รีวิว Magnepan รุ่น LRS+

เชื่อเลยว่า ถ้าคุณไม่เคยฟังเสียงของลำโพงยี่ห้อนี้มาก่อน คุณจะไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่า ลำโพงที่มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ เหมือนบานประตูแบบนั้นจะให้เสียงออกมาลักษณะไหน.? จะเหมือน หรือแตกต่างจากลำโพงแบบที่มีไดเวอร์ทรงกรวยดอกกลมๆ อย่างไร.??

จะหาโอกาสทดลองฟังเพื่อทำความรู้จักกับลำโพงแบนๆ แบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ขับรถไปที่ CDC แล้วตรงไปที่โชว์รูมของร้าน Save Audio&Video (โทร. 02-102-2211, 081-823-6045) ก็ได้ฟังแล้วเพราะที่นั่นคุณยะเขามีตัวอย่างเซ็ตอัพไว้ให้ฟัง แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือ ทำความเข้าใจว่าลำโพงลักษณะแบบนี้มันมีหลักในการทำงานยังไงมากกว่า

ไดเวอร์ องค์ประกอบสำคัญที่ลำโพง ทุกตัวจะต้องมี..!!!

ส่วนประกอบหลักของลำโพงที่ทำหน้าที่สร้างคลื่นเสียงก็คือ ไดเวอร์” (หรือ transducer) ซึ่งสร้างคลื่นเสียงออกมาได้ด้วยการแปลงสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าให้ออกมาเป็นคลื่นเสียงโดยผ่านปฏิกิริยาทางฟิสิกส์ของโครงสร้างของไดเวอร์ ซึ่งลักษณะของไดเวอร์มีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่นิยมนำมาใช้ในการทำลำโพงแพร่หลายมากที่สุดก็คือไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิก ซึ่งมีทั้งแบบที่กรวยโค้งเว้าเข้าด้านในและโค้งเว้าออกมาเป็นโดมครึ่งวงกลมเหมือนซาละเปา มีหลายขนาด ถ้าใช้สร้างความถี่สูงจะเป็นทรงโดมขนาดเล็ก เรียกว่า ทวีตเตอร์โดยมากจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ไม่เกิน 1.5 นิ้ว ส่วนที่ใช้สร้างความถี่กลางเรียกว่าไดเวอร์ มิดเร้นจ์ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 2 นิ้วขึ้นไปจนถึง 4 นิ้ว ส่วนไดเวอร์ที่ทำหน้าที่สร้างความถี่ต่ำเรียกว่า วูฟเฟอร์ซึ่งมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 5 นิ้วขึ้นไปจนถึง 12 นิ้ว

ด้านหน้าและด้านหลังของลำโพง Magnepan รุ่น LRS+

ไดเวอร์อีกประเภทที่มีระดับความนิยมรองลงมาในการนำมาใช้ทำลำโพงก็คือ ไดเวอร์แผ่นฟิล์มซึ่งมีลักษณะโครงสร้างแตกต่างจากไดเวอร์กรวยไดนามิกอย่างมาก มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ อีเล็กโตรสแตติค” (Electrostatic) กับ พลาน่าร์ แม็กเนติค” (Planar magnetic) ซึ่งลำโพง Magnepan รุ่น LRS+ ที่ผมกำลังจะทำการทดสอบนี้เป็นลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบ Planar magnetic ทำหน้าที่สร้างความถี่เสียง

ลักษณะโครงสร้างของไดเวอร์ Planar Magnetic ที่ใช้อยู่ในลำโพง Magnepan

Jim Winey เป็นคนคิดค้นไดรเวอร์แบบ Magneplanar ขึ้นมาเมื่อ ปี 1969 (เขาเพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อ ปี 2024 ที่ผ่านมานี้เอง) ซึ่งเป็นผลมาจากความตั้งใจเริ่มต้นที่จะซ่อมแซมและพัฒนาประสิทธิภาพของลำโพง Electrostatic ที่เขามีอยู่ ด้วยความที่มีพื้นฐานทางด้านวิศวะกรรมอยู่ในตัว หลังจากศึกษาการทำงานของไดเวอร์อีเล็กโตรสแตรตริกจนเข้าใจหลักการแล้ว เขาก็นำเอาแนวคิดนั้นมาคิดค้นลักษณะการทำงานของไดเวอร์ที่เป็นรูปแบบของเขาเองขึ้นมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Magnepan ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ในเว็บไซต์อ๊อฟฟิเชี่ยลของ Magnepan ที่หัวข้อ about us เขามีลงข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างไดเวอร์ที่ใช้ในลำโพงของเขาไว้ด้วย ในนั้นมีไดอะแกรมภาพหน้าตัดที่แสดงส่วนประกอบหลักๆ ของไดเวอร์ไว้ด้วยตามภาพบนสุด ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 ส่วน ด้วยกัน เริ่มจาก แผ่นไมล่าร์” (จุดสีแดง) ที่มีความหนาแค่ .0005 นิ้ว ซึ่งถูกใช้เป็นไดอะแฟรมของไดเวอร์ ทำหน้าที่ผลักอากาศเพื่อสร้างคลื่นความถี่เสียงลักษณะเดียวกับไดอะแฟรมทรงกรวยของไดเวอร์แบบไดนามิกนั่นเอง (ดูเปรียบเทียบภาพล่างสุด) ส่วนที่สองคือ แผ่นริบบ้อน” (จุดสีเขียว) หรือแผ่นอะลูมิเนียมฟอยด์ที่แปะอยู่ใต้แผ่นไมล่าร์ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำปฏิกิริยาตอบสนองกับสนามแม่เหล็กด้วยการขยับตัวดึงเข้าและดันออกไปตามลักษณะแรงเหนี่ยวนำของเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับโครงสร้างของไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก (ภาพล่างสุด) แผ่นริบบ้อนนี้ก็ทำหน้าที่แบบเดียวกับว้อยซ์คอยนั่นเอง ส่วนที่สามคือ แท่งแม่เหล็ก” (จุดสีฟ้า) เป็นส่วนที่สร้างสนามแม่เหล็กออกมา โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าที่เป็นสัญญาณที่ป้อนเข้ามาจากเพาเวอร์แอมป์ ซึ่งในไดเวอร์แบบกรวยไดนามิกก็มีแม่เหล็กทำหน้าที่เดียวกันนี้อยู่ด้วย สุดท้ายคือแผ่นขั้วแม่เหล็กที่เจาะรู (จุดสีดำ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นแผ่นฐานที่ใช้ยึดแท่งแม่เหล็กทั้งหมด

LRS (Little Ribbon Speaker) vs. LRS+

Magnepan รุ่น LRS (Little Ribbon Speaker) ออกมาแทนที่รุ่น MMG (mini Maggie) ซึ่งเป็นรุ่นเล็กของยุคก่อน โดยมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างของไดเวอร์ด้วย คือในรุ่น MMG เดิมนั้นถูกออกแบบให้ทำงานในระบบ 2-way โดยใช้ไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติคในการสร้างความถี่ในย่านกลาง/ทุ้ม และใช้ไดเวอร์ กึ่งริบบ้อน” (quasi-ribbon) ทำหน้าที่สร้างความถี่ในย่านสูง พอเปลี่ยนมาเป็นรุ่น LRS เขาก็เปลี่ยนมาใช้ไดเวอร์กึ่งริบบ้อน ทั้งผืนทำหน้าที่สร้างความถี่ตลอดทั้งย่านเสียง

ลักษณะโครงสร้างของทวีตเตอร์ quasi-ribbon ที่ใช้ในรุ่น LRS+

รุ่น LRS ออกมาประมาณ ปี 2020 และกำลังถูกแทนที่ด้วยรุ่น LRS+ ในปัจจุบัน ซึ่งรุ่น LRS+ ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของไดเวอร์ไปจากรุ่น LRS อีก คือกลับไปใช้ลักษณะไดเวอร์แบบ 2-way เหมือนรุ่น MMG คือใช้ไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติคทำหน้าที่เป็นไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ สร้างความถี่ในย่านกลางและทุ้ม และใช้ไดเวอร์กึ่งริบบ้อนเป็นทวีตเตอร์ ทำงานในย่านแหลม ไปดูรูปร่างหน้าตาของ LRS+ กันหน่อย..

ส่วนสัด และชื่อเรียกชิ้นส่วนต่างๆ

LRS+ มีความหนา (หรือความลึก) แค่เพียง 1 นิ้วนิดๆ เท่านั้น ส่วนความสูงก็เลยเอวขึ้นมาหน่อย หน้ากว้างแค่ฟุตนิดๆ ความกว้างกับความสูงพอจะเรียกว่าเป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็กได้อยู่ แต่ความลึกเนี่ยไม่ได้เลย เพราะมันลึกแค่นิ้วนิดๆ เท่านั้น คือความลึกเป็นแค่ความหนาของส่วนที่เป็น กรอบที่ยึดไดเวอร์แผ่นฟิล์มเอาไว้ ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่า ลำโพง Magnepan มีโครงสร้างไม่เหมือนกับลำโพงตู้ทั้งหลาย พูดให้ถูกคือมันเป็นลำโพงที่ ไม่มีตู้ไปดูกันว่า ชิ้นส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นลำโพง Magnepan มีอะไรบ้าง..

ด้านบนนั้นคือภาพด้านหน้า (บน) และด้านหลัง (ล่าง) ของลำโพง MagnepanLRS+ซึ่งถ้าดูจากของจริง ผู้ผลิตเขาจะใช้ผ้าโปร่งบางห่อหุ้มทั้งหมดเอาไว้ โดยมี 2 สีให้เลือก คือสี off white จะออกขาวครีม กับสีดำ

แกะกล่อง + ประกอบง่ายๆ เลย.!!

ลำโพงทั้งสองข้างบรรจุมาในกล่องกระดาษแบนๆ ซึ่งในกล่องนั้นจะมีขาตั้งที่ทำจากโลหะแผ่นแบนๆ กว้าง 4 .. ยาวประมาณ 40 .. ดัดโค้งเกือบเป็นมุมฉาก (30 x 10 ..) ขึ้นมาเพื่อยึดติดกับตัวเฟรมของลำโพงซึ่งตัวเฟรมทำด้วยไม้ MDF โดยเจาะรูบนเฟรมไว้ที่ใกล้ๆ ฐานล่าง เพื่อให้ขันน็อตเกลียวปล่อย (ศรชี้) เข้าไปรัดตรึงแผ่นเหล็กที่เป็นขาตั้งเอาไว้ ประกอบกันง่ายๆ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว

หลังประกอบเสร็จแล้ว แผ่นโลหะที่ยื่นเป็นขาชี้ออกไปทางด้านหลังของตัวลำโพงประมาณ 30 .. จะทำให้หน้าที่พยุงตัวลำโพงเอาไว้ ซึ่งในการใช้งานปกติ ตัวลำโพงจะอยู่ในลักษณะที่เอนไปทางด้านหลังเล็กน้อยตามที่เห็นในภาพ

เมื่อทำการเซ็ตอัพจนได้ตำแหน่งที่ลงตัวแล้ว คุณสามารถปรับให้ตัวแผงลำโพงอยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกับพื้นมากขึ้น คือเอนไปข้างหลังน้อยลง ด้วยการปรับห่วงโลหะ (flippers หรือ clip) ที่อยู่ตรงส่วนปลายที่ด้านหล้งของขาตั้ง (ศรชี้) ลงมาค้ำพื้นเอาไว้

การเชื่อมต่อสายลำโพง

ในเอกสารคู่มือของ LRS+ ระบุว่า ขั้วต่อสายลำโพงที่ติดตั้งมากับลำโพง LRS+ คู่นี้มีถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับ กระแสไฟฟ้าได้สูงผ่านขั้วต่อแบบบานาน่า หรือปลอกสายเปลือยแยงเข้าไปในรูแล้วขันน็อตเกลียวยึดให้แน่น และด้วยความสามารถในการรองรับกระแสจากแอมป์ได้สูงนี่เอง ทางผู้ผลิตจึงแนะนำให้ใช้สายลำโพงที่มีตัวนำขนาดใหญ่ คืออย่างต่ำต้องไม่เล็กกว่า 16AWG ถ้าจะเอาถึงระดับอุดมคติของผู้ผลิตลำโพงก็คือตัวนำขนาด 12 – 10AWG ก็ยิ่งดี ซึ่งเบอร์ AWG ยิ่งน้อย สายจะยิ่งมีหน้าตัดขนาดใหญ่ ความต้านทานกระแสจะยิ่งต่ำ ยิ่งเป็นผลดีต่อการทำงานของลำโพงคู่นี้ หลังจากทดลองแม็ทชิ่งด้วยสายลำโพงหลายรุ่นหลายยี่ห้อ พบว่า LRS+ คู่นี้ไปกันได้ดีมากกับสายแกนแข็งขนาด 12AWG รุ่น Jade ซึ่งเป็นซีรี่ย์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์ Purist Audio Design และยิ่งให้เสียงออกมาอิ่มหนามากขึ้นอีกเมื่อขยับขึ้นมาเป็นสายลำโพงรุ่น Aqueous ที่ใช้ตัวนำขนาด 10AWG

ปรับจูนปริมาณเสียงแหลมได้ด้วย.!

หลังจากแม็ทชิ่งแอมป์และเซ็ตอัพตำแหน่งเสร็จแล้ว ถ้าคุณรู้สึกว่าเสียงแหลมเยอะเกินไป ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้ได้จัดอ๊อปชั่นพิเศษมาให้ผู้ใช้สามารถปรับจูนเพื่อ ลดปริมาณของเสียงแหลมได้ด้วยการเชื่อมต่อตัวต้านทานเข้าไปในเส้นทางของวงจรเน็ทเวิร์คส่วนที่ส่งสัญญาณไปให้กับไดเวอร์ทวีตเตอร์

ตัวต้านทาน” (resistor ตัวสี่เหลี่ยมสีขาวๆ ในภาพข้างบน) ที่ผู้ผลิตจัดมาให้ในกล่องมีทั้งหมด 4 ตัว ขนาด 10W/ กับ 10W/ อย่างละสองตัว วิธีใช้ก็คือเอาไปติดตั้งแทนที่แท่งจั๊มเปอร์นิเกิ้ล (ศรชี้สีฟ้า) โดยเลือกใช้ตัวต้านทานที่มีค่าเท่ากันทั้งสองข้าง ซึ่งวิธีนี้คุณจะสามารถปรับลดปริมาณความถี่สูงของลำโพงคู่นี้ลงไปได้สูงสุดถึง 4dB เลยทีเดียว (แต่แนะนำให้ผ่านขั้นตอนแม็ทชิ่งแอมป์กับเซ็ตอัพตำแหน่งให้ลงตัวก่อนถึงค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้)

นอกจากปรับลดปริมาณเสียงแหลมได้แล้ว บางคนพอเห็นฟิวส์บนตัวลำโพงก็อาจจะนึกคันไม้คันมืออยากจะอัพเกรดฟิวส์ขึ้นมาทันที.! แต่ก่อนจะทำการอัพเกรดใดๆ ทางผู้ผลิตมีเตือนไว้ด้วยว่าถ้าใช้ฟิวส์ที่มีค่า สูงกว่าฟิวส์ที่ผู้ผลิตใช้อยู่ อาจจะทำให้ทวีตเตอร์ไหม้ได้ ซึ่งฟิวส์ที่ผู้ผลิตติดตั้งมาให้จากโรงงานมีค่า 2.5 Amps รูปแบบ 3AG เป็นฟิวส์แบบ normal หรือแบบขาดเร็ว (fast blow) ซึ่งทางผู้ผลิตลำโพงเขาไม่แนะนำให้ bypass หรือใช้ฟิวส์แบบขาดช้า (slow blow)

แม็ทชิ่ง

ตัวเลขความไว (sensitivity) ในสมุดคู่มือของ LRS+ ระบุไว้ที่ 86dB คือความไวที่วัดได้เมื่อป้อนด้วยความถี่ 500Hz ที่มีความแรง 2.83 โวลต์ โดยตั้งไมโครโฟนไว้ห่างจากหน้าลำโพงเท่ากับ 1 เมตร พิจารณาจากตัวเลขความไวแล้ว ถือว่า LRS+ เป็นลำโพงที่จัดอยู่ในข่ายที่มี ประสิทธิภาพต่ำคือ ไม่ค่อยไวกับสัญญาณอินพุต เมื่อผสมโรงเข้ากับอิมพีแดนซ์ หรือความต้านทานปกติที่ตั้งต้นไว้ต่ำคือ 4 โอห์ม นั่นก็หมายความว่า เดิมถ้าคุณเคยใช้ลำโพง 8 โอห์ม เปิดฟังด้วยความดัง 80dB อยู่ ถ้าจะเปลี่ยนมาใช้ลำโพง LRS+ คู่นี้ แล้วตั้งใจจะเปิดฟังที่ระดับความดังเท่าเดิม ในห้องเดิม คุณต้องใช้กำลังจากแอมป์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า.! ถึงจะเอาอยู่ ถึงจะได้เสียงที่ดังอย่างมีคุณภาพจากลำโพงคู่นี้

ผู้ผลิตไม่ได้กำหนดเร้นจ์ของกำลังขับของแอมป์มาให้เหมือนลำโพงทั่วไป คงรู้ว่าระบุไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ในชีวิตจริง อือมม.. เห็นทีต้องอาศัยข้อมูลจากประสบการณ์จากผู้ที่เคยใช้ลำโพงแผ่นฟิล์มมาก่อน ซึ่งมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลำโพงประเภทนี้ชอบแอมป์ที่ฉีด กระแส” (current) ได้เยอะๆ ส่วนทางด้าน แรงดัน” (voltage) นั้นไม่ได้สำคัญมาก.. แต่ถ้าจ่ายได้มากๆ ทั้งคู่ก็ยิ่งดี

ในเมื่อไม่มีเครื่องวัดที่จะไปวัดกระแสของแอมป์ ก็ต้องอาศัยวิธีสังเกตเอาจาก ขนาดของหม้อแปลงที่แอมป์ใช้ กรณีถ้ามีแอมป์สองตัวที่ระบุกำลังขับเท่ากัน ตัวที่ใช้หม้อแปลงที่มีกำลังสูงกว่า ซึ่งโดยมากก็คือหม้อแปลงขนาดใหญ่กว่า มีน้ำหนักเยอะกว่า น่าจะจ่ายกระแสได้มากกว่า อีกทางหนึ่งคือดูที่ตัวเลขกำลังขับที่โหลด 4 โอห์ม ประกอบกันไปด้วยถ้าแอมป์ตัวนั้นระบุมา

โชคดีของผม ที่ผมมีเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo อยู่ในห้อง ที่ว่าโชคดีก็เพราะว่า เพาเวอร์แอมแป์ของ QUAD ตัวนี้ออกแบบด้วยเทคนิคพิเศษที่คิดค้นโดย Peter Walker ซึ่งเขาตั้งใจออกแบบเทคนิคนี้ขึ้นมาใช้กับเพาเวอร์แอมป์รุ่น QUAD 405 ในอดีต เพื่อเอาไปใช้ขับลำโพงแผ่นอิเล็กโตรสแตติครุ่น ESL ของเขาในยุคนั้น เทคนิคพิเศษที่ว่านี้มีชื่อว่า Current Dumping Topology ที่เขาออกแบบขึ้นมาใช้ในเพาเวอร์แอมป์ QUAD 405 ซึ่งทำให้เพาเวอร์แอมป์ตัวนี้มีความสามารถในการจ่ายกระแสได้สูง ตรงกับความต้องการของลำโพงแผ่นฟิล์ม ESL ของเขา และเพาเวอร์แอมป์รุ่น Artera Stereo ในปัจจุบันก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเดียวกันนี้ จึงมั่นใจได้ว่ามันต้องขับลำโพง MagnepanLRS+ได้อย่างแน่นอน

ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีเท่านั้นที่ทำให้มั่นใจ พอพลิกไปดูตัวเลขกำลังขับของ Artera Stereo ก็อุ่นใจมากขึ้นไปอีก เพราะมันให้กำลังขับสูงถึง 140W ที่ 8 โอห์ม แม้ว่าที่โหลด 4 โอห์ม จะไม่ได้ให้ตัวเลขไว้ แต่ก็เชื่อได้ว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 200W ที่ 4 โอห์ม ค่อนข้างชัวร์ เพราะนั่นคิดคำนวนแค่กำลังสำรองไม่ถึง 50% นะ อีกคุณสมบัติของ Artera Stereo ที่ทำให้มั่นใจว่าน่าจะขับ LRS+ ได้ก็คือ น้ำหนักของตัวเครื่องที่เยอะมาก สวนทางกับขนาดรูปร่างภายนอกที่ดูกระทัดรัด ซึ่งชิ้นส่วนที่ทำให้น้ำหนักเยอะก็คือหม้อแปลงนั่นเอง

ส่วนปรีแอมป์นั้น ผมใช้ Audiolab รุ่น 9000N (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นทั้งสตรีมเมอร์และปรีแอมป์ในตัวเดียวกัน โดยต่อสายสัญญาณ RCA ของ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif3 (REVIEW) เชื่อมโยงระหว่าง 9000N กับ Artera Stereo และใช้สายลำโพงรุ่น Jade ของ Purist Audio Design เชื่อมโยงระหว่าง Artera Stereo กับ LRS+ ส่วนสายไฟสำหรับเพาเวอร์แอมป์ใช้ Life AudioSignature 1’ (REVIEW) และใช้สายไฟ NordostBlue Heaven Leif3กับ 9000N โดยเสียบผ่านตัวกรองไฟรุ่น Micro 0.6 hr ของ Pulito (REVIEW) และที่ข้างๆ ปลั๊กบนผนังที่เสียบสายไฟ Signature 1 ผมมีตัวกรองไฟแบบขนานรุ่น Noise Trap ของ RN Marsh Design (REVIEW) เสียบอยู่ข้างๆ เพื่อกรอง noise ด้วย

ผลปรากฏว่า Artera Stereo ขับ LRS+ ออกมาได้แบบสบายๆ กระแสที่ปั๊มออกมาจาก Artera Stereo ผลักดันชิ้นดนตรีและเสียงร้องให้กระเด็นออกไปจากแผงตู้ของลำโพงได้อย่างหมดจด และยังสามารถเร่งความดังขึ้นมาจนเสียงแผ่เต็มห้องได้โดยไม่มีอาการอึดอัด โดยที่เสียงโดยรวมยังคงรักษา ทรงไว้ได้อย่างสวยงาม ไม่มีอาการเครียดและจ้า แสดงถึงความ เหลือเฟือของพละกำลังของ Artera Stereo ที่มีต่อ LRS+ คู่นี้

เพื่อให้แน่ใจ ผมจัด all-in-one ของ Arcam รุ่นใหญ่สุดและใหม่สุดคือ SA45 เข้ามาสลับทดลองขับ LRS+ อีกตัวหนึ่ง ซึ่งออลอินวันตัวนี้ดีไซน์วงจรขยายด้วย class G โดยให้กำลังขับสูงถึง 180W ที่โหลด 8 โอห์ม (วัดตลอดย่านความถี่ 20Hz – 20kHz) และทะยานไปได้ถึง 300W ที่โหลด 4 โอห์ม (วัดที่ 1kHz) โดยใช้ภาคสตรีมเมอร์ในตัว SA45 เป็นเพลเยอร์ไปด้วย ในขณะที่อุปกรณ์ร่วมในซิสเต็มคือสาย, ตัวกรองไฟ และชั้นวาง ก็ยังคงเหมือนเดิมทั้งหมด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่า พลังของแอมป์ class G ที่ระดับ 180W ก็สามารถผลักดันเสียงจากแผ่นฟิล์มพลาน่าร์+ริบบ้อนของ LRS+ ให้กระเด็นหลุดออกมากระจายอยู่ในอากาศได้อย่างหมดจดเหมือนกัน แถมยังคอนโทรลมูพเม้นต์ของเสียงได้นิ่งกว่า Artera Stereo ซะอีก ฟังแค่ไม่กี่นาทีก็ลืมลำโพงไปเลย ไม่ว่าจะฟังเพลงอะไรก็ไปได้หมด ทั้งหนักและเบา ทั้งดังและค่อย ยืนยันถึงความสามารถของภาคแอมป์ในตัว SA45 ที่ให้การคุมลำโพงได้เบ็ดเสร็จ ได้ฟังแล้วสามารถขีดเส้นใต้สรุปได้ว่า SA45 กับ LRS+ เป็นคู่แม็ทชิ่งที่สมบูรณ์แบบมาก แถมเล่นง่ายด้วย..!!

ความลับอยู่ที่ สายลำโพง“..!!

ต้องย้ำอีกทีว่า สายลำโพงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับลำโพงคู่นี้ ในคู่มือของ LRS+ ระบุไว้ชัดว่าแนะนำให้ใช้สายลำโพงที่มีหน้าตัดตัวนำใหญ่ๆ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 16AWG (ถ้าใช้หลายเส้นก็เอามานับรวมกัน) คือยิ่งใหญ่ยิ่งดี ถ้าจะให้ถึงใจคนออกแบบลำโพงเขาแนะนำว่าถ้าไปได้ถึง 12 – 10AWG จะยอดเยี่ยมมาก ซึ่งคนออกแบบเขาเน้นแค่ขนาดของ พื้นที่หน้าตัดของตัวนำ แต่ไม่ได้ระบุลักษณะดีไซน์ของสาย ผมเลยเอาสายลำโพงที่ออกแบบตัวนำด้วยเทคนิคต่างๆ กันมาทดลองฟังกับลำโพงคู่นี้ ซึ่งมีทั้งแบบถักไขว้ (Kimber Kable รุ่น 12TC), แบบแกนเดี่ยว (Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aeous) และแบบแกนเดียวเรียงหนึ่งในฉนวนแบนๆ (Nordost รุ่น Blue Heaven Leif3) พบว่า เมื่อใช้กับสายลำโพงแต่ละดีไซน์ เสียงของ LRS+ จะแปรเปลี่ยนไปคนละแนว คือถ้าจับคู่กับสายลำโพง Purist Audio DesignJadeหรือ Aqueous Aeousจะได้เสียงที่ออกไปทางมีเนื้อ กลางทุ้มอิ่มหนา ปลายเสียงแหลมโรยตัวไม่พุ่งเปิด แต่ถ้าเปลี่ยนไปจับกับ NordostBlue Heaven Leif3จะได้โทนเสียงที่โปร่ง กังวาน ตัวเสียงกระทัดรัด กลางแหลมเปิดลอย กระจ่าง ส่วนจับกับ Kimber Kable12TCจะได้โทนเสียงออกมาอยู่กลางๆ ระหว่าง Aqueous Aeousกับ ‘Blue Heaven Leif3แสดงว่าโทนเสียงของลำโพงคู่นี้ก็มีโทนัลบาลานซ์ที่ปรับจูนมาเป็นกลางพอสมควร

เซ็ตอัพตำแหน่งวาง

ก่อนจะไปพูดถึงการเซ็ตอัพตำแหน่งของลำโพง LRS+ คู่นี้ ผมอยากจะชวนคุยถึง ลักษณะของไดเวอร์ที่เอามาใช้ทำลำโพงก่อน ซึ่งไดเวอร์ (หรือ tranducer) ในโลกนี้มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ถ้าแบ่งตาม ลักษณะการกระจายของคลื่นเสียง” (sound wave dispersion) จะแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ หลักๆ คือ “Point Sourceกับ “Line Source

ดอกลำโพงแบบกรวยไดนามิกเป็นไดเวอร์แบบ ‘point sourceซึ่งจะกระจายคลื่นเสียงจากตัวไดเวอร์ออกไปรอบด้าน ทั้งแนวระนาบ (horizontal) และแนวตั้ง (vertical) ส่วนไดเวอร์แบบแผ่นทั้ง electrostatic และ planar magnetic เป็นไดเวอร์แบบ ‘line sourceที่กระจายคลื่นเสียงจากตัวไดเวอร์ออกไปทางแนวตั้งมากกว่าแนวนอน (*ดอกลำโพงแบบกรวยไดนามิกก็สามารถนำมาทำเป็นลำโพงที่กระจายเสียงแบบ line source ได้ โดยใช้หลายๆ ดอกมาต่อพ่วงกันในแนวดิ่ง เรียกลำโพงแบบนั้นว่า line array)

ด้วยรูปแบบของการกระจายเสียงแบบ line source และด้วยขนาดพื้นที่ของไดอะแฟรมที่ใช้ในการสร้างคลื่นเสียงของไดเวอร์แบบแผ่นที่มากกว่าไดเวอร์แบบกรวย ทำให้ลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบแผ่นสามารถแพร่กระจายคลื่นเสียงที่มี ความเข้มข้นออกไปได้ไกลกว่าลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก นี่คือ ข้อดีของไดเวอร์แบบแผ่น และด้วยลักษณะการกระจายคลื่นเสียงที่พุ่งแผ่ออกไปในแนวตั้งมากกว่าแนวระนาบนี่เอง ทำให้ลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบแผ่นมีผลกระทบกับสภาพอะคูสติกในห้อง น้อยกว่าลำโพงที่ใช้ไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิก

ยังมีความแตกต่างกันอยู่อีกอย่างระหว่างลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบกรวยกับลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบแผ่น เนื่องจากลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบแผ่นทั้งตัว มักจะถูกออกแบบให้ทำงานโดยไม่มีตู้ การกระจายคลื่นเสียงของไดเวอร์แบบแผ่นจึงมีลักษณะที่เรียกว่า dipole radiation pattern (หรือเรียกอีกอย่างว่า figure eight radiation pattern) ซึ่งเป็นการกระจายคลื่นเสียงออกไปทั้งด้านหน้าของลำโพงและกระจายออกไปทางด้านหลังของลำโพงด้วยระดับความดังที่ไม่ต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้ ลักษณะซับสะท้อนของผนังห้องที่อยู่ด้านหลังลำโพงแบบแผ่นจึงมีผลกับเสียงของลำโพงแผ่นมาก ส่งผลต่อการเซ็ตอัพระยะห่างผนังหลังของลำโพงแบบแผ่น ซึ่งโดยปกติแล้ว ลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบแผ่นจะชอบผนังด้านหลังที่มีลักษณะสะท้อนมากกว่าซับฯ

ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับมาข้างต้นทำให้ผมสามารถจัดซิสเต็มที่แม็ทชิ่งกับลำโพง LRS+ ออกมาได้ง่ายขึ้น และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประกอบกับการเซ็ตอัพตำแหน่งวางลำโพง LRS+ คู่นี้ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีได้เร็วขึ้นด้วย

จากภาพชาร์ตข้างบนนั้น จะเห็นว่า ระยะห่างผนังหลังของลำโพงแม็กนีแพนคู่นี้มันขยับลงไปชิดกับผนังด้านหลังมากกว่าลำโพงที่มีตู้คู่อื่นๆ ที่ผมเคยทดสอบไปในห้องนี้อย่างมีนัยยะ ซึ่งปกติแล้ว ตำแหน่งลงตัวของลำโพงที่มีตู้ทั่วๆ ไปมักจะถอยลงไปจากเส้น 1/3 x ความลึกของห้องแค่เพียง 4 – 5 .. เท่านั้น ในขณะที่ LRS+ คู่นี้ถอยลงไปมากถึง 34 .. เลยทีเเดียว.! เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าลำโพงมีตู้ทั่วไปแทบจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเสียงที่สะท้อนกลับมาจากผนังหลังเลย แถมส่วนใหญ่ยังแอบกลัวเสียงที่สะท้อนกลับมาจากผนังหลังซะด้วยซ้ำไป ความเข้มข้นของเสียงตลอดทั้งย่านทุ้มกลางแหลมของลำโพงมีตู้จะถูกปรับจูนด้วยปริมาณอากาศและลักษณะสัดส่วนของผนังภายในตัวตู้ช่วยสนับสนุนการผลักอากาศของไดเวอร์ให้มีทิศทางออกไปทางด้านหน้าเป็นหลัก จะมีส่วนของคลื่นเสียงที่สะท้อนจากผนังหลังเข้ามาช่วยสนับสนุนอยู่บ้างก็เฉพาะในย่านความถี่ต่ำมากๆ เท่านั้นซึ่งก็คือความถี่ต่ำที่ปล่อยออกไปทางท่อระบายอากาศนั่นเอง ในขณะที่ลำโพงแผ่นแบบ Magnepan ต้องอาศัยคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมาจากผนังด้านหลังเข้ามาช่วยเสริมให้คลื่นเสียงที่แผ่กระจายออกมาทางด้านหน้ามีความแข็งแรงมากพอที่จะกำหนด ทรง” (foundation) ขึ้นมาได้ ซึ่งลำโพงแผ่นลักษณะที่เปิดโล่งทั้งตัวแบบ LRS+ คู่นี้ต้องการแรงสนับสนุนจากผนังหลัง ทุกความถี่ตั้งแต่แหลมกลางทุ้ม ด้วยเหตุนี้ ระยะห่างผนังด้านหลังของลำโพงคู่นี้จึงมีนัยยะสำคัญต่อคุณภาพเสียงโดยรวมมากเป็นพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่า สภาพอะคูสติกของผนังด้านหลังก็มีความสำคัญต่อการสะท้อนของคลื่นเสียงเช่นกัน และนี่ก็คือเหตุผลที่ลำโพงแผ่นแบบนี้ไม่ชอบผนังหลังที่มีลักษณะดูดซับเสียงเยอะๆ

ทวีตเตอร์อยู่ด้านนอก..

“.. Your speakers come in matched pairs and are mirror-imaged. The serial number for each speaker in the pair is the same except a “1” or “2” follows each serial number. To start place speaker “1” on the left and “2” on the right. This places the tweeters to the outside.

ลำโพง LRS+ ถูกกำหนดข้างซ้าย (L) และข้างขวา (R) มาจากโรงงาน โดยข้างที่มีเลข 1 ต่อท้ายซีรี่ย์นัมเบอร์จะเป็นข้างซ้าย ในขณะที่ข้างที่มีเลข 2 ต่อท้ายซีรี่ย์นัมเบอร์จะเป็นข้างขวา เมื่อวางลำโพงตามนี้ จะทำให้แถบ quasi-ribbon ที่เป็นทวีตเตอร์ออกไปอยู่ด้านข้างริมนอกของลำโพงทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นลักษณะการจัดวางที่ผู้ผลิตแนะนำมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ผลิตก็เปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถ ซนได้ด้วยการสลับข้างเอาแหลมเข้าด้านในก็ได้ถ้าคุณต้องการ แต่ผู้ผลิตก็มีเตือนไว้ว่า ไม่ว่าจะเอาแหลมไว้นอกหรือไว้ใน เวลาเซ็ตอัพตำแหน่งวาง ต้องไม่ทำให้ระยะห่างระหว่างตำแหน่งนั่งฟังมาถึงแถบทวีตเตอร์ “สั้นกว่า” ระยะห่างระหว่างแถบมิดเร้นจ์/ทุ้มมาถึงตำแหน่งนั่งฟัง พูดง่ายๆ วางยังไงก็ได้ ขอให้ระยะที่วัดจากจุดนั่งฟังไปถึงแถบมิดเร้นจ์/ทุ้ม มากกว่าระยะห่างจากจุดนั่งฟังไปถึงแถบแหลมเท่านั้น

อ่านวนไปวนมาแล้ว สรุปได้ว่า ไม่ว่าคุณจะ เริ่มต้น” เซ็ตอัพหาตำแหน่งวางลำโพงคู่นี้ด้วยสูตรที่ผู้ผลิตแนะนำมา หรือจะเริ่มต้นด้วยสูตรไหนก็ตาม หลังจากจุดเริ่มต้นที่วางลำโพงทั้งสองข้างลงไปแล้ว ตอนไฟน์จูนให้ได้เสียงที่ลงตัวจริงๆ คุณก็ต้องขยับลำโพงทั้งสองข้างไปจากตำแหน่งเดิมทั้งนั้น ซึ่งทุกครั้งที่ขยับลำโพงไปจากตำแหน่งเดิม สิ่งที่จะสรุปได้ว่า การขยับจะไปสิ้นสุดลงที่ตำแหน่งไหนก็คือ การฟังด้วยหูโดยอาศัยทักษะที่มีอยู่เป็นตัวตัดสิน ด้วยเหตุนี้ จะเริ่มต้นด้วยวิธีไหนก็ไม่ต่างกันถ้าใช้ การฟังเป็นตัวตัดสิน ถ้าหูแม่นจริง ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยสูตรไหน สุดท้ายก็จะมาจบลงที่ตำแหน่งเดียวกัน ในห้องเดียวกันนั้นนั่นเอง

หลังจากกำหนดตำแหน่งวาง LRS+ ทั้งสองข้างลงบนเส้น 1/3 x ความลึกของห้องพร้อมกำหนดระยะห่างระหว่างข้างซ้ายและขวาไว้ที่ 180 .. ตามสูตรของผมแล้ว ณ จุดนี้ผมพบว่า เสียงโดยรวมเริ่มมี ทรงเกิดขึ้นแล้ว แต่เป็น ทรงอ่อนๆที่ยังขาดความแน่นของฐานอยู่พอสมควร จากประสบการณ์ที่มีอยู่ทำให้รู้เลยว่า ลำโพงคู่นี้ต้องการให้ดันถอยลงไปหาผนังหลังซึ่งมันก็สอดคล้องกับลักษณะดีไซน์ของตัวลำโพง ผมก็เริ่มทดลองขยับดันลำโพงลงไปชิดผนังหลังทีละ 5 .. ซึ่งทุกครั้งที่ขยับลำโพงทั้งสองข้างลงไปชิดผนังหลัง ผมพบว่า ทรงของเสียงมันมีความแน่นกระชับมากขึ้นเรื่อยๆ โทนัลบาลานซ์ดีขึ้น ทุ้มเป็นตัวมากขึ้นและมีพลังดีดตัวมากขึ้น หัวโน๊ตเบสเริ่มลอยตัวออกมาจากกลุ่มของเสียงทุ้มหนาๆ แล้ว ในขณะที่กลางกับแหลมมีมวลเข้มขึ้น ลอยตัวออกมามากขึ้น สามารถเร่งความดังของแอมป์ขึ้นมาได้มากขึ้นโดยไม่ทำให้ ทรงเสียหาย แสดงว่ามาถูกทางแล้ว..

เมื่อระยะห่างผนังหลังเริ่มลงตัวแล้ว ก็ถึงเวลาขยับลำโพงซ้ายขวาให้ชิดกันเพื่อจูน โฟกัสของเสียงให้คมชัดกลืนเป็นเนื้อเดียวกันให้มากที่สุด ผมพบว่า ระยะห่างที่ทำให้ได้โฟกัสออกมาคมที่สุดก็คือ 169 .. ซึ่งถือว่าห่างกันมากกว่าลำโพงตู้ขนาดเล็กอยู่พอสมควร

ระหว่างการไฟน์จูนผมพบว่า การเอียงแผงหน้าของ LRS+ หรือโทอินลำโพงทั้งสองข้างให้ยิงเข้าหาจุดนั่งฟังมีผลกับเสียงเยอะมาก หลังจากได้ระยะห่างซ้ายขวาที่ลงตัวแล้ว พอลองเอียงหน้าลำโพงให้ยิงเข้าหาจุดนั่งฟังทีละนิดพบว่า เวทีเสียงจะบีบแคบลง เสียงเข้มและพุ่งเข้ามาถึงตัวมากขึ้น หางเสียงหดสั้นลง พร้อมๆ กับมี บางอย่างที่คอยรบกวนประสาทหูออกมาด้วยคล้ายๆ อาการ out-of-phase ของความถี่ในย่านสูง เป็นลักษณะของเสียงที่ผมไม่ชอบโดยส่วนตัว ซึ่งลำโพง Magnepan คู่นี้ก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกับลำโพงมีตู้ทั่วไป สรุปแล้ว ปรับหน้าลำโพงทั้งสองข้างให้อยู่ในลักษณะที่ขนานกับผนังด้านหลังให้เสียงออกมาดีที่สุด ทุกอย่างฟังเป็นปกติ ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงแต่ละคุณสมบัติออกมาดีใกล้เคียงกัน เมื่อเซ็ตอัพอยู่ในระยะห่างหลัง และระยะห่างซ้ายขวาตามที่ระบุไว้ในภาพชาร์ตข้างบน

เสียงของ MagnepanLRS+

ช่วงที่ผมทดลองแม็ทชิ่ง LRS+ ด้วยสายลำโพง 3 คู่ ที่ดีไซน์มา 3 เทคนิค (NordostBlue Heaven Lief3’, Kimber Kable12TCและ Purist Audio DesignJade’) ทำให้ผมพอจะประเมินโทนเสียงของลำโพงคู่นี้ออกมาได้ว่า โทนเสียงโดยรวมของลำโพงคู่นี้จะให้ปริมาณของความถี่ในย่านกลางแหลมออกมา มากกว่าความถี่ในย่านทุ้มอยู่นิดๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60/40 ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบฟังเสียงกลางที่ลอยเด่น กับเสียงแหลมที่ใส กระจ่าง ละเอียด และกังวาน รับรองว่าถ้าได้ฟังเสียงของ Magnepan คู่นี้แล้วคุณต้องกรี๊ดไม่หยุดแน่ๆ ..!!

เพลง : Kradem ti se u veceri (https://tidal.com/browse/track/114542272?u)
อัลบั้ม : Bass Room (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Nanad Vasilic
ลิ้งค์อัลบั้ม : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/114542267?u)

ลำโพงแบบๆ ตู้ก็ไม่มี แบบนี้จะมีเบสมั้ย.? เชื่อว่านี่คือข้อสงสัยข้อแรกสำหรับคนที่ไม่เคยฟังเสียงของลำโพงแผ่นแบบนี้มาก่อน ผมน่ะพอรู้อยู่แล้วว่ามันให้เบสได้ แต่ไม่ดีเท่าลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก (เมื่อเทียบที่ระดับราคาพอๆ กัน) ซึ่งในอดีตนั้น ใครๆ ก็รู้ว่า ประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความถี่ย่านต่ำนี่แหละที่เป็นจุดอ่อนของลำโพงแผ่นลักษณะนี้ นี่คือเหตุผลที่ผมเริ่มต้นทดสอบด้วยเพลง Kadem ti se u veceri ของ Nanad Vasilic ก่อนเป็นอันดับแรกเพราะอยากรู้ว่า Magnepan จัดการกับจุดอ่อนข้อนี้ได้ดีเพียงใด แค่โน๊ตแรกพุ่งออกมาจากลำโพงคู่นี้ผมก็ต้องอุทาน โอ๊ว.. ออกมาโดยไม่รู้ตัว ตามด้วย เฮ้ย.. เบสมันแน่นขนาดนี้เลยเหรอ.? แต่ละโน๊ตของอะคูสติกเบสที่ Nanad ใช้นิ้วมือดึงมันดีดตัวผึงออกมาจากแผงไดเวอร์ของ LRS+ อย่างฉับไวและมีเนื้อมวลที่อัดแน่นมากกว่าที่คาด และพอเขาเปลี่ยนมาใช้คันชักสีลากลงไปบนสายแทนนิ้ว เสียงโน๊ตของอะคูสติกเบสก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงทุ้มที่มีมวลอิ่มหนา แผ่คลื่นความถี่ต่ำออกไปได้กว้าง และลากหางเสียงไปได้ยาว

ผมลองหยิบชาร์ตเทียบความถี่กับเสียงของโน๊ตจากเครื่องดนตรีแต่ละชนิดมาพิจารณาอีกที ซึ่งสเปคฯ ของ MagnepanLRS+คู่นี้ระบุตัวเลข Frequency Response ไว้ที่ 50Hz22kHz พอเอาไปทาบกับชาร์ตพบว่า ความสามารถในการตอบสนองความถี่ของลำโพงคู่นี้มันครอบคลุมเสียงของ หัวโน๊ต” (fundamental) ของเครื่องดนตรีต่างๆ ได้เกือบทั้งหมด เสียงร้องชายหญิงคลุมได้หมด, เสียงของเครื่องเป่าทั้งวู๊ดวินและเครื่องเป่าทองเหลืองก็คลุมได้เกือบ 100% ขาดแต่โน๊ตต่ำๆ ของทูบ้าแค่ไม่กี่โน๊ตเท่านั้น เครื่องสายอย่างไวโอลินและเชลโล่รวมถึงกีต้าร์โปร่งและกีต้าร์ไฟฟ้าก็ครอบคลุมได้ทั้งหมด ส่วนเบส 4 สายและ 5 สาย ขาดโน๊ตต่ำๆ ไปไม่กี่เปอร์เซ็นต์ กลองก็ครอบคลุมได้หมด เห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่ลองฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีเบส แม้ว่าในแง่ของโทนัลบาลานซ์ของลำโพงคู่นี้จะเอนเอียงไปทางกลางแหลมที่มีปริมาณมากกว่าย่านต่ำอยู่นิดหน่อยเท่านั้น

อัลบั้ม : Love Is The Thing (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Nat King Cole
สังกัด : DCC Compact Classics (GZS-1104)(24 Karat Gold CD)

สังกัด DCC Compact Classics ก่อตั้งเมื่อ ปี 1986 เป็นค่ายเพลงที่ตั้งขึ้นเพื่อเอาอัลบั้มเก่าๆ มาทำการรีมาสเตอร์ขึ้นมาใหม่เพื่อปั๊มลงแผ่นซีดีและไวนิล ซึ่งแน่นอนว่า แต่ละอัลบั้มที่ค่าย DCC Compact Classics ทำออกมาจึงมีความโดดเด่นทั้งทางด้าน ตัวเพลงและทางด้าน คุณภาพเสียงซึ่ง Love Is The Thing ของ Nat King Cole ชุดนี้คือ ไฮไล้ท์หนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของค่ายนี้

จุดเด่นของค่ายนี้คือ บุคลิกเสียงที่ออกไปทางอบอุ่น นุ่มนวล เพราะค่ายนี้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ขยายสัญญาณด้วยหลอดสุญญากาศในการทำรีมาสเตอร์ ส่วนซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่รับหน้าที่ทำมาสเตอร์ให้กับค่ายนี้ก็คือ Steve Hoffman ซึ่งยอมรับกันในวงการว่าเป็นหนึ่งในมาสเตอริ่ง เอ็นจิเนียร์ระดับยอดฝีมือคนหนึ่ง

ฟังเสียงร้องของ Nat King Cole ในอัลบั้มชุดนี้ผ่านลำโพง Magnepan คู่นี้แล้วต้องร้องว้าวดังๆ..!! มันออกมาครบคุณสมบัติที่หลายๆ คนอยากได้ คือ อิ่มใหญ่, เนื้อเข้มแน่น และลื่นไหล แต่ละคำร้องถูกขัดเกลาออกมาอย่างสละสลวย ชัดถ้อยชัดคำ ด้วยมูพเม้นต์ที่หน่วงช้านิดๆ ของอัลบั้มนี้กลับช่วยย้ำเน้นให้รู้สึกลุ่มลึกและไหลลื่นไปด้วยอารมณ์ของเพลงที่ข้นคลั่ก เชื่อว่าคนที่คุ้นชินกับแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้มาได้ยินแล้วคงต้องหยุดฟังด้วยความพอใจ เพราะ sound ที่ออกมามันมีฟิลลิ่งของความรู้สึกย้อนยุค ฟังแล้วดึงให้กลับไประลึกถึงอดีต ซึ่งหลังจากฟังเพลงอื่นๆ ในอัลบั้มเดียวกันนี้ต่อเนื่องไป มันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า ลำโพงแผ่นสไตล์นี้มันช่างเหมาะสมกันมากกับเพลงย้อนยุคแบบนี้ (อัลบั้มนี้บันทึกเสียงเมื่อ ปี 1957)

นอกจากบุคลิกเสียงที่ย้อนยุคแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ LRS+ ทำให้เกิดขึ้นกับเสียงของ Nat King Cole นั่นคือ ความเปิดโล่งของเสียงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกอิสระ หลุดลอย หลับตาฟังจะไม่รู้สึกถึงความเครียดเค้นใดๆ คือฟังแล้วมันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเสียงร้องที่ ดันออกมาจากลำโพง แต่มันเป็นเสียงร้องที่ ลอยออกมาจากลำโพงแบบสบายๆ ซึ่งนี่คงเป็นความโดดเด่นของลำโพงไร้ตู้ลักษณะนี้ โทนเสียงของ Magnepan คู่นี้มีความละม้ายกับเสียงของลำโพง Silent PoundChallenger IIที่ผมเคยทดสอบไป (REVIEW) แต่ไม่เหมือนกันซะเลยทีเดียว

อัลบั้ม : Ella & Louis (DSF64)
ศิลปิน : Ella Fitzgerald & Louis Armstrong
สังกัด : Verve

ฟังเสียง Nat King Cole แล้ว ทำให้นึกอยากฟังเสียงของนักร้องหญิงที่บันทึกเสียงในยุคใกล้ๆ กัน ค้นไปค้นมาก็ไปเจออัลบั้ม Ella & Louis ที่บันทึกเสียงออกมาเมื่อช่วง ปลายปี 1956 ก่อนงานชุด Love Is The Thing ของ Nat King Cole แค่ปีเดียว เผอิญว่า เวอร์ชั่นที่ค้นเจอใน NAS ของผมเป็นเวอร์ชั่น DSD64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ทำให้รู้ว่า ถ้าใช้แหล่งต้นทางที่มีคุณภาพสูงกับลำโพงคู่นี้ มันก็จะถ่ายทอดความดีงามของแหล่งต้นทางออกมาให้รับรู้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย โดยเฉพาะความดีเด่นในย่านกลางแหลม เสียงร้องของ Ella เนียนละมุนเป็นพิเศษ รู้สึกได้ถึงประกายที่เปล่งปลั่งออกมาจากเสียงร้องของเธอ ความเป็นอิสระของเสียงยิ่งเด่นชัดมากขึ้นไปอีก รู้สึกว่าเสียงร้องและเสียงดนตรีมัน ลอยออกมาอยู่ในอากาศแบบไม่มีอาการรุกเร้าจนเกินเลย แม้ว่าจะเปิดดังๆ ก็ไม่อึดอัด (ขับด้วยออลอินวันของ Arcam รุ่น SA45 ที่มีกำลังขับเหลือเฟือ)

เสียงของหลุยส์ อาร์มสตรองก็ออกมาเข้มข้น เป็นเสียงที่คอนทราสน์ตัดกับเสียงของเอลล่าอย่างชัดเจน ซึ่งผมว่านี่ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างของลำโพง Magnepan คู่นี้ ตรงที่มันแจกแจงรายละเอียดของเสียงที่ระดับ micro ออกมาให้รับรู้ได้แบบง่ายๆ ไม่ยัดเยียดและไม่ต้องตะแคงหูฟัง คือมันไม่ได้แค่ปล่อยเสียงร้องออกมาให้ได้ยิน แต่มันบอกให้รู้ว่าแต่ละคำที่หลุยส์ อาร์มสตรองร้องออกใมานั้นมันผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง มัน (ลำโพงคู่นี้) แสดงให้รู้ว่ากว่าแต่ละเสียงจะหลุดออกมาจากปากของเขามันเต็มไปด้วยความตั้งใจอย่างสูง และพอถึงคิวของเสียงมิวต์ทรัมเป็ต ผมก็แทบจะตกเก้าอี้.! โอ้โห.. เสียงทรัมเป็ตมันพุ่งปรี๊ดออกมาแบบไม่บอกไม่กล่าว เสียงแหลมพุ่งคมออกมาเป็นลำ ปลายเสียงรีดเรียวไม่แตกฟุ้ง ซึ่งน่าทึ่งมาก เพราะจากที่ผมเคยฟังกับลำโพงที่ใช้โดมทวีตเตอร์มาหลายตัว ส่วนใหญ่จะให้เสียงทรัมเป็ตของหลุยส์ อาร์มสตรองในเพลงนี้ออกมาในลักษณะที่แตกปลาย กระจายหางเสียงออกไปเป็นวงกว้าง ไม่รวบปลายให้เรียวแหลมแบบนี้ ซึ่งจากประสบการณ์ในชีวิตของผมมันบ่งชี้ว่าเสียงมิวต์ทรัมเป็ตที่ LRS+ ถ่ายทอดออกมามัน จริงกว่าลำโพงหลายๆ คู่ที่เคยฟังมา โดยเฉพาะถ้าจำกัดอยู่ที่ลำโพงราคาไม่ถึงแสนที่ได้ฟังมา ผมว่าไม่มีคู่ไหนให้เสียงทรัมเป็ตออกมาได้ดีเท่า Magnepan คู่นี้แล้ว.!!

อัลบั้ม : Vivaldi – The Four Season (DSF64)
ศิลปิน : Janine Jansen
สังกัด : Decca

ได้ยินเสียงแหลมที่พุ่งเปิด กระจ่าง และสะอาดๆ จากอัลบั้มชุด Ella & Louis แล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่า ลำโพง MagnepanLRS+คู่นี้น่าจะฟังเพลงคลาสสิกได้ดีเป็นพิเศษ ว่าแล้วก็ลองค้นหาเพลงคุ้นๆ หู อย่างงานเพลงชุด The Four Season ของวิวาลดีมาลองฟัง เวอร์ชั่นนี้โซโล่ไวโอลินโดย Janine Jansen โดยมีวงแชมเบอร์ 4 ชิ้นคือ ไวโอลิน (Candida Thompson & Henk Rubingh), วิโอล่า (Julian Rachlin) และดับเบิ้ลเบส (Stacey Watton) เล่นแบ็คอัพให้ เป็นงานบันทึกเสียงยอดเยี่ยมอีกชุดหนึ่งที่ผมชอบเปิดฟังบ่อยๆ ซึ่งเสียงที่ออกมาก็เป็นจริงอย่างที่คาด เสียงไวโอลินมีโอเว่อร์โทนที่เมลืองมลังมากเป็นพิเศษ คือมันใส ลอย กังวาน ครบเครื่อง เสียงวิโอล่ากับดับเบิ้ลเบสก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ความโดดเด่นที่ลำโพงคู่นี้ปสกงออกมาให้ได้ยินจากเพลงชุดนี้ก็คือความโปร่ง ความกังวานของฮาร์มอนิกของเสียงเครื่องสายที่สวยงามมาก ฟังแล้วพูดได้เต็มปากเลยว่า ลำโพงแผ่นพลาน่าร์ของ Magnepan เป็นลำโพงที่เหมาะกับการเล่นเพลงแนวคลาสสิกมากเป็นพิเศษ มันทำให้เสียงเครื่องดนตรีอะคูสติกฟังดูแพง เพราะมีความฟรุ้งฟริ้งของฮาร์มอนิกที่แผ่กระจายออกมาแบบครบๆ ไม่โรลออฟตัดปลายเสียงหลบหายไป เสียงของเครื่องดนตรีอะคูสติกจึงมีความเปล่งปลั่งในน้ำเสียงมากเป็นพิเศษ ซึ่งอันนี้ผมยกให้เป็นไฮไล้ท์สำหรับลำโพงคู่นี้ มันเหมาะมากถ้าคุณชอบฟังเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีอะคูสติกในการบรรเลง

อัลบั้ม : Last Night Blues (TIDAL HIGH/Flac-16/44.1)
ศิลปิน : Lightin’ Hopkin
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/84100055?u)

ลองฟังเพลงบลูส์อัลบั้มนี้กับ LRS+ ก็ช่วยคอนเฟิร์มว่าลำโพงคู่นี้เหมาะสมกับเพลงแนวอะคูสติกแบบนี้มาก เสียงกีต้าร์โปร่งของ Lightnin’ Hopkin กังวานใส ทอดปลายหางเสียงออกไปได้ไกล เสียงร้องก็หลุดลอยออกไปนอกลำโพง มูพเม้นต์เป็นอิสระ มิติก็ดีมาก ลองฟังเพลงสุดท้ายแทรคที่ 8 เพลง Conversation Blues ที่เขาร้องคู่กับ Sonny Terry เขาบันทึกเสียงมาแยกซ้ายแยกขวากันชัดเจน ซึ่งลำโพงคู่นี้แจกแจงบรรยากาศออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก เหมือนนั่งฟังเขาเล่นกันสดๆ หน้าเวทีเลย.!!

ลองจูนเสียงด้วย resistor

หลังจากฟังเก็บข้อมูลประกอบการวิเคราะห์รีวิวเสร็จแล้ว ผมก็ทดลองจูนเสียงแหลมของ LRS+ ด้วยการเอาตัว resistor ขนาด 10W/ เข้าไปเสียบแทนจั๊มเปอร์นิเกิ้ลที่พ่วงอยู่หน้าทวีตเตอร์ ซึ่งตอนเปลี่ยนค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควร ต้องใช้ประแจหกเหลี่ยมตัวเล็กๆ ขันน็อตเกลียวที่ใช้ยึดจั๊มเปอร์ออกแล้วขันกลับไปเพื่อยึดขาของรีซีสเตอร์ที่มีขนาดเล็กมาก กว่าจะขันเสร็จเล่นเอาเหงื่อตก ไม่ใช่แน่นแต่เพราะขันลำบาก ผู้ผลิตน่าจะต้องปรับปรุงตรงนี้นิด ทำให้ขันง่ายๆ หน่อยจะดีมาก

หลังจากเปลี่ยนเอารีซีสเตอร์เข้าไปแทนที่จั๊มเปอร์แล้ว ทดลองเปิดฟัง พบว่าเสียงแหลมมันลดน้อยลงไปในปริมาณที่รับรู้ได้ชัดมาก ส่งผลต่อโทนเสียงที่มีลักษณะนุ่มลง หม่นลง ซึ่งผู้ผลิตแนะนำไว้ว่า ให้ใช้รีซีสเตอร์ทำการ “ลดปริมาณ” ของเสียงในย่านแหลมลงในกรณีที่คุณพบว่า เสียงโดยรวมมีลักษณะที่เจิดจ้ามากเกินไป ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากแม็ทชิ่งในซิสเต็ม หรือเกิดจากสภาพอะคูสติกภายในบริเวณที่ติดตั้งใช้งานลำโพงที่สะท้อนเสียงในย่านแหลมมากเกินไป แต่ถ้าคุณจัดการตั้งแต่ขั้นแม็ทชิ่งเซ็ตอัพปรับจูนให้ได้เสียงที่ลงตัวโดยไม่มีอาการของเสียงแหลมที่เจิดจ้าเกินไป ผมพบว่า จั๊มเปอร์นิเกิ้ลที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีมากแล้ว (*ใครอยากจะซนก็อาจจะหาวัสดุอื่นมาใช้แทนจั๊มเปอร์ตัวนี้เพื่อทดลองจูนเสียงก็ได้อีกทางหนึ่ง)

สรุปว่า อ๊อปชั่นเปลี่ยนรีซีสเตอร์สำหรับผมไม่จำเป็น ซึ่งผมอยากจะแนะนำว่า ก่อนจะทดลองเปลี่ยนรีซีสเตอร์ คุณควรจะจัดการขั้นตอนแม็ทชิ่งแอมป์เข้ากับลำโพงคู่นี้ก่อน จากนั้นก็ทดลองเซ็ตอัพตำแแหน่งให้ได้เสียงโดยรวมออกมาดีที่สุด หลังจากนั้นจึงค่อยทดลองปรับจูนด้วยการเปลี่ยนรีซีสเตอร์หรือเปลี่ยนขาตั้ง เป็นขั้นตอนท้ายสุด..

take ‘LRS+’ to the limit..!!!

ก่อนจะปิดจบการทดสอบลำโพงคู่นี้ ผมก็ทดลองโปรเจ็กต์ ‘Nobody Does This!ด้วยการจัดปรี+เพาเวอร์ฯ ของ Jeff Rowland รุ่น Carpri S2 SE + Model 555 เข้ามาทดลองขับ MagnepanLRS+คู่นี้ เพราะอยากรู้ว่าลำโพงคู่นี้จะไปได้ไกลแค่ไหน..

นอกจากแอมป์ของ Jeff Roland แล้ว ทางด้านแหล่งต้นทางก็จัดชุดใหญ่เท่าที่ผมมีอยู่ ประกอบด้วย Innuos รุ่น PULSE (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต จับคู่กับ USB-DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD Twenty (REVIEW) โดยมี Innuos รุ่น Phoenix USB (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นตัว reclocker ปรับสัญญาณนาฬิกาของ USB จาก PULSE ก่อนส่งไปให้ QB-9 DSD Twenty ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอก

สายสัญญาณผมใช้สายบาลานซ์ XLR ของ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif3 ทั้งช่วง QB-9 DSD Twenty ไปที่ปรีแอมป์ Carpri S2 SE (ยาว 2 เมตร) และจากปรีฯ ไปที่เพาเวอร์แอมป์ Model 555 (ยาว 6 เมตร) ส่วนสายลำโพงผมใช้ Purist Audio Design รุ่น Jade ราคาแค่ 29,000 บาท ที่ความยาวข้างละ 2 เมตร สายไฟเอซีผสมกันระหว่าง Life Audio รุ่น Signature 1 กับ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif3 นอกจากนั้นก็มีอุปกรณ์เสริมคือปลั๊กราง Isolation Transformer รุ่น Micro 6 hr ของ Pulito (REVIEW) กับตัวกรอง noise ของไฟเอซีรุ่น Noise Trap ของ RN Marsch Design (REVIEW) และใช้ชั้นวางเครื่องเสียงของ Solid Tech รุ่น Rack of Silent

ผลลัพธ์คือ คู่แอมป์ของ Jeff Rowland ทำให้เสียงของ LRS+ ดีขึ้นไปได้อีกในแง่ของความเนียนสะอาดและความเกลี้ยงเกลาของเนื้อเสียง รวมถึงความลื่นไหลที่ดีมาก ถ้าเทียบกับตอนใช้ ArcamSA45ขับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ความต่างก็น่าจะอยู่ประมาณ 25 – 30% ส่วนทางด้านไดนามิก และพลังเสียง ไม่ได้ต่างกันมาก เหตุผลคงเป็นเพราะกำลังขับของ SA45 อยู่ที่ 180W ที่ 8 โอห์ม ในขณะที่ Model 555 ให้กำลังขับอยู่ที่ 150W ที่ 8 โอห์ม คู่แอมป์ของ Jeff Rowland จึงไม่ได้เข้ามาเพิ่มทางด้านความดังหรือไดนามิกนั่นเอง จากการทดลองครั้งนี้พอจะสรุปได้ว่า จุดเด่นของ MagnepanLRS+คู่นี้อยู่ที่รายละเอียด กับความเนียนสะอาดของเสียงที่ให้ออกมาได้ดีมาก ดังนั้น ในการอัพเกรดคุณภาพเสียงของลำโพงคู่นี้ให้เน้นไปในแง่ของรายละเอียดกับความเนียนของเสียงเป็นหลัก ส่วนทางด้านกำลังขับเป็นประเด็นรอง ขอให้อยู่ระหว่าง 150 – 180W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม พร้อมกำลังสำรอง เกิน 50% ขึ้นไป ก็เพียงพอแล้วสำหรับลำโพงคู่นี้

สรุป

ความไม่มีตู้ของ MagnepanLRS+คู่นี้ส่งผลดีกับความถี่เสียงในย่านกลางแหลมอย่างชัดเจน.! คุณภาพของเสียงกลางกับเสียงแหลมที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมาคือไฮไล้ท์ที่โดดเด่นมากๆ โทนเสียงที่โปร่ง กระจ่าง ที่มาพร้อมกับรายละเอียดที่พร่างพราย โดยเฉพาะรายละเอียดในระดับความดังต่ำๆ (Low Level Resolution) อย่างพวกหางเสียงกับความกังวานที่พรั่งพรูออกมาเพราะไม่มีตู้ดูดกลืนเอาไว้ เหล่านี้คือคุณสมบัติที่ที่ทำให้ราคา 62,500 บาท ต่อคู่ของลำโพงคู่นี้เป็นอะไรที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ.!!

ไม่มีตำหนิเลยเหรอ.? เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วกับลำโพงรุ่นเล็กสุดของแบรนด์แบบนี้ ถ้าจะถามหาส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ ก็คงจะเป็นความถี่ลึกๆ ที่ยังขาดพลังอัดฉีดไปนิดนึง แต่นั่นก็ถือว่าเป็นข้อตำหนิที่น้อยนิดสำหรับคนที่ฟังเพลงโดยเน้นเนื้อหาสาระของเพลงมากกว่าโชว์พลังเบส เพราะความถี่ 50Hz – 22kHz ของลำโพงคู่นี้อยู่ในเกณฑ์ที่มากพอสำหรับโน๊ตดนตรีเกือบทั้งหมดแล้ว ส่วนที่ขาดหายไปจึงดูว่าเล็กน้อยมาก

MagnepanLRS+เหมาะสมกับขนาดห้อง ไม่เกิน 4 x 6 ตรม. และชอบผนังหลังที่มีลักษณะเรียบแข็ง มีคุณสมบัติไปทางสะท้อนเสียงมากกว่าซับเสียง ส่วนกำลังขับ ถ้าเป็นแอมป์โซลิดสเตทก็ขอให้อยู่ระหว่าง 150 – 200W ที่ 8 โอห์ม บวกกับกำลังสำรองประมาณ 50% ขึ้นไป ก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีความตั้งใจเปลี่ยนลำโพงหรือไม่ก็ตาม ถ้ายังไม่เคยฟังเสียงของลำโพงแผ่นแบนๆ บางๆ แบบนี้มาก่อน แนะนำเป็นอันขาดให้หาโอกาสไปทดลองฟังให้ได้ อย่างน้อยก็ไปลองฟังเพื่อเอามาเป็นประสบการณ์ก็ยังดี..!!

*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ
Floor Standing Speaker ระดับราคาไม่เกิน 70,000 บาท

********************
ราคา : 62,500 บาท
(*** ราคาพิเศษสำหรับ Pre-Order อยู่ที่ 56,000 บาท)
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Save Audio&Video
โทร. 081-823-6045

facebook: saveaudiovideo

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า