องดูดีๆ ต้องต่อที่ช่อง LAN เท่านั้น เพราะอีกช่องที่อยู่ติดกันที่ชื่อ STREAMER นั้นเป็นช่องที่ใช้ปล่อยสัญญาณเน็ทเวิร์คไปให้กับอุปกรณ์ตัวอื่น (คือเป็น network bridge นั่นเอง) ไม่ใช่ช่องรับ ส่วนช่อง USB (2) ทั้งสี่ช่องนั้นเป็นทั้งช่องอินพุตสำหรับดึงไฟล์เพลงเข้ามา และเป็นช่องส่งออกสัญญาณเสียง PCM/DSD ไปที่ external DAC
นอกจากช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต USB แล้ว ยังมีขั้วต่อของสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตอีกสองช่องคือ coaxial (6) กับ optical (7) ที่ถูกแยกออกมาติดตั้งไว้ทางด้านขวาของแผงหลัง (หันหน้าเข้าหาแผงหลังของเครื่อง) รวมทั้งช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุตผ่านขั้วต่อ RCA (8) อีกหนึ่งชุดด้วย ซึ่งทั้งสัญญาณดิจิตัลที่ส่งออกมาทางเอ๊าต์พุต coaxial กับช่อง optical นั้นจะเป็นฟอร์แม็ต PCM ที่มีสเปคฯ สูงสุดอยู่ที่ 24/192 และสัญญาณอะนาลอกที่ส่งออกมาทางเอ๊าต์พุต analog นั้น ก็คือสัญญาณ 24/192 ชุดเดียวกันแต่ผ่านการแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอกด้วยชิป TI เบอร์ PCM5102 นั่นเอง
ภาคจ่ายไฟของ ZENmini S MK3 ให้มาเป็นแบบสวิทชิ่ง อะแด๊ปเตอร์ที่จ่ายไฟ 12V/5.0A โดยเสียบเข้าที่ช่องเสียบเล็กๆ (1) ที่อยู่บนแผงหลัง ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนไปใช้ภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์เพื่ออัพเกรดคุณภาพเสียงได้ (*ของ Innuos ก็มีเป็นรุ่น LPSU)
การติดตั้งใช้งานในการทดสอบ

เดิมทีในซิสเต็มของผมใช้ Innuos รุ่น PULSE เป็น Streaming Transport อยู่แล้ว พอเอา ZENmini S MK3 เข้ามาทดสอบ ผมก็แค่ปลด PULSE ออกแล้วสอด ZENmini S MK3 เข้าไปแทนที่เท่านั้นเอง ซึ่งในซิสเต็ม digital source ของผมมี NAS ที่ผมใช้เก็บไฟล์เพลง PCM 16/44.1 ที่ริปจากแผ่นซีดีและไฟล์ DSD64 ที่ริปจากแผ่น SACD อยู่ในระบบอยู่แล้ว นอกจากนั้น ผมยังสมัคร TIDAL ไว้ด้วย ทั้งสองแหล่งนี้จึงถูกใช้เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณในการทดสอบครั้งนี้ ส่วนทางด้านเอ๊าต์พุตนั้น ผมจะใช้เอ๊าต์พุต USB เป็นหลัก เพราะว่ามันเป็นเอ๊าต์พุตที่ให้สมรรถนะสูงที่สุดในจำนวนช่องเอ๊าต์พุตที่ ZENmini S MK3 ให้มาทั้งหมด
ทางด้าน external DAC ที่รองรับสัญญาณดิจิตัลที่ส่งออกมาจากช่องเอ๊าต์พุต USB ของ ZENmini MK3 ผมมีสลับใช้อยู่ 2 ตัว ตัวแรกคือ Ayre Acoustic รุ่น QB-9 DSD Twenty ซึ่งถูกออกแบบมาให้เอาดีกับอินพุต USB อย่างเดียว กับอีกตัวเป็นของ Mola Mola รุ่น Tambaqui (REVIEW)
ส่วนแอมป์ที่ใช้ทดสอบ ZENmini S MK3 ตัวนี้ผมใช้แต่ปรีแอมป์ของ Mola Mola รุ่น Makua (REVIEW) ที่รองรับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จาก DAC ทางช่อง XLR แล้วส่งออกไปที่อินพุตของแอมป์ที่อยู่ในตัวลำโพง ATC รุ่น SCM100ASL ซึ่งเป็นลำโพงแอ๊คทีฟระดับสตูดิโอ มอนิเตอร์ที่มีเพาเวอร์แอมป์ในตัว กรณีนี้จึงไม่ต้องมีเพาเวอร์แอมป์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จากปรีแอมป์เดินทางมาที่ภาคเพาเวอร์แอมป์ของลำโพง ATC ผ่านการเชื่อมต่อด้วยระบบบาลานซ์ทางขั้วต่อ XLR
เสียงของ ZENmini S MK3 กับการทำงานในโหมด Streaming Transport

ผมทดลองใช้งานช่องดิจิตัล เอ๊าต์ coaxial ของ ZENmini S MK3 โดยต่อเข้ากับช่องดิจิตัล อินพุต coaxial ของอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo230 (REVIEW) ขับลำโพง Totem Acoustic ‘The One’ (ลำโพงวางบนขาตั้ง Codas สูง 24 นิ้ว) ได้เสียงออกมาดีมาก.! เมื่อได้สัญญาณดิจิตัลมาจากทรานสปอร์ตที่มีคุณภาพสูง ทำให้รู้เลยว่า การเอาภาค DAC เข้าไปใส่ไว้ในอินติเกรตแอมป์จะมีข้อดีที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของการปรับจูนระหว่างเอ๊าต์พุตของภาค DAC กับอินพุตของภาคแอมป์ที่มีความแม็ทชิ่งลงตัวกันอย่างมาก ผลของเสียงที่ได้ออกมามันจึงให้ค่าเฉลี่ยในแง่คุณภาพเสียงของแต่ละคุณสมบัติของเสียงออกมาได้น่าพอใจมาก เป็นส่วนผสมระหว่าง “รายละเอียด” กับ “ความน่าฟัง” ในสัดส่วนกลางๆ คือฟังรวมๆ แล้วให้ความเพลิดเพลิน ฟังได้นาน ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็ว ออกแนวกลมกล่อม ไม่ชี้ชัดรายละเอียดออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงกับนัวจนทึบ รายละเอียดในเพลงได้ถูกแจกแจงออกมาให้ได้ยินครบ เพียงแต่ว่า ไทมิ่งของจังหวะมูพเม้นต์ของเพลงที่ไหลลื่นชวนฟังมันครอบงำให้รู้สึกเพลินไปกับลีลาของเพลงมากกว่าที่จะไปสนใจกับรายละเอียดหยุมหยิม.. สรุปคือ เอ๊าต์พุต coaxial ของ ZENmini MK3 ฟังดี มีความเป็นดนตรีสูง.!!
แต่สำหรับคนที่ต้องการ “ความเป็นที่สุด” ต้องให้ ZENmini S MK3 ทำหน้าที่เป็น Streaming Transport โดยใช้วิธีดึงไฟล์เพลงเข้ามาทางเน็ทเวิร์คผ่านทางช่อง LAN, ใช้แอพเพลเยอร์ Sense ของ Innuos เล่นไฟล์เพลงเหล่านั้นแล้วส่งสัญญาณดิจิตัล PCM/DSD ออกไปให้ภาค DAC ที่อยู่ภายนอกผ่านออกทางขั้วต่อ USB ของ ZENmini S MK3 .. นั่นคือไฮไล้ท์ !!

อีกคุณสมบัติหนึ่งที่ ZENmini S MK3 ทำได้ก็คือ สามารถทำตัวเป็น Roon Core ได้ด้วย หมายความว่า คุณสามารถดาวน์โหลด OS ของ Roon มาติดตั้งในตัว ZENmini S MK3 เพื่อทำให้ ZENmini S MK3 ทำหน้าที่ “ทุกอย่าง” แบบเดียวกับฮาร์ดแวร์ Roon ‘nucleus’ นั่นเอง (*ต้องสมัครซื้อบริการรายเดือนหรือรายปีจาก Roon ด้วย) หลังจากติดตั้ง Roon Core ลงบน ZENmini S MK3 แล้ว คุณก็สามารถเลือกได้ว่าต้องการให้ ZENmini S MK3 ทำงานด้วย OS ของ Innuos หรือ OS ของ Roon (สามารถเลือกสลับไปสลับมาได้) และกรณีที่คุณเลือกใช้ OS ของ Roon เสียงที่ออกมาก็จะเปลี่ยนไปตามซอฟท์แวร์ Roon ด้วย
จากการทดลองเล่นไฟล์เพลงด้วยการสลับใช้ระหว่างระบบปฏิบัติการณ์ Roon Core แล้วใช้แอพ Roon Player ในการเล่นไฟล์เพลง กับใช้ Innuos Sense Core ร่วมกับแอพ Innuos ‘Sense’ ในการเล่นไฟล์เพลง ผมพบว่า แอพ Roon Player จะเด่นกว่าในแง่จัดการกับข้อมูลของเพลงได้กว้างขวางกว่า ในขณะที่ Innuos ‘Sense’ ก็มีแต่ยังไม่หวือหวาเท่า แต่ในแง่ “คุณภาพเสียง” นั้น หลังจากทดลองฟังเทียบกันแล้ว ผมพบว่าเสียงของแอพฯ Sense บน OS ของ Innuos ให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมา “ดีกว่า” เสียงของแอพฯ Roon Player บน OS ของ Roon พอสมควร ซึ่งผมคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่า OS และแอพ Sense เป็นซอฟท์แวร์ที่ถูกปรับจูนมากับฮาร์ดแวร์ ZENmini S MK3 นั่นเอง
ในการทดสอบเสียงของ ZENmini S MK3 ครั้งนี้ผมยึดเอาผลลัพธ์ที่ได้จากการเล่นไฟล์เพลงด้วยแอพ Sense ของ Innuos เอง (*โดยเลือกปรับตั้ง ‘System Mode’ ของ ZENmini S MK3 ไว้ที่โหมด ‘Standalone’)
เสียงของ ZENmini S MK3 ในสถานะ ‘Streaming Transport’
หลังจากได้ฟังลองเล่นลองฟัง ZENmini S MK3 ผ่านมาเกือบเดือน ผมพบว่า เสียงที่ได้ยินจากการใช้แอพ Sense เล่นไฟล์เพลงผ่าน ZENmini S MK3 ตัวนี้มันทำให้ผมนึกถึงความรู้สึกตอนที่ผมเปลี่ยนจากการใช้ Roon Core บนคอมพิวเตอร์ MacMini มาเป็น Roon Core บน nucleus+ ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์ที่ Roon ผลิตออกมา ถึงแม้ว่าไส้ในที่เป็นฮาร์ดแวร์ของ Roon ‘nucleus+’ จะเป็นคอมพิวเตอร์ แต่ได้ถูก “ปรับแต่ง” โดยวิศวกรของ Roon เพื่อให้มันมีคุณสมบัติที่ตอบรับกับการทำงานของซอฟท์แวร์ปฏิบัติการณ์ Roon Core ได้อย่างลงตัวมากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ของปฏิบัติการณ์นี้ มันแสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดในแง่ของคุณภาพเสียงที่เหนือตอนฟังผ่านฮาร์ดแวร์ MacMini เยอะมาก.!!
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมต้องเปลี่ยนจาก MacMini มาเป็น Roon ‘nucleus+’ และใช้เป็น source สำหรับอ้างอิงในการทดสอบเครื่องเสียงมาหลายปี และนั่นทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “ซอฟท์แวร์” กับ “ฮาร์ดแวร์” ที่ชัดเจนมากๆ ทำให้เข้าใจได้ว่า สำหรับอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทมิวสิค สตรีมมิ่งนั้น “ซอฟท์แวร์” กับ “ฮาร์ดแวร์” มีผลกับเสียงไม่น้อยไปกว่ากันเลย เผลอๆ จะว่าไปแล้ว มาจนถึงตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่า “ซอฟท์แวร์” มีอิทธิพลต่อ “คุณภาพเสียง” โดยรวมมากกว่าฮาร์ดแวร์ซะอีก.. คิดเป็นสัดส่วนน่าจะราวๆ 60/40 (ซอฟท์แวร์/ฮาร์ดแวร์)

อัลบั้ม : Visual Voice (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Bonnie Koloc
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/105780150?u)

อัลบั้ม : Lost Archive – The Ghost of Johnny Cash (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Johnny Cash
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/90788673?u)
เสียงที่ได้จากสตรีมเมอร์ที่ใช้ “ซอฟท์แวร์ที่ดีกว่า + ฮาร์ดแวร์ไม่ต่างกันมาก” ผลลัพธ์ทางเสียงที่ออกมามันต่างกันค่อนข้างชัด ที่ผมสังเกตได้ก่อนเลยก็คือในแง่ของ ‘resolution’ ของเสียงที่ดีกว่ากัน ยกตัวอย่างจากเสียงร้องของสองอัลบั้มข้างบนที่ได้จากแอพ Sense เมื่อเล่นบนฮาร์ดแวร์ ZENmini S MK3 ตัวนี้มันให้รายละเอียดออกมาสูงมากในระดับที่เมื่อได้ยินเสียงร้องของ Bonnie Koloc และ Johnny Cash แล้วทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงของพวกเขาที่เป็น “คนจริงๆ” กำลังร้องเพลงมากกว่าที่จะรู้สึกว่ากำลังฟังเสียงร้องแห้งๆ ไร้ชีวิตชีวาเพราะเกิดจากการทำงานของแอมป์+ลำโพง.!!
สิ่งที่ผมได้ยินนี้ เป็นไปตามหลักการ Garbage in, garbage out (GIGO) หรือ Rubbish in, rubbish out (RIRO) เป๊ะเลย.! คือต่อให้คุณใช้ external DAC ที่มีคุณภาพเสียงสูงส่งแค่ไหน รวมถึงแอมป์+ลำโพงที่มีสมรรถนะสูงส่งแค่ไหน แต่ถ้าคุณป้อนสัญญาณ “ต้นทาง” ที่มาจากทรานสปอร์ตที่มีคุณภาพแย่ไม่ต่างจากขยะเข้าไปใน external DAC ที่ดีเลิศ เสียงอะนาลอกที่ได้ออกมาจาก external DAC ตัวนั้นก็ยังคงเป็นขยะอยู่ดี และเมื่อขยะนั้นถูกส่งผ่านไปถึงแอมป์และทะลุออกลำโพง เสียงที่ได้ยินก็จะเป็นขยะที่ถูกขยายให้ความไม่ดีนั้นโผล่ออกมาให้ได้ยินชัดขึ้น และตราบใดที่สัญญาณเอ๊าต์พุตที่มาจากทรานสปอร์ตซึ่งเป็นต้นทางมีคุณภาพไม่ดี ต่อให้เราเปลี่ยนไปใช้ external DAC และแอมป์+ลำโพงที่ดีเลิศมากๆ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขความแย่ของสัญญาณที่มาจากต้นทางได้ มิหนำซ้ำ คุณภาพที่ดีมากๆ ของ external DAC + แอมป์ + ลำโพง มีแต่จะฟ้องความแย่ของสัญญาณต้นทางออกมาให้เราได้ยินชัดขึ้นไปอีก..
เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า “คุณภาพของสัญญาณต้นทาง” มีความ “สำคัญมากที่สุด” สำหรับคุณภาพเสียงโดยรวมของซิสเต็มเครื่องเสียง ซึ่งทรานสปอร์ต ZENmini S MK3 ตัวนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นจริงของสัจจะธรรมข้อนี้ออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง..!!

อัลบั้ม : Way Out West (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Sonny Rollins
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/148043840?u)
ต้นทางที่ดีจะต้องให้ความเที่ยงตรงของการถ่ายทอดสัญญาณออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ถ้านี่คือคำกล่าวอ้างในเชิงนามธรรม สิ่งที่ ZENmini S MK3 (ซึ่งเป็นผู้ผลิตสัญญาณต้นทาง) ถ่ายทอดออกมาให้ผมได้ยินก็ควรจะเป็นรูปธรรมของคำกล่าวนี้ได้ สืบเนื่องจากประจักษ์พยานที่ผมได้รับมาจากการทดลองฟังเสียงของอัลบั้มชุด Way Out West ของ Sonny Rollins ด้วยวิธีสตรีมมาจาก TIDAL ซึ่งบน TIDAL มีอัลบั้มนี้ให้เลือกฟังมากถึง 7 เวอร์ชั่น

แต่ละเวอร์ชั่นเป็นไฟล์เพลงที่ทำมาจากมาสเตอร์คนละตัว มีทั้งเวอร์ชั่นธรรมดาของค่าย Concord Music Group (2017), เวอร์ชั่น Deluxe Edition ของค่าย Craft Recordings (2017), เวอร์ชั่นธรรมดาของค่าย Perfidia (1957), เวอร์ชั่น OJC ของค่าย Concord Music Group (2010) และเวอร์ชั่นธรรมดาของค่าย Fantasy (1988) ซึ่งแต่ละเวอร์ชั่นนั้นมีทั้งที่เป็นไฟล์ระดับ HIGH คือ FLAC 16/44.1 และไฟล์ระดับ MAX (FLAC 24/192) ให้เลือกฟัง
หลังจากทดลองฟังเสียงของอัลบั้ม Way Out West ของ Sonny Rollins ทั้ง 7 เวอร์ชั่นนี้จาก TIDAL ด้วย ZENmini S MK3 (ใช้แอพ Sense ของ Innuos เป็นตัวเล่นไฟล์เพลง) ผมพบว่าไฟล์เพลงแต่ละเวอร์ชั่นมันให้เสียงที่แตกต่างกันมากก..!!! อย่างแรกที่รับรู้ได้ชัดมากก็คือ “ระดับความแรงของเกนของสัญญาณ” ที่ผมพบว่า บางเวอร์ชั่นเสียงออกมาเบามากในขณะที่บางเวอร์ชั่นให้เสียงออกมาดังมาก ต่างกันหลายดีบี ทั้งๆ ที่ตั้งวอลลุ่มไว้ที่ระดับเดียวกันตลอด แสดงว่า ZENmini S MK3 มันรายงานคุณสมบัติของไฟล์เพลงแต่ละไฟล์ออกมาได้ถูกต้องตามต้นฉบับมาก จากน้ำเสียงที่ได้ยินมันชวนให้เชื่อว่า การทำงานของซอฟท์แวร์ Sense บวกกับฮาร์ดแวร์ ZENmini S MK3 น่าจะไม่ได้เข้าไปทำการปรับแต่งเสียงของสัญญาณต้นฉบับที่มันเล่น เพราะจากการทดลองฟังผ่าน Roon ‘nucleus+’ เทียบกันผมพบว่า ตอนเล่นผ่านซอฟท์แวร์ Sense + ฮาร์ดแวร์ ZENmini S MK3 มันแสดงความแตกต่างของเสียงจากอัลบั้ม Way Out West แต่ละเวอร์ชั่นออกมาได้ชัดกว่า และให้น้ำเสียงโดยรวมออกมาในลักษณะที่สดและสมจริงมากกว่า..
เวอร์ชั่นที่ให้คุณภาพเสียงออกมาดีที่สุดในจำนวนทั้ง 7 เวอร์ชั่นตามความเห็นของผมก็คือเวอร์ชั่นที่เป็น Original Mix ที่ค่าย Perfidia ทำออกมา (หมายเลข 4) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ให้เกนสัญญาณออกมาแรงกว่าอีก 6 เวอร์ชั่นอย่างชัดเจน ต่างกันเยอะมาก เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นอื่นๆ ผมพบว่าเวอร์ชั่น Original Mix ให้ไดนามิกสวิงที่เปิดกว้าง เสียงโดยรวมติดสว่างเล็กน้อยซึ่งน่าจะเป็นเพราะคุณภาพของมาสเตอร์ ในขณะที่เวอร์ชั่นอื่นอาจจะฟังว่าเสียงนุ่มนวลหูกว่า แต่เกนเบามาก พอเร่งวอลลุ่มขึ้นมาให้ดังพอกัน พบว่า ไดนามิกเร้นจ์สวิงได้ไม่กว้างเท่ากับเวอร์ชั่น Original Mix อีกประเด็นที่ผมชอบเสียงของเวอร์ชั่น Original Mix มากกว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ ก็คืออิมแพ็คของเสียงที่มีการย้ำเน้นที่เด็ดขาด ฟังแล้วได้ความสดสมจริงมากกว่าเวอร์ชั่นอื่น (*ตอนทดลองฟัง ZENmini S MK3 กับอัลบั้มนี้ ผมใช้ external DAC ของ Ayre Acoustic ‘QB-9 DSD Twenty’ แล้วส่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จาก QB-9 DSD Twenty ไปที่อินพุตของปรีแอมป์ Mola Mola ‘Makua‘ ก่อนจะส่งต่อจาก Makua ไปที่เพาเวอร์แอมป์ในตัวลำโพง ATC ‘SCM100ASL’ โดยอาศัยปรับความดังผ่านวอลลุ่มของปรีแอมป์ Makua)

อัลบั้ม : Saxophone Colossus (Rudy Van Gelder Remaster) (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Sonny Rollins
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/77701374?u)
เคยมีคนบอกว่า ถ้าจะทดสอบความสดของเสียงที่สมจริง ให้ลองฟังจากเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊ส โดยเฉพาะอัลบั้มที่บันทึกเสียงช่วงกลางของ ทศวรรต 50 ขึ้นมาจนถึงก่อนสิ้น ทศวรรต 60 จะเป็นช่วงที่มีงานบันทึกเสียงเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊สที่มีคุณภาพเสียงเยี่ยมๆ อยู่เป็นจำนวนมาก มีค่ายเพลงดังๆ ที่สร้างผลงานประดับวงการอยู่หลายค่าย ที่มีชื่อเสียงในหมู่นักฟังเพลงแนวสแตนดาร์ดและสวิงแจ๊สอย่างมากก็เช่นค่าย Blue Note Records, ค่าย Fantacy Records, ค่าย Columbia Records, ค่าย Prestige และอีกมาก
งานเพลงแจ๊สชุด Saxophone Colossus ของ Sonny Rollins เป็นงานที่บันทึกเสียงโดยหมอ Rudolph Van Gelder หรือที่รู้จักกันในนาม Rudy Van Gelder (RVG) ซึ่งเป็นซาวนด์เอ็นจิเนียร์คนสำคัญที่ทำให้เกิด “ซาวนด์” เฉพาะตัวของดนตรีแจ๊สที่เกิดขึ้นในยุค ‘50 – ‘60 เขาบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้เมื่อ ปี 1956 และได้ถูกปั๊มออกมาจำหน่ายโดยค่าย Prestige Records ถูกทำซ้ำออกมาแล้วหลายต่อหลายครั้งโดยค่ายเพลงที่สลับเปลี่ยนไปแล้วหลายตลบ แต่เพิ่งจะได้รับการบูรณะออกมาด้วยการรีมาสเตอร์โดย Rudy Van Gelder เองเมื่อ ปี 2005 ใน TIDAL มีงานอัลบั้มชุดนี้ให้เลือกฟังอยู่ทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น จากการทดลองฟังเทียบกัน พบว่า เวอร์ชั่นที่รีมาสเตอร์โดย Rudy Van Gelder ให้เสียงออกมาดีที่สุด เกนสัญญาณแรงกว่าอีกสองเวอร์ชั่นอย่างชัดเจน ผลคือทำให้ได้เสียงที่มีความสด กระจ่าง ให้เอนเนอจี้ที่คล้ายฟังจากดนตรีสดมากกว่าอีกสองเวอร์ชั่นนั้น ซึ่ง ZENmini S MK3 ได้แสดงความแตกต่างที่ว่านี้ออกมาให้ได้ยินเต็มๆ ทั้งสองหู

อัลบั้ม : Greatest Hits (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Y Do I
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/326542094?u)
อัลบั้มนี้เป็นงานเพลงแนวประยุกต์ที่หยิบเอาชิ้นงานเพลงคลาสสิกที่คุ้นหูมาเรียบเรียงใหม่โดยผสมเอาบีทหนักๆ แน่นๆ ของ techno dance เข้ามาผสม เพลงในอัลบั้มนี้ที่ผมมักจะใช้ทดสอบคุณสมบัติทางด้านไดนามิกอยู่บ่อยๆ ก็คือเพลง Carmina Burana Remix (Techno of the Opera) ซึ่งเป็นเพลงที่อัดฉีดไดนามิกออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว และ ZENmini S MK3 ได้แสดงให้เห็นว่ามันก็สามารถไปกับเพลงแนวนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน เสียงเบสที่ออกมามีทั้งความแน่นและดีดเด้งไปตามจังหวะที่กระชับได้อย่างน่าชื่นชม ฟังแล้วรับรู้ได้เลยว่า ต้นทางคือ ZENmini S MK3 มันปลดปล่อยพลังที่อยู่ในเพลงนี้ออกมาโดยไม่ยั้ง เหมือนจะบอกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายของเสียงที่หลุดพ้นลำโพงออกมาจะทำได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสมรรถนะของแอมป์กับลำโพงแล้วล่ะ.! (ผมทดลองฟังผ่านลำโพงแอ๊คทีฟ ATC ‘SCM100ASL’ เสียงออกมาดีมากๆ.!!)

อัลบั้ม : Cavendish – Classical Series (TIDAL MAX/FLAC-24/96)
ศิลปิน : Johann Strauss
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/11822247?u)
เพลงคลาสสิกเป็นเพลงที่ใช้ทดสอบคุณสมบัติของเครื่องเสียงได้หลายประเด็นพร้อมๆ กัน ซึ่งคุณสมบัติที่ ZENmini S MK3 ได้แสดงออกมาให้เห็น (ที่จริงคือได้ยิน) ก็คือ “ความใส” ของพื้นเสียงที่เยี่ยมยอดมาก และมันยังทำให้รู้ว่าเพลง The Blue Danube Waltz Op.314 ที่อยู่ในอัลบั้มชุดนี้เป็นเพลงวอลซ์ที่มีความเร็วปานกลาง มีช่วงแผ่วและช่วงโหมสลับกันไปทั้งเพลง จุดเด่นของเพลงนี้อยู่ที่เมโลดี้ที่มีลีลาอ่อนหวานและพลิ้วไสวเหมือนสายน้ำ สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Innuos ตัวนี้ทำให้ผมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตลอดเวลา 10:08 นาที ที่เพลงนี้ดำเนินไปโดยที่จิตใจของผมถูกลากให้ลอยล่องไปกับลีลาของเพลงอย่างเพลิดเพลิน ในขณะเดียวกัน เสียงของเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่มที่ร่วมกันบรรเลงอยู่ในเพลงนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องสาย, เครื่องลม และเพอร์คัสชั่น ก็ยังมีคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดติดออกมากับเสียงเพลงด้วย ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนกำลังนั่งฟังวงออเคสตร้าบรรเลงให้ฟังสดๆ ซึ่งการที่จะ “สกัด” เอารายละเอียดของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละส่วนออกมาจากวงคลาสสิกได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเครื่องดนตรีเหล่านั้นถูกบรรเลงออกมาพร้อมๆ กันทีเดียวหลายชิ้น ซึ่งสิ่งที่ได้ยินก็ช่วยการันตีให้ได้ว่า ZENmini S MK3 ตัวนี้มีความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงได้ดี มีความผิดเพี้ยนต่ำ และที่สำคัญที่สุดก็คือ noise ต่ำมากๆ (*จริงๆ แล้วยังสามารถอัพเกรดด้วยการเปลี่ยนเอา Linear Power Supply รุ่น LPS ซึ่งเป็นของ Innuos เองมาใช้แทนสวิชชิ่งได้อีก น่าจะดีขึ้นพอสมควร โดยเฉพาะในแง่ของการลด noise ของภาคจ่ายไฟ)
สรุป
หลังจากได้ทดลองเล่นอยู่นานเกือบเดือน ผมขอยกให้ ZENmini S MK3 เป็นสตรีมเมอร์ที่ “ครบเครื่อง” มากที่สุดตัวหนึ่งในตลาดระดับกลางของทุกวันนี้ ในแง่คุณภาพเสียงของมันถือว่าอยู่ในระดับไฮเอ็นด์ฯ มีความสามารถมากพอที่จะเข้าไปทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางให้กับซิสเต็มระดับไฮเอ็นด์ฯ ได้อย่างสบายๆ ในสถานะ Streaming Transport
ที่ผมทึ่งมากก็คือฟังท์ชั่น Disc Ripping ที่ได้ลองแล้วต้องยกนิ้วให้เลยว่าใช้งานง่ายมาก..!! และได้ผลดีด้วย ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มีแผ่นซีดีสะสมอยู่เยอะๆ แต่ยังไม่ได้ริปใส่ NAS ไว้ใช้กับสตรีมมิ่ง ถ้ามี ZENmini S MK3 ตัวนี้แล้ว คุณก็เลิกกังวลกับ NAS ได้เลย ตอนจะซื้อก็แค่เลือกความจุของ SSD ที่จะใช้เก็บไฟล์เพลงให้เหมาะสมกับจำนวนแผ่นซีดีที่คุณมีอยู่เท่านั้น ซึ่งมีหลักคิดง่ายๆ คือ ความจุของฮาร์ดดิส 1G สามารถเก็บเพลงจากแผ่นซีดีได้ 2 แผ่น (เฉลี่ยประมาณแผ่นละ 500MB) ดังนั้น ถ้าเลือกเวอร์ชั่นที่ใส่ SSD = 1TB คุณจะเก็บไฟล์เพลงได้ประมาณ 2,000 แผ่น ถ้าเลือกเวอร์ชั่นที่ติดตั้ง SSD = 2TB คุณก็จะเก็บไฟล์เพลงได้ประมาณ 4,000 แผ่น
แอพฯ Sense ของ Innuos ใช้งานง่าย อินเตอร์เฟซสวย และให้คุณภาพเสียงที่ดีมาก เมื่อทำงานร่วมกับระหว่าง ซอฟท์แวร์ Sense กับฮาร์ดแวร์ ZENmini S MK3 เสียงที่ได้ออกมาดีกว่าเล่นด้วย ซอฟท์แวร์ Roon กับฮาร์ดแวร์ nucleus+ อยู่พอสมควร ผมชอบมากกว่า และ ZENmini S MK3 ตัวนี้ทำให้ผมรู้สึกดีใจว่าการที่จะจัดชุดเครื่องเสียงที่เล่นไฟล์ตรีมมิ่งให้ได้เสียงที่ดีมากๆ ระดับไฮเอ็นด์ฯ ได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก..!! /
*********************************
HIGHLY RECOMMENDED!!!
*********************************
ราคา :
ZENmini S MK3 + SSD 1TB = 93,000 บาท / เครื่อง
ZENmini S MK3 + SSD 2TB = 102,000 บาท / เครื่อง
ZENmini S MK3 + SSD 4TB = 116,000 บาท / เครื่อง
* Linear Power Supply รุ่น LPSU = 37,000 บาท / เครื่อง
** มีเฉพาะตัวเครื่องสีดำ
——————–
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่
Prestige HiFi
โทร. 063-638-4498
Lined ID: @PrestigeHifi



