ด้วยพลังของดิจิตัลโปรเซสเซอร์โดยแท้ที่ทำให้อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นทุกวัน ยกตัวอย่างเจ้า DAC/Headphone Amplifier ยี่ห้อ Chord Electronics ตัวนี้ รูปร่างภายนอกของมันไม่ได้ใหญ่กว่าอุ้งมือของเราสักกี่มากน้อย แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดคุณจะทึ่งในความสามารถของมัน.!
Mojo 2 อัพเกรดมาจาก Mojo เวอร์ชั่นแรก
Mojo เวอร์ชั่นแรกออกมาในตลาดเกือบ 7 ปีมาแล้ว ผมได้ทำการทดสอบเอาไว้ตั้งแต่ยังทำงานอยู่ที่นิตยสาร GM2000 ซึ่งผมได้นำบทความทดสอบนั้นมาลงไว้ในเว็บไซต์แล้ว (REVIEW) คุณลองไปหาข้อมูลกันได้
รูปทรงภายนอกของ Mojo 2 กับ Mojo เวอร์ชั่นแรกออกมาในแนวเดียวกัน ทำมาจากโลหะอะลูมิเนียมกัดขึ้นรูปด้วย CNC ประกบกันสองชิ้น ภายนอกลงสีดำด้าน (Jett Black) เหลี่ยมทุกมุมถูกกลึงลบจนลื่นมือไร้ความคม พิกัดสัดส่วนภายนอกต่างกันนิดหน่อย คือเวอร์ชั่น Mojo 2 มีขนาดใหญ่กว่านิดนึง โดยมีความยาวมากกว่า 1 ม.ม. ความกว้างมากกว่า 2 ม.ม. และสูงมากกว่าเวอร์ชั่นแรก 0.9 ม.ม.
ความแตกต่างที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่าง Mojo เวอร์ชั่นแรกกับเวอร์ชั่น Mojo 2 อยู่ที่ปุ่มทรงกลม ซึ่งในเวอร์ชั่น Mojo 2 มีอยู่ 4 ปุ่มในขณะที่ Mojo เวอร์ชั่นแรกมี 3 ปุ่ม
ใน Mojo เวอร์ชั่นแรกมีปุ่มกดสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง และปุ่มกดสำหรับเพิ่ม/ลดความดัง รวมกันทั้งหมดแค่ 3 ปุ่ม ส่วนเวอร์ชั่น Mojo 2 นอกจากสามปุ่มนั้นแล้ว มันมีเพิ่มมาอีกปุ่มซึ่งทำหน้าที่เป็นปุ่ม Menu เพื่อเข้าไปปรับตั้งค่าต่างๆ ที่ควบคุมด้วย DSP ในตัวเครื่อง (ดูรายละเอียดในหัวข้อถัดลงไป)
อินพุต/เอ๊าต์พุต
Mojo 2 ให้ช่องเสียบสำหรับสัญญาณดิจิตัลมา 4 ช่อง แยกเป็น 3 ประเภทอินพุต คือ Coaxial (A), USB โดยให้ช่องเสียบมา 2 แบบให้เลือกใช้คือ USB-C (B) กับ Micro-USB (C) โดยจัดให้ช่องเสียบ Micro-USB มีความสำคัญเหนือกว่าช่อง USB-C คือถ้าคุณเสียบทั้งสองช่องนี้พร้อมกัน แล้วเล่นเพลงส่งเข้ามาที่ Mojo 2 พร้อมกัน ระบบอินพุตภายในตัว Mojo 2 จะเลือกรับอินพุตจากช่อง Micro-USB และถ้าคุณเสียบทุกอินพุตพร้อมกัน Mojo 2 จะจัดลำดับความสำคัญให้กับอินพุต USB เป็นอันดับแรก ถัดไปก็คือ Coaxial ลำดับสุดท้ายคือช่องอินพุต Optical (F)
ส่วนช่องเสียบ Micro-USB อีกช่อง (E) ให้มาใช้สำหรับชาร์จไฟผ่านสาย USB-A > Micro-USB ที่แถมมาให้ในกล่อง ซึ่งขณะชาร์จไฟจะมีไฟ LED (D) ที่อยู่ด้านล่างช่อง Micro-USB ที่ใช้ชาร์จไฟสว่างขึ้นมาให้รู้
สัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตของ Mojo 2 ถูกแยกไปอยู่อีกด้านของตัวถังตรงข้ามกับฝั่งอินพุต โดยปล่อยสัญญาณเอ๊าต์พุตผ่านทางรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 3.5 m.m. ซึ่งมีมาให้ 2 ช่องที่ปล่อยสัญญาณพร้อมกัน (เป็นสัญญาณเดียวกัน ออกมาเหมือนกัน ไม่แยกวอลลุ่ม)
ภาคดิจิตัล อินพุตของ Mojo 2 รองรับสัญญาณดิจิตัลได้ทั้งฟอร์แม็ต PCM และ DSD โดยที่รองรับฟอร์แม็ต PCM ได้ตั้งแต่ 44.1kHz ขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่ระดับ 768kHz ส่วนฟอร์แม็ต DSD รองรับได้ถึงระดับ DSD256
การควบคุมใช้งาน
การควบคุมสั่งงานบนตัว Mojo 2 ถูกกำหนดให้กระทำผ่านปุ่มกดลูกบอลกลมๆ ทั้ง 4 ลูกที่อยู่บนตัว Mojo 2 ซึ่งจะสว่างขึ้นเป็นสีต่างๆ เพื่อแสดงผลการปรับตั้ง คุณสามารถเลือกปรับความอ่อน–แก่ของสีบนปุ่มลูกบอลได้ 2 ระดับ คือ Normal กับ Low (กดไปที่ลูกบอล Menu แล้วกดลงไปที่ลูกบอล – วนไป)
วิธีเปิดใช้งานก็แค่กดลงไปบนลูกบอลลูกที่ 4 (ลูกที่มีสัญลักษณ์เพาเวอร์) ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ไฟบนลูกบอลต่างๆ จะติดสว่างขึ้น หลังจากนั้นตัวเครื่องจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 – 4 วินาที ในการเปิดใช้การทำงานของภาคต่างๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะสังเกตว่าไฟบนลูกบอลมีการเคลื่อนไหวกระพริบสลับไป–มา เมื่อทุกอย่างพร้อมใช้งานจะมีเสียงดังคลิ๊กเบาๆ หนึ่งครั้งพร้อมทั้งไฟบนลูกบอลหยุดเคลื่อนไหว ฟังท์ชั่นต่างๆ จะอยู่ที่ตำแแหน่งเดิมที่มีการ save ไว้ก่อนปิดเครื่อง ถ้าต้องการปิดเครื่องก็ให้กดลงไปบนลูกบอลที่มีสัญลักษณ์เพาเวอร์ค้างไว้ประมาณ 2 – 3 วินาที เครื่องปิดตัวลง
ฟังท์ชั่นพิเศษ.!!
ความแตกต่างของเวอร์ชั่นแรกกับเวอร์ชั่น Mojo 2 แอบอยู่ในปุ่ม Menu ที่เอง ซึ่งปุ่ม Menu นี้ตัวมันเองก็มีหน้าที่ 2 อย่าง อยู่ในตัว อย่างแรกคือ “แสดงสภาวะการชาร์จแบตฯ” กับ “เป็นที่เก็บเมนูการปรับแต่งโทนเสียงด้วย EQ” ซึ่งการแสดงสภาวะการชาร์จแบตเตอรี่จะแสดงออกมาทาง “สี” ของลูกบอลของปุ่ม Menu ดังนี้
สีของบอล Menu จะแสดงสถานะต่างๆ ของการชาร์จให้รู้ อาทิเช่น ขณะที่คุณกำลังใช้งาน Mojo 2 แล้วพบว่าไฟที่ลูกบอล Menu เป็นสีแดงและกระพริบประมาณสิบวินาที แสดงว่า ไฟในแบตเตอรี่กำลังจะหมด ให้ทำการชาร์จแบตฯ ทันที เมื่อทำการเสียบสาย Micro-USB ที่ช่องชาร์จไฟ ไฟที่ลูกบอลจะแสดงเป็นสีแดงแต่ไม่กระพริบ ซึ่งแสดงให้รู้ว่าแบตเตอรี่ถูกชาร์จไฟเข้าไปประมาณ 2 – 10% และสีบนลูกบอลจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามตารางด้านบนเมื่อไฟถูกชาร์จเข้าไปมากขึ้น เมื่อชาร์จจนเต็มไฟจะเป็นสีฟ้า และเพื่อป้องกันไม่ให้อายุแบตฯ เสื่อมเร็ว เมื่อถูกชาร์จจนเต็มแล้ว ถ้าคุณยังไม่ปลดสายชาร์จออก ระบบป้องกันภายในตัว Mojo 2 จะทำการเปลี่ยนระบบการชาร์จไปเป็นโหมด Intelligent desktop mode เพื่อตัดการชาร์จไฟออกไป ไฟที่ลูกบอลเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง
ไฮไล้ท์ของ Mojo 2 ที่อัพเกรดมาจากเวอร์ชั่นเดิมก็คือความสามารถในการปรับโทนเสียงได้ โดยปรับผ่าน EQ ที่จัดเตรียมไว้ให้ปรับแต่งเสียง ซึ่งให้มามากถึง 4 โหมด สามารถใช้การปรับตั้งนี้เป็นเครื่องมือในการแม็ทชิ่งเพื่อจูนเสียงเข้ากับหูฟังและ source ต้นทางที่เอามาใช้คู่กับ Mojo 2 รวมถึงยังใช้ปรับจูนเสียงของไฟล์เพลงให้เข้ากับรสนิยมของผู้ฟังได้อีกด้วย
การปรับจูน EQ ของ Mojo 2 ทำผ่านปุ่มลูกบอล Menu โดยกดซ้ำลงไปสองครั้ง จนสีบนตัวลูกบอลเป็น “สีแดง” = โหมดการปรับจูนที่ย่านเบสตอนล่างคือ 20Hz, “สีเหลือง” = โหมดการปรับจูนที่ย่านเบสตอนกลางคือ 125Hz, “สีเขียว” = โหมดการปรับจูนที่ย่านแหลมตอนล่างคือ 3kHz, “สีฟ้า” = โหมดการปรับจูนที่ย่านแหลมตอนบนคือ 20kHz
ในแต่ละโหมดทางผู้ผลิตมีระดับให้ปรับแต่งทั้งหมด 18 ระดับ หรือ 18dB แบ่งเป็น +9dB และ -9dB ซึ่งเครื่องที่ออกมาจากโรงงานจะถูกปรับตั้งไว้ที่ตำแหน่ง 0 ซึ่งเป็นค่ากลาง (flat)
กลไกที่ผู้ผลิตคิดขึ้นมาให้ใช้ในการปรับจูน EQ ก็ออกแบบได้เข้าท่ามาก คือหลังจากคุณกดที่ลูกบอล Menu จนได้สีตามโหมดที่ต้องการปรับจูนแล้ว (ดูความสัมพันธ์ระหว่าง “สี” กับ “โหมด” ที่ย่อหน้าข้างบน) ในครั้งแรกของการปรับจูน คุณจะพบว่า ตรงลูกบอล – กับ + ไม่มีสีใดๆ ซึ่งความหมายก็คือ EQ ถูกปรับเป็น flat มาจากโรงงาน (ตำแหน่งตรงกับศรชี้สีแดงในภาพข้างบน) ถ้าคุณต้องการปรับลดความดังของความถี่ในโหมดที่เลือกไว้ก็ให้กดลงไปที่ปุ่มลูกบอล – จนเกิดสีขึ้นมาตามชาร์ตด้านบน ซึ่งทางผู้ผลิตจะใช้วิธีแสดงปริมาณการปรับแต่ง (ที่มีหน่วยเป็น dB) ด้วยสีต่างๆ ที่ค่อยๆ ไล่ไปตามที่เราปรับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเลือกโหมดปรับแต่งความถี่ในย่านเบสตอนล่างคือ 20Hz คุณก็กดไปที่บอล Menu ให้เป็นสีแดงก่อน จากนั้นก็กดไปที่บอล – แล้วดูสีที่ลุกบอล – คือถ้าเป็นสีแดงเข้ม แสดงว่าคุณกำลังปรับลดความถี่ 20Hz ลงไปเท่ากับ -2dB ซึ่งคุณสามารถปรับลดลงไปได้มากถึง -9dB ในแต่ละโหมด ขณะเดียวกัน คุณก็สามารถใช้ปุ่มลูกบอล + ในการเพิ่มความถี่ในโหมดที่ต้องการได้ด้วย ซึ่งปริมาณการปรับจูนก็จะแสดงด้วยสีที่ปุ่ม + แบบเดียวกันกับตอนปรับลดที่ปุ่ม – นั่นเอง และในการปรับเพิ่มก็สามารถเพิ่มได้มากถึง +9dB เช่นกัน
การปรับจูน EQ นี้กระทำในขั้นตอนที่สัญญาณยังอยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิตัลด้วย DSP จึงไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพของสัญญาณเสียงแต่อย่างใด
ทดลองใช้ฟังท์ชั่นปรับโทนผ่าน EQ ของ Mojo 2
ก่อนจะไปทดลองปรับ EQ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันทำงานยังไง ภาพนี้แสดงผลการทำงานของ EQ ที่ควบคุมด้วย DSP ทั้ง 4 โหมด จะเห็นว่า โหมด 1 (สีแดง) กับ โหมด 2 (สีเหลือง) จะส่งผลกับเสียงในย่านเบส โดยที่ โหมด 1 จะเป็นการเพิ่ม/ลดตั้งแต่ความถี่ประมาณ 130Hz ลงไปถึง 20Hz ในขณะที่ โหมด 2 จะเป็นการเพิ่ม/ลดตั้งแต่ความถี่ประมาณ 3kHz กว่าๆ ลงไปถึง 20Hz ส่วน โหมด 3 กับ โหมด 4 ส่งผลกับความถี่ด้านสูง โดยที่ โหมด 3 จะเป็นการเพิ่ม/ลดตั้งแต่ความถี่ประมาณ 130Hz ขึ้นไปจนถึง 20kHz ในขณะที่ โหมด 4 จะส่งผลกับความถี่ตั้งแต่ 4 – 5kHz ขึ้นไปถึง 20kHz คุณสามารถปรับแต่งผสมกันได้ทั้ง 4 โหมด
ชาร์ตนี้ทางผู้ผลิตให้มาเป็นไกด์ให้รู้ว่าการปรับแต่งแต่ละโหมดจะกระทบกับเสียงของเครื่องดนตรีอะไรบ้าง.? อาจจะไม่ได้ตรงเป๊ะๆ แต่ก็พอใช้เป็นแนวทางให้สังเกตได้ ซึ่งดูจากชาร์ตนี้แล้วทำให้ง่ายต่อการปรับจูนมากขึ้น เมื่อเข้าใจผลของมันและมีไกด์ให้ดูแบบนี้ก็ทำให้ปรับได้สนุกมากขึ้น
ในการทดสอบผมได้ทดลองปรับ EQ เริ่มต้นโดยใช้หูฟัง AKG รุ่น K702/65th เป็นตัวทดลองตัวแรก ซึ่งกำลังของ Mojo 2 ขับ K702/65th ออกมาได้สบาย ไม่มีอาการเครียดเลย โทนเสียงของ K702/65th + Mojo 2 จะออกไปทางโปร่งและให้เวทีเสียงที่เปิดกว้าง ผมอยากจะลองปรับ EQ ของ Mojo 2 เพื่อให้เสียงของ K702/65th ออกมาเข้มข้นมากขึ้นอีกหน่อย ผลคือผมพบว่า จากการทดลองปรับที่ โหมด 1 ประมาณ +2dB จะได้เสียงเบสด้านล่างของ K702/65th ออกมาแน่นมากขึ้น ผมลองลดการปรับที่ โหมด 1 ลงมาเหลือแค่ +1dB และไป boost เพิ่มที่ โหมด 2 เท่ากับ +1dB ปรากฏว่าได้เสียงร้องของนักร้องชายและหญิงที่มีมวลอิ่มข้นมากขึ้น ฐานเบสแน่นขึ้นนิดนึง ผมว่ากำลังดี เพราะถ้าเพิ่มที่ โหมด 1 เป็น +2dB ทำให้เสียงโดยรวมมีลักษณะหนาขึ้น แต่จะติดทึบมากไปสำหรับรสนิยมของผม
จากนั้นผมก็ลองเปลี่ยนมาจับคู่ Mojo 2 กับหูฟัง Sennheiser HD650 ดูบ้าง ซึ่งกำลังขับของ Mojo 2 ก็สามารถขับดันเสียงของ HD650 ออกมาได้เต็มที่เหมือนกัน แสดงให้เห็นว่า อิมพีแดนซ์ที่สูงโด่งถึง 300 โอห์ม ของ HD650 ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ กับ Mojo 2 เลย แต่บุคลิกของ HD650 ที่มีลักษณะ dark คือตั้งแต่ย่านแหลมตอนต้นขึ้นไปถึงแหลมตอนปลายมีลักษณะที่โรยตัวเร็ว บางคนไม่ชอบลักษณะเสียงแหลมของ HD650 เพราะติว่าปลายแหลมไม่เปิด ไม่กรุ๊งกริ๊ง ไม่สดใส ผมทดลองปรับโทนเสียงโดยใช้ โหมด 3 และ โหมด 4 ของ Mojo 2 ผสมกัน ปรากฏว่า ปรับเพิ่มที่ โหมด 3 ขึ้นไปที่ +3dB ได้เสียงแหลมไวโอลิน, เสียงเปียโน และเสียงสแนร์กลองที่ลอยเด่นออกมามากขึ้น มีประกายมากขึ้น แต่ถ้าฟังเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วๆ ไป ผมชอบปรับเพิ่มที่ โหมด 4 ขึ้นไประหว่าง +2dB ถึง +3dB มากกว่า เพราะเพลงตลาดทั่วไปส่วนใหญ่จะยกเสียงในย่านกลางถึงกลางสูงมาเยอะแล้ว ซึ่งฟังกับ HD650 จะได้ดุลเสียงกำลังเหมาะ (ถ้าฟังกับ K702/65th โทนเสียงจะออกสว่างมากไป) แต่ยกปลายเสียงแหลมด้วย โหมด 4 ช่วยอีกนิดก็จะทำให้เสียงเพลงออกมาสดใสและมีประกายมากขึ้น ไม่อับทึบและทู่เกินไป
จำนวนหูฟังทั้งหมดที่ผมนำมาทดลองฟังกับ Mojo 2 ผมชอบเสียงของ Mojo 2 ตอนที่จับกับหูฟัง Edifier รุ่น Stax Spirit S3 (REVIEW) มากที่สุด เสียงมันออกมาลงตัวมาก เป็นคู่ DAC/Amp + Headphone ที่แม็ทชิ่งกันมากๆ โทนเสียงออกมากลางๆ ไม่หนาทึบและไม่โปร่งบางเกินไป บอดี้ของเสียงมีมวลเข้มแต่กระทัดรัด ตัวโน๊ตเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ฟังเพลงเร็วก็ได้อารมณ์สนุก ฟังเพลงช้าก็ได้ความลุ่มลึก รายละเอียดดีมาก ปรากฏออกมาให้ได้ยินแบบไม่ต้องเพ่ง และไม่ใช่ลักษณะของการยัดเยียดด้วย เป็นรายละเอียดที่พรั่งพรู เรียงตัวกันมาเป็นชั้น เป็นเลเยอร์ที่ให้ความรู้สึกเป็นวง ชี้ตำแหน่งได้ชัด โฟกัสเยี่ยม เป็นคู่ที่ฟังเพลินมากๆ .!!
เล่นกับ EQ จนเพลินไปเลย พอได้ลองเล่นบ่อยๆ ก็เริ่มจับทางมันได้ง่ายขึ้น ปรับได้แม่นยำมากขึ้น พอเจอเพลงที่ออกมาไม่ราบเรียบ ผมก็ลองปรับแก้ด้วย EQ ที่ Mojo 2 ให้มา มันทำให้เพลงตลาดๆ ทั่วไปฟังดีขึ้นเยอะเลย.. เป็นความสามารถที่ Mojo เวอร์ชั่นแรกไม่มี.!
ฟังท์ชั่น Crossfeed
Mojo 2 ให้ฟังท์ชั่น Crossfeed มาด้วย (มันคืออะไร.? ถ้าไม่รู้ รบกวนเข้าไปอ่านได้ที่ ลิ้งค์ นี้)
ความสามารถของฟังท์ชั่น Crossfeed ก็คือสร้างสนามเสียง (sound field) ที่ทำให้เสียงจากหูฟังมีบรรยากาศและรูปวงคล้ายการฟังจากชุดเครื่องเสียงบ้าน ซึ่ง Mojo 2 ให้มาเลือกใช้ 3 ระดับ ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ด้วยการกดลงไปบนปุ่มลูกบอล Menu หนึ่งครั้ง ลูกบอลเมนูจะเป็น สีฟ้า แสดงถึงการเปิดใช้งานฟังท์ชั่น Crossfeed แล้ว จากนั้นให้กดลงไปบนลูกบอล + ซ้ำๆ ซึ่งสีบนลูกบอลจะเปลี่ยนไป 4 สี คือ “แดง” (minimum = น้อย), “เขียว” (moderate = ปานกลาง), “ฟ้า” (maximum = มาก) และ ไม่มีสี (crossfeed ‘OFF’) ลองปรับแล้วฟังแต่ละระดับ เลือกที่ถูกใจได้เลย
ปุ่ม Menu ของ Mojo 2 สามารถล็อคได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปรับตั้งค่าโดยไม่ตั้งใจ อย่างเช่นกรณีที่ใส่ Mojo 2 ไว้ในกระเป๋า แล้วปุ่มเมนูไปกดทับกับของในกระเป๋าอาจทำให้ค่าที่ปรับตั้งไว้เปลี่ยนไป ถ้าล็อคปุ่มเมนูเอาไว้เหตุการณ์ที่ว่าก็จะไม่เกิดขึ้น ต้องชมทางผู้ผลิตที่คิดไว้รอบคอบมาก.!
ทดลองฟังเสียงของ Mojo 2
Mojo 2 รองรับการเล่นไฟล์เพลงได้สูงมาก ถ้าเป็นไฟล์เพลงฟอร์แม็ต PCM จะรองรับระดับแซมปลิ้งได้สูงสุดถึง 768kHz ที่ความละเอียดของบิตเท่ากับ 32-bit ส่วนไฟล์ฟอร์แม็ต DSD รองรับได้สูงถึงระดับ DSD256 (11.2MHz) ซึ่ง Mojo 2 จะแจ้งให้เรารู้ว่ากำลังเล่นไฟล์ฟอร์แม็ตอะไร ที่ระดับแซมเปิ้ลเรตเท่าไร ผ่านออกมาทางสีของปุ่มลูกบอลที่ใช้เปิด/ปิดเครื่อง ซึ่งแต่ละสีจะมีความหมายตามชาร์ตด้านล่างนี้
จากชาร์ตด้านบนนี้ จะเห็นว่า ถ้าเล่นไฟล์ฟอร์แม็ต PCM ตั้งแต่ 44.1kHz ขึ้นไปจนถึง 768kHz ที่ปุ่มลูกบอลเปิด/ปิดเครื่องจะเปลี่ยนสีไปแบบไม่ซ้ำกันเลย แต่พอเล่นไฟล์ฟอร์แม็ต DSD ไม่ว่าจะเป็นฟอร์แม็ต DSD64, DSD128 หรือ DSD256 ไฟที่ปุ่มลูกบอลเปิด/ปิดเครื่องก็จะแสดงเป็นสีขาว ซึ่ง Mojo 2 รองรับสัญญาณ DSD ที่เล่นผ่านฟอร์แม็ต DoP เท่านั้น ไม่รองรับการเล่นแบบ native DSD โดยตรง
การปรับวอลลุ่มกระทำผ่านปุ่มลุกบอลที่มีสัญลักษณ์ + (เพิ่ม) กับ – (ลด) ถ้าต้องการหยุดเสียงชั่วคราว (mute) ให้กดปุ่มลูกบอล + กับ – พร้อมกัน เมื่อต้องการกลับมาฟัง ณ ตำแหน่งวอลล่มเดิมก็กดปุ่มลูกบอล + กับ – ซ้ำอีกที ในการใช้งานจริง ทั้งการปรับวอลลุ่มและเข้าไปเลือกการปรับโหมด EQ เพื่อแต่งเสียงก็ทำได้ง่ายและสะดวก ลองใช้พักเดียวก็คล่อง
เสียงของ Mojo 2 ไหลลื่นและนวลเนียนมากเป็นพิเศษ ที่มานั้นเดาได้ไม่ยาก ต้องเป็นเพราะความสามารถของภาค DAC ที่ไปไกลถึง 768kHz ทำให้สามารถออกแบบวงจรดิจิตัลฟิลเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง และด้วยกรรมวิธีการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกด้วยซอฟท์แวร์ที่ Rob Watts เขียนใส่ลงไปในชิป FPGA ไม่ได้ใช้บริการของชิปสำเร็จรูปที่มีข้อจำกัด ทำให้ผู้ออกแบบสามารถปรับจูนการทำงานของภาค DAC ในจุดสำคัญๆ ได้อย่างละเอียด สามารถขัดเกลาสากเสี้ยนของความเป็นดิจิตัลออกไปจากสัญญาณอินพุตได้อย่างหมดจด ก่อนที่ภาค DAC ในตัว Mojo 2 จะปลดปล่อยเอ๊าต์พุตออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่สะอาดบริสุทธิ์ในขั้นตอนสุดท้าย
ความเนียนละเอียดของเสียงที่ Mojo 2 ให้ออกมามันทำให้ผมนั่งฟังเพลงผ่านหูฟังได้นานเป็นชั่วโมงด้วยความเพลิดเพลิน มันทำให้ผม “ค้นพบ” รายละเอียดที่ซ่อนเร้นอยู่ในเพลงต่างๆ อีกมากมาย ได้เห็นถึงความอ่อนช้อยของเสียงร้องของนักร้องระดับโลกอย่าง Ella Fitzgerald และทำให้รู้สึกสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างเทคนิคการร้องของนักร้องรุ่นเก่ากับนักร้องรุ่นใหม่ๆ รับรู้ได้ถึงความแตกต่างของลักษณะเสียงร้องของศิลปินแต่ละคนที่ไม่มีใครร้องเหมือนกันเลย มีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน แต่ Mojo 2 นำมันออกมาสะกิดหูผม ทำให้ผมรู้ว่ามี “สิ่งเหล่านั้น” แทรกอยู่ระหว่างตัวโน๊ต ในขณะที่บางอย่างคละคลุ้งอยู่ในบรรยากาศที่ห้อมล้อมแต่ละโน๊ตเอาไว้
Mojo 2 ให้เสียงที่มีความชัดเจนในรูปแบบของมันเอง มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบเดียวกับ DAC แบบ Bitstream ในอดีตสมัยที่ Rob Watts เคยทำเป็นแบรนด์ dpa (Deltec Precision Audio) ออกมา ซึ่งเป็นความชัดเจนที่มี “ความฉ่ำ” ห้อมล้อมอยู่รอบๆ ตัวโน๊ตทั้งหมด ส่งผลให้โทนเสียงของ Mojo 2 มีลักษณะที่ไม่แห้ง ไม่หยาบ และไม่กระด้าง และยิ่งฟังด้วยไฟล์ที่มีความละเอียดสูงระดับไฮเรซฯ อย่างพวก PCM 24/96, 24/192 และ DSD64 ผมพบว่า พื้นเสียงที่ได้ออกมาจะยิ่งสะอาดมากขึ้นกว่าตอนฟังไฟล์ PCM 44.1kHz ไปอีกขั้น คือรู้สึกได้ถึงลักษณะของเวทีเสียงที่แผ่ขยายไกลออกไปโดยรอบศีรษะมากขึ้น และได้ยินหางเสียงแหลมที่ทอดตัวห่างจากศีรษะออกไปเป็นชั้นๆ ชัดขึ้น ตัวเสียงชิ้นดนตรีแต่ละเสียงผุดขึ้นมาจากพื้นแบ็คกราวนด์ที่สงัดเงียบซ้ายบ้าง–ขวาบ้างอย่างกับผีหลอก รายละเอียดหยุมหยิมผุดออกมาเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่ออกมาแบบรุงรังนะ รายละเอียดต่างๆ ได้ถูกจัดลำดับตื้น–ลึกไว้อย่างชัดเจน แต่ละเสียงแยกตัวออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด
รายละเอียดอีกส่วนที่ผมพบว่าเป็นจุดเด่นของ Mojo 2 นั่นคือ contrast dynamic ที่แสดงตัวออกมากับลักษณะของเสียงที่มีการผ่อนหนัก–ผ่อนเบา เมื่อโฟกัสเจาะลงลงไปฟังเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น รวมถึงเสียงร้องที่ปรากฏออกมา จะพบว่ามัน (เสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้อง) เหล่านั้นได้ถูก “คลี่” ไดนามิกออกมาได้อย่างเป็นลำดับชั้นที่ละเอียดยิบ สิ่งที่รับรู้ได้ก็คือลักษณะการ “ส่งผ่าน” จากโน๊ตหนึ่งไปสู่อีกโน๊ตหนึ่งที่อยู่ถัดไป ซึ่ง Mojo 2 ชี้ให้เห็น (ได้ยิน) ว่านักร้องและนักดนตรีแสดงออกมาอย่างไร ทั้งในแง่ระดับของความดัง (จากเบาขึ้นไปดัง / จากดังลงมาเบา) และในแง่ของลักษณะการกระทำ (ดีด, สี, ตี, เป่า) ที่นักดนตรีกระทำกับเครื่องดนตรีของพวกเขา มันคือรายละเอียดที่ลงลึกไปถึงระดับ inner detail ซึ่งเป็นแนวทางของ DAC ระดับไฮเอ็นด์ฯ
ถ้าคุณต้องการเพิ่มความสามารถในการสตรีมไฟล์เพลงแบบไร้สายให้กับ Mojo 2 ก็สามารถทำได้ด้วยการซื้อตัวโมดูล Poly ที่ทาง Chord Electronics ออกแบบมาให้ใช้คู่กับ Mojo เพื่อรองรับการสตรีมสัญญาณเสียงแบบไร้สายซึ่งรองรับสัญญาณได้ทั้ง PCM และ DSD ในระดับสูงสุดเท่าที่ Mojo 2 รับได้ซะด้วย (ราคา Poly อยู่ที่ 28,800 บาท / ตัว โปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 35,000 บาท)
นอกจากนั้น ทางผู้ผลิตยังได้ทำซองหนังสีดำเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดงมาให้ไว้ใส่เท่ๆ ด้วย มีทั้งแบบซองสั้นที่ใส่แค่ Mojo 2 (ราคา = 4,900 บาท พิเศษจากราคาเต็ม 5,500 บาท) และแบบซองยาวที่ใส่ Mojo 2 + Poly ให้เลือกซื้อ (ราคา = 7,400 บาท พิเศษจากราคาเต็ม 8,500 บาท) ใส่แล้วนอกจากจะสวยยังเซฟตี้ด้วย พกพาไปไหนๆ ก็ไม่ต้องกลัวเป็นรอย
สรุป
ผมชอบเสียงของ Mojo 2 ตอนใช้กับหูฟัง Edifier รุ่น Stax Spirit S3 มากเป็นพิเศษ ผมว่ามันแม็ทชิ่งกันมาก ให้ผลรวมของเสียงออกมาในเกณฑ์ที่กำลังดีในทุกแง่ ฟังเอาเพลินก็ได้เพราะเสียงที่ออกมามันละมุนหูมาก หรือจะฟังเอาเรื่องแบบนักเล่นเครื่องเสียงก็ได้ เพราะมันให้รายละเอียดออกมาเยอะมาก
เสียงของ Mojo 2 เป็นเสียงที่คนเล่นเครื่องเสียงมานานต้องการฟัง คือไม่ใช่เสียงที่โชว์อ๊อฟคุณสมบัติในแง่ใดแง่หนึ่งออกมามากเกินไป แต่มันให้ความกลมกล่อมกำลังดี และที่เด่นสุดคือ ทำให้เข้าถึงอารมณ์เพลงที่ฟังได้อย่างมีอรรถรสนี่แหละสำคัญที่สุด
คุ้มมั้ย.? ถ้าพิจารณาเฉพาะผลิตภัณฑ์ในแขนงเดียวกันนี้ (DAC/Headphone Amp) ณ เวลานี้ ผมยกให้ Mojo 2 ตัวนี้ยืนหนึ่งแบบไร้ผู้ต่อกร.. HIGHLY RECOMMENDED! /
********************
ราคา Mojo 2 = 29,400 บาท / ตัว (โปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 36,000 บาท)
********************
ติดต่อสอบถามได้ที่ AUDIO FORCE
บริษัทผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ
และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
Audio Force โทร. 090-004-2380
เฟซบุ๊ค : AudioForceTH
Line Official : @audioforce