ถ้าจะถามถึงแบรนด์เครื่องเสียงที่นักเล่นเครื่องเสียงให้การยอมรับมากที่สุด ก็ต้องมีชื่อของ NAD หรือ New Acoustic Doimensions เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยอายุของแบรนด์ที่ยืนยงอยู่ในวงการมานานตั้งแต่ปี 1972 จนถึงปัจจุบัน ทั้งยังมีพัฒนาการของผลิตภัณฑ์ที่ขยับเคลื่อนตามวิวัฒนาการของโลกมาได้อย่างมั่นคง และเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้ชื่อของ NAD ฝังตรึงอยู่ในใจของนักเล่นเครื่องเสียงมิเสื่อมคลาย สิ่งนั้นก็คือ “ความคุ้มค่า” ของคุณภาพเสียงที่เหนือกว่าราคานั่นเอง
NAD C 658
ผู้มาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นเครื่องเสียงเข้าสู่ยุคใหม่–เจนเนอเรชั่นที่สอง!
การเล่นเครื่องเสียงยุคใหม่.? เป็นแนวทางการเล่นเครื่องเสียงที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากการปรับเปลี่ยนพื้นฐานจาก analog > digital นั่นเอง คือเริ่มต้นสตาร์ทเจนเนอเรชั่นแรกด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนของ source ทั้งในส่วนของซอฟท์แวร์คอนเท็นต์จาก disc-base เข้าสู่ยุค file-base และในส่วนของฮาร์ดแวร์จากเครื่องเล่นซีดีมาเป็น music streamer อย่างในปัจจุบัน
C 658 กำลังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอีกก้าว จาก source สู่ amplify คือหลังจากอุปกรณ์ประเภท source ทั้งหลายเปลี่ยนมาใช้สัญญาณดิจิตัลกันหมดแล้ว การเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลต่อเนื่องมาถึงชุดเครื่องเสียง ด้วยเหตุที่สัญญาณ digital จากแหล่งต้นทาง (source) “ทั้งหมด” จะต้องถูกส่งไปผ่านภาค DAC เพื่อแปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกก่อนนำไปขยายผ่านแอมปลิฟาย นั่นทำให้ภาค DAC มีสถานะภาพเป็นเสมือน “ศูนย์กลาง” ของระบบเสียงไปโดยปริยาย และเนื่องจากภาค DAC ประกอบด้วยชิป DAC และวงจรแวดล้อมอีกเล็กน้อย เราจึงพบว่า ภาค DAC สามารถเข้าไป “ฝังตัว” อยู่ในอุปกรณ์เครื่องเสียงได้หลายประเภท บ้างก็อยู่ในอุปกรณ์ประเภท external DAC, บ้างก็ไปฝังตัวอยู่ในเครื่องเล่นซีดี, บ้างก็ไปหมกตัวอยู่ในอุปกรณ์ประเภท music streamer และบางส่วนก็ไปเป็นหนึ่งในอินพุตของอินติเกรตแอมป์ ซึ่งก่อนหน้านี้ อุปกรณ์ทั้งหมดที่ภาค DAC เข้าไปอาศัยอยู่นั้นล้วนเป็นอุปกรณ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม source ทั้งหมด
แนวทางปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเริ่มขยับมาที่แอมปลิฟายมากขึ้น ส่งผลให้อุปกรณ์ประเภท Pre-amp ในยุคอะนาลอกที่เคยเป็นศูนย์กลางของซิสเต็มได้ถูกปรับเปลี่ยนไปใช้พื้นฐานดิจิตัลมากขึ้น ตัวอย่างเช่น Moon รุ่น 390 (REVIEW) ที่ผมได้ทดสอบไปเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2019 ที่ผ่านมา ซึ่งตัวนั้นถือว่าเป็นปรีแอมป์ดิจิตัลยุคใหม่เจนเนอเรชั่นแรกๆ ของวงการ คือมันไม่ใช่ external DAC หรือ music streamer ที่มีแค่ภาควอลลุ่มในตัว แต่ Moon 390 มีคุณสมบัติเป็น “ปรีแอมป์” เต็มตัว เพราะได้รวมเอา source เข้ามาไว้ในตัวถังเดียวกัน และทุก source (input) ต่างก็ใช้ main volume เดียวกันเหมือนปรีแอมป์อะนาลอกในอดีต
NAD C 658 เป็นปรีแอมป์ดิจิตัลเจนเนอเรชั่นที่สองที่ไม่ใช่แค่มีภาค DAC และ source ในตัวเท่านั้น แต่ C 658 ยังได้ติดตั้งฟังท์ชั่นพิเศษที่เรียกว่า “Room Correction Technology” เข้ามาไว้ในตัวอีกด้วย ถือว่าเป็นปรีแอมป์ฟังเพลงด้วยระบบเสียง stereo 2 ch ตัวแรกๆ ที่ติดตั้งฟังท์ชั่นนี้มาให้ (ปกติจะมีใช้อยู่ในแอมป์เซอร์ราวนด์กับปรี–โปรเซสเซอร์ที่ใช้ในชุดเครื่องเสียงสำหรับโฮมเธียเตอร์ และโฮม ซินีม่าเท่านั้น)
รูปร่างภายนอก
และฟังท์ชั่นใช้งาน
A = สวิทช์กดเปิด/ปิดเครื่อง
B = ปุ่มลูกศรสี่ทิศและปุ่ม enter สำหรับปรับเลือกหัวข้อปรับแต่งในเมนู
C = รูเสียบแจ๊คหูฟัง
D = หน้าจอแสดงผล พร้อมจุดเซ็นเซอร์รับคำสั่งจากรีโมท
E, F = สวิทช์กดเลือก source
G = ปุ่มปรับวอลลุ่ม
หน้าตาภายนอกของ C 658 ยังคงรักษารูปลักษณ์ดีไซน์ของ NAD ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ใครที่เคยเป็น หรือยังเป็นเอฟซีของแบรนด์นี้ แค่เห็นแวปเดียวก็จำได้ว่านี่คือ NAD แน่ๆ ตัวถังสีดำ ขนาดตัวถังก็เท่าๆ กันกับปรีแอมป์รุ่นเก่าๆ ของแบรนด์นี้ คือมีหน้ากว้าง 435 ม.ม. x ลึก 405 ม.ม. และสูง 100 ม.ม.
แผงหน้าปัดของ C 658 ยังคงมีความเรียบง่ายตามแบบฉบับดั้งเดิมของ NAD ทุกกระเบียดนิ้ว ที่ด้านข้างของหน้าปัดได้รับการปาดมุมทั้งซ้ายและขวาทำให้ดูลื่นตามากขึ้น ลดความกระด้างแข็งลงไปได้มาก ปุ่มเพาเวอร์สำหรับกดเปิด/ปิดเครื่อง (A) อยู่ทางซ้ายมือสุด บนตัวปุ่มจะมีไฟแอลอีดีดวงเล็กๆ คอยแสดงสภาวะการทำงาน ถ้าตัวเครื่องอยู่ในโหมดสแตนด์บาย ไฟดวงนี้จะสว่างเป็นสีเหลืองอำพัน เมื่ออยู่ในสภาวะทำงานปกติจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ถ้าปลดปลั๊กไฟเอซีออก หรือกด main switch ที่แผงด้านหลังไปที่ตำแหน่ง Off ไฟจะดับ สิ่งที่ทำให้ C 658 ดูต่างไปจากปรีแอมป์ฟังเพลงตัวอื่นๆ ก็คือปุ่ม navigation หรือปุ่มลูกศรสี่ทิศกับปุ่ม enter (B) ที่อยู่ถัดจากปุ่มเปิด/ปิดเครื่องมาทางขวา ซึ่งมีไว้สำหรับให้กดเลือกหัวข้อย่อยการปรับตั้งในเมนูเครื่อง
เลยไปทางขวาอีกหน่อยเป็นรูเสียบแจ๊คหูฟัง (C) ขนาด 6.3 ม.ม. ซึ่งภาคขยายสัญญาณสำหรับหูฟังในตัว C 658 ถูกออกแบบมาให้สามารถขับหูฟังได้ทุกโหลดอิมพีแดนซ์ (ดูผลการทดลองฟังในหัวข้อ “เสียงของ C 658”) เอ๊าต์พุตของหูฟังจะถูกดึงมาจากเอ๊าต์พุตของช่อง Pre-Out ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณเสียบแจ๊คหูฟัง จึงไม่มีสัญญาณส่งออกไปที่ขั้วต่อ Pre-Out ทั้งบาลานซ์และซิงเกิ้ลเอ็นด์ ถัดไปทางขวาเป็นจอแสดงผล (D) ซึ่งทำหน้าที่แสดงอินพุตที่ถูกเลือกและกำลังใช้งาน, แสดงหัวข้อย่อยของเมนูขณะผู้ใช้กำลังเลือกปรับตั้ง และแสดงข้อมูลของแทรคเพลงที่กำลังเล่นสำหรับอินพุต BluOS ที่ขอบล่างของจอตรงกลางจะมีลูกศรสามเหลี่ยมเล็กๆ ชี้ลงด้านล่าง ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเข้าปรับตั้งเมนูเครื่อง เมื่อต้องการเข้าไปทำการปรับตั้งเมนู (แสดงด้วยชื่อหัวข้อ Settings) ให้กดที่ปุ่มลูกศรชี้ลงบนรีโมท หรือบนหน้าปัดเครื่อง
ปุ่มกดเล็กๆ สองปุ่มที่อยู่ถัดไปทางขวาของจอแสดงผลเป็นปุ่มกดเลือกอินพุต ซึ่งปุ่มทางซ้าย (E) กับปุ่มทางขวา (F) จะวนลูปของอินพุตสลับกัน ส่วนปุ่มหมุนขนาดใหญ่ทางขวามือสุดของแผงหน้าปัดเป็นปุ่มวอลลุ่ม (G) หมุนตามเข็มนาฬิกาไปทางขวาเป็นการเพิ่มความดัง และทางซ้ายทวนเข็มนาฬิกาเป็นการลดความดัง ทุกครั้งที่หมุนไป ระดับความดังจะปรากฏขึ้นบนจอ แสดงผลออกมาเป็นตัวเลขเดซิเบลติดลบ ตัวเลขยิ่งเยอะ–ยิ่งเบา ตัวเลขยิ่งน้อย–ยิ่งดัง (สามารถเปลี่ยนให้แสดงเป็น % ได้ เปอร์เซ็นต์สูงยิ่งดัง, เปอร์เซ็นต์ต่ำยิ่งเบา) ซึ่งทุกครั้งที่คุณกดปิดการทำงานของตัวเครื่องเข้าสู่โหมด standby ถ้าก่อนปิด คุณใช้ระดับวอลลุ่มค้างไว้ที่ระดับสูงกว่า -20dB เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องขึ้นมาอีกครั้ง ระดับวอลลุ่มจะกลับไปเริ่มต้นที่ -20dB แต่ถ้ากรณีที่ก่อนปิดเข้าโหมด standby คุณใช้วอลลุ่มอยู่ในระดับ “ต่ำกว่า” -20dB เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่องกลับขึ้นมาใช้ ระดับวอลลุ่มจะยังคงอยู่ในระดับก่อนปิดเครื่อง
อินพุต
C 658 ถูกออกแบบมาในลักษณะที่พวกเขาตั้งชื่อเรียกว่า “Modular Design Construction” คือแยกการทำงานของอินพุตแต่ละประเภทออกมาอยู่บนแผงวงจรย่อยๆ ถ้าผู้ใช้ต้องการเพิ่มเติมอินพุตเหล่านั้น เขาก็ให้ช่องเสียบแผงวงจรเข้าไปในช่อง (slot) ที่ทำมาเผื่อไว้ให้ 2 ช่อง (H) ในขณะที่ตัวเครื่อง C 658 เองก็มีอินพุตมาตรฐานมาให้ทั้งสำหรับสัญญาณอะนาลอกและสัญญาณดิจิตัลจนครอบคลุมแทบจะครบหมดแล้ว คือสำหรับอินพุตดิจิตัลก็มีช่อง Optical (I) มาให้สองช่องกับช่อง Coaxial อีกสองช่อง (J) สำหรับใช้รองรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตจากอุปกรณ์เครื่องเล่นซีดี–ดีวีดี หรือจากอุปกรณ์ประเภทดิจิตัล ทรานสปอร์ตก็ได้ นอกจากนั้นก็มีช่องอินพุต Ethernet (K) มาให้หนึ่งช่อง ไว้ใช้รองรับการเล่นไฟล์เพลงผ่านทางเน็ทเวิร์ค โดยมีช่อง USB (L) สำหรับเสียบฮาร์ดดิสเก็บไฟล์เพลงเพื่อใช้เล่นกับอินพุต Ethernet ผ่านแอพ BluOS ด้วย (ช่อง micro-USB ที่อยู่ติดๆ กันมีไว้สำหรับ service เท่านั้น) นอกจากนั้น คุณยังสามารถยิงสัญญาณเสียงจากสมาร์ทโฟนหรือแท๊ปเล็ตของคุณตรงเข้ามาที่ C 658 แบบไร้สายได้อีกด้วย โดยผ่านทางเสาอากาศรับคลื่น Bluetooth (Q2) ซึ่งภาค DAC ของ C 658 มีดีโค๊ดเดอร์ aptX สำหรับแปลงสัญญาณจากอินพุต Bluetooth อยู่ในตัว
ในการเชื่อมต่อ C 658 เข้ากับเน็ทเวิร์ค นอกจากจะใช้วิธีต่อสาย LAN เข้าทางช่อง Ethernet แล้ว ทางผู้ผลิตยังให้ทางเลือกมาอีกทาง นั่นคือเชื่อมต่อผ่านทางระบบไร้สาย Wi-Fi ก็ได้ โดยผ่านเข้าทางเสาอากาศที่หมุนเข้าที่ขั้วต่อ (Q1) บนแผงด้านหลังของตัวเครื่อง
ส่วนอินพุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกแบบใช้สาย C 658 เตรียมช่องอินพุตแบบอันบาลานซ์มาให้ใช้ทั้งหมด 3 ชุด เริ่มจากช่อง Phono (M) สำหรับรองรับสัญญาณจากหัวเข็ม MM พร้อมขั้วต่อสายกราวนด์ (N) สำหรับโทนอาร์มของเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีกราวนด์แยก อีกสองชุดที่เหลือ (O) เป็นอินพุตสำหรับภาคไลน์จากอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ (เสียดายที่ไม่มีอินพุตบาลานซ์ XLR ม่ายงั้นจะถือว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ!)
เอ๊าต์พุต
C 658 ให้สัญญาณเอ๊าต์พุตออกมาทั้งหมด 5 ช่องทาง เป็นสัญญาณ Line-Out จำนวน 4 ช่อง โดยที่สองช่องแรกเป็นสัญญาณ Pre-Out ที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ XLR (R) และสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์ผ่านขั้วต่อ RCA (S) อย่างละช่อง ส่วนอีก 2 ช่องเป็นเอ๊าต์พุตสำหรับ Subwoofer (T) พร้อมฟังท์ชั่น LPF (Low Pass Filter) ตั้งแต่ 80Hz ลงไป ซึ่งเป็นช่องซับฯ ที่แยกสำหรับแชนเนลซ้ายและขวา คุณสามารถเลือกใช้เฉพาะช่องใดช่องหนึ่งหรือจะใช้พร้อมกันทั้งสองช่องก็ได้ และช่องเอ๊าต์พุตซับวูฟเฟอร์ทั้งสองช่องนี้จะถูกใช้เป็นเอ๊าต์พุตของฟังท์ชั่น Dirac Live ในการปรับจูนเสียงของซิสเต็มด้วย ส่วนสัญญาณเอ๊าต์พุตช่องที่ 5 ก็คือภาคขยายสำหรับหูฟังที่อยู่ด้านหน้านั่นเอง
การออกแบบภายใน
อย่างที่พูดมาตั้งแต่ต้นว่า C 658 มีสถานภาพ 3 ด้านในตัวเดียวกันคือ music streamer, external DAC และ Pre-Amp ซึ่งในการทำหน้าที่เป็น “Music Streamer” นั้น C 658 ใช้เทคโนโลยี BluOS เป็นหลักในการทำหน้าที่สตรีมไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์ค รองรับผู้ให้บริการเจ้าดังครบ มีทั้ง TIDAL, Qobuz, Deezer และมีดีโค๊ดเดอร์ MQA ในตัวด้วย สามารถคลี่ไฟล์ MQA ทั้งจาก TIDAL และไฟล์ MQA บนฮาร์ดดิสออกมาได้สุดทาง
ส่วนการแปลงสัญญาณ D-to-A ของภาค DAC ในตัว C 658 เป็นหน้าที่ของชิป Sabre DAC 32bit ยี่ห้อ ESS Technology เบอร์ ES9028PRO และใช้ชิปของ BurrBrown ทำหน้าที่แปลง sample rate ของสัญญาณอินพุตด้วยวิธี Asynchronous เพื่อลดปัญหาจิตเตอร์ให้ต่ำที่สุด ก่อนจะจัดส่งให้กับชิป ES9028PRO
หน้าที่ที่สามของ C 658 คือปรีแอมป์ ซึ่งนอกจากจะมีอินพุต digital ในตัวแล้ว C 658 ยังมีช่องอินพุตที่รองรับสัญญาณอะนาลอกด้วย 3 ช่องคือโฟโนหนึ่งช่อง กับอินพุตภาคไลน์อีกสองช่อง ใช้รีเลย์ในการสลับอินพุตอะนาลอกทั้งสองช่องนี้ ทำให้อิมพีแดนซ์คงที่และมีสัญญาณรบกวนต่ำกว่าการสลับอินพุตด้วยสวิทช์อิเล็กทรอนิคส์ CMOS นอกจากนั้น C 658 ยังมีฟังท์ชั่น analogue bypass ที่ทำให้สัญญาณอะนาลอกจากช่อง Line Input และช่อง Phono เดินทางจากต้นทาง (input) ไปจนถึงปลายทาง (output) โดยไม่ผ่านการทำงานของวงจร DSP เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของสัญญาณอินพุตเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
รีโมทไร้สายรุ่น SR 9
วอลลุ่มของ C 658 ควบคุมด้วยซอฟท์แวร์ มีเร้นจ์ความดังทั้งหมดอยู่ที่ 110dB โดยแบ่งระดับความดังออกเป็นขั้นละ 0.5dB ซึ่งคุณมีทางเลือกในการปรับวอลลุ่มของ C 658 อยู่ 3 ทาง ทางแรกคือหมุนปุ่มวอลลุ่มบนหน้าปัดเครื่องโดยตรง, ทางที่สองคือกดปุ่มวอลลุ่มบนรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ และทางที่สาม คุณสามารถปรับจากหน้าแอพฯ BluOS ที่ควบคุมผ่านอุปกรณ์ไร้สาย iOS, Android หรือจากแอพฯ บนคอมพิวเตอร์ได้ด้วย
ทดสอบ C 658 ใน 2 สถานะ
ทางผู้ผลิตใช้คำระบุสถานะของ C 658 ว่าเป็น “Streaming DAC” โดยไม่มีคำว่า “Pre-amp” เข้ามายุ่งเกี่ยว แต่เมื่อพิจารณาจากฟังท์ชั่นใช้งานที่ให้มาทั้งหมด พบว่ามีอยู่หลายคุณสมบัติที่สนับสนุนสถานะความเป็น “ปรีแอมป์” อย่างชัดเจน ผมจึงเตรียมซิสเต็มไว้ทดสอบ C 658 ในสองสถานะ คือเป็น Sreamer DAC กับ Pre-amp
ยกแรก ผมทดสอบ C 658 ในสถานะของ Streamer DAC ก่อน โดยใช้ปรีแอมป์ Ayre Acoustic รุ่น K-5 กับเพาเวอร์แอมป์รุ่น V-3 ขับลำโพง Totem Acoustic รุ่น Element ‘Ember’ เป็นซิสเต็มอ้างอิง ในการเชื่อมต่อซิสเต็ม ผมใช้สายสัญญาณบาลานซ์ XLR ของ Purist Audio Design รุ่น Musaeus ยาว 1.5 เมตร เชื่อมต่อระหว่างปรีแอมป์ K-5 กับเพาเวอร์แอมป์ V-3 และใช้สายสัญญาณบาลานซ์ XLR ของ Nordost รุ่น Valhalla เชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ C 658 กับอินพุตของปรี K-5 ส่วนการเชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของเพาเวอร์แอมป์ V-3 ไปที่ลำโพง Element ‘Ember’ ผมใช้สายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Musaeus แบบซิงเกิ้ลยาวข้างละ 2.5 เมตรเป็นตัวกลางในการต่อเชื่อม
C 658 เปิดโอกาสให้คุณเข้าไปปรับตั้งเอ๊าต์พุตในเมนูเครื่องได้ 2 สถานะ คือ “Fixed” และ “Variable” เมื่อต้องการใช้งาน C 658 ในสถานะของ Streamer DAC คุณควรเข้าไปปรับตั้งหัวข้อเมนู “Volume Control” ในเมนูของเครื่องไว้ที่ตำแหน่ง “Fixed” เพื่อบายพาสวอลลุ่มของ C 658 ออกไปจากเส้นทางสัญญาณ ซึ่งจะให้คุณภาพเสียงดีกว่า และคุณสามารถใช้วิธีนี้ได้เมื่อต้องการนำ C 658 ไปใช้งานร่วมกับระบบเสียงของชุดโฮมเธียเตอร์เมื่อต้องการอัพเกรดคุณภาพเสียงของการฟังเพลงที่เป็นระบบเสียง stereo 2 ch ด้วยลำโพงคู่หน้าของชุดโฮมเธียเตอร์
ช่วงที่สองผมทดสอบ C 658 ในสถานะของ Pre-amp โดยยกเอาปรีแอมป์ K-5 กับสายสัญญาณ Valhalla ออกไปจากซิสเต็ม แล้วยก C 658 เข้าไปทำหน้าที่แทนปรีแอมป์ K-5 โดยใช้สายสัญญาณบาลานซ์ Musaeus เชื่อมต่อระหว่างช่องสัญญาณ Audio Pre-Out Balanced ของ C 658 กับอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ V-3 ส่วนอื่นๆ คงที่เหมือนเดิม
มีเรื่องยากอยู่อย่างหนึ่งตอนฟังเทียบกันระหว่างใช้ C 658 เป็น source (Streamer DAC) กับใช้เป็นปรีแอมป์ที่มี DAC ในตัว คือโดยปกติแล้ว เกนวอลลุ่มของปรีแอมป์ใดๆ มักจะไม่เท่ากัน ยากมากที่จะหาได้เท่ากันเป๊ะๆ ผมใช้วิธีป้อนด้วยสัญญาณ single frequency ที่ระดับ 1kHz เป็นเรฟเฟอเร้นจ์ แล้วใช้ SPL meter วัดความดังของเสียง 1kHz ที่ออกมาจากลำโพง โดยยึดตัว SPL meter ไว้บนขาตั้งกล้อง แล้วนำไปวางที่ตำแหน่งนั่งฟัง ปรับระดับความสูงของไมโครโฟนบนตัว SPL meter ให้อยู่ในระดับความสูงจากพื้นเท่ากับความสูงของหูตอนนั่งฟัง
ในการทำ “วอลลุ่ม แม็ทชิ่ง” ผมใช้ระดับความดังจากปรีแอมป์ K-5 เป็นตัวตั้งโดยยึดเอาระดับความดังที่ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาดีที่สุดในความเห็นของผม ก่อนเปลี่ยนเอา K-5 ออกไป ผมก็ทดลองเปิดสัญญาณ 1kHz ผ่านปรีแอมป์ K-5 แล้ววัดความดังเอาไว้ หลังจากผมปรับวอลลุ่มของ C 658 ไปที่ Variable แล้ว ผมเปลี่ยนเอามาเป็นปรีแอมป์แทน K-5 จากนั้นก็ป้อนความถี่ 1kHz ผ่านปรีแอมป์ C 658 และทำการปรับตั้งวอลลุ่มของ C 658 ไว้ที่ระดับ dB ที่เท่ากันกับตอนที่วัดได้จากปรีแอมป์ K-5 แต่หลังจากทดลองเปิดเพลงฟัง ผมพบว่า ณ ตำแหน่งเอ๊าต์พุตที่ดีบีเดียวกันนั้น C 658 ให้เสียงโดยรวมออกมา “ดังกว่า” ตอนใช้ปรีแอมป์ K-5 นิดหน่อย แม้จะไม่มากนัก แต่ก็รู้สึกได้ หลังจากทดลองฟังเพลงต่างๆ แล้ว ผมพบว่า จริงๆ แล้วเกนเอ๊าต์พุตของ K-5 กับ C 658 อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ความดังโดยเฉลี่ยไม่ต่างกันมาก แต่สาเหตุที่ผม “รู้สึก” ว่าเสียงของ C 658 ดังกว่า K-5 เมื่อหมุนวอลลุ่มไปที่ dB เท่ากันเป็นเพราะว่า K-5 กับ C 658 จัดกราฟความถี่ตอบสนอง (equalization) ในวงจรเอ๊าต์พุตไว้ไม่เหมือนกัน คือจากการฟังเทียบผมพบว่า K-5 ให้ความถี่ตอบสนอง (frequency range) ที่แผ่กว้างกว่า (ให้ความถี่สูงไปไกลกว่า และให้ความถี่ต่ำลงลึกกว่า) และให้อัตราสวิงของไดนามิก (dynamic range) ที่กว้างกว่า (ถ่ายทอดเสียงแผ่วๆ ได้เบากว่า และให้ความดังช่วงพีคได้แรงกว่า) นั่นเอง ซึ่งโดยปกติแล้ว แอมปลิฟายที่กำหนด frequency range ของเอ๊าต์พุตไว้แคบกว่า (สเปคฯ ความถี่ตอบสนองแคบกว่า, ไดนามิกเร้นจ์แคบกว่า) มักจะให้เสียงที่ฟังดูดังกว่าที่ระดับเอ๊าต์พุตๆ เท่าๆ กับแอมป์ที่กำหนด frequency range ของเอ๊าต์พุตไว้กว้างกว่านั่นเอง สรุปในแง่เกนเอ๊าต์พุตของ C 658 ผมถือว่าผ่านนะ เทียบชั้นกับปรีแอมป์ทั่วไปได้ คือมันให้เสียงที่มีพลัง มีมวล และมีความกังวานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และที่สำคัญคือมีเกนแรงมากพอที่น่าจะจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ทั่วๆ ไปได้ พิจารณาจากตอนจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ V-3 มันใช้วอลลุ่มแค่ประมาณ 40% ของวอลลุ่มที่มีทั้งหมดเพื่อทำให้ได้ความดังของเสียงและไดนามิกของเสียงออกมาเพียงพอต่อการรับฟังของผม ยังมีเกนวอลลุ่มเหลืออีกเยอะ ซึ่ง voltage gain ของเพาเวอร์แอมป์ V-3 อยู่ที่ 32dB, ส่วน input impedance อยู่ที่ 10k ohms ถ้าคิดจะใช้ C 658 ทำหน้าที่เป็นปรีแอมป์ให้เลือกเพาเวอร์แอมป์ที่มีสเปคฯ ใกล้เคียงกับสเปคฯ ของ Ayre Acoustic V-3 เป็นอันใช้ได้
การเชื่อมต่อใช้งานในการทดสอบ
หลังจากทดลองใช้งานและทดลองฟังเสียงของ C 658 มานานร่วมเดือน ผมพบว่า วิธีใช้งาน C 658 ที่คุ้มค่ามากที่สุดคือ ใช้มันเป็นทั้ง Streamer DAC และใช้เป็น Pre-amp ไปพร้อมกัน คือในกรณีที่ซิสเต็มของคุณมีปรีแอมป์อะนาลอกอยู่เดิม ถ้าปรีแอมป์ตัวนั้นมีราคาไม่เกิน 50,000 บาท ผมแนะนำให้ยกปรีแอมป์ของคุณออกไป แล้วใช้ภาคปรีแอมป์ในตัว C 658 เข้าไปแทนที่ได้เลย ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเสียงของ C 658 จะให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาดีกว่าปรีแอมป์ตัวเดิมของคุณแน่ๆ
โดยเฉพาะอินพุต “BluOS” ของ C 658 ซึ่งถูกจูนมาให้ใช้ด้วยกัน เสียงที่ได้จากอินพุต BluOS ผ่านภาคปรีเอ๊าต์ในตัวจึงเป็น signature ของ C 658 อย่างที่ทีมงานของ NAD ตั้งใจให้เป็น.!!
สำหรับคนที่เน้นคุณภาพเสียง ผมแนะนำให้เชื่อมต่อระหว่าง C 658 กับ router ด้วยวิธีใช้สาย LAN ซึ่งจะให้ทั้งเสถียรภาพและคุณภาพของเสียงจากอินพุต BluOS ที่สูงกว่าการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ไร้สาย และเนื่องจากช่อง Ethernet ของ C 658 มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready เรียบร้อยแล้ว รองรับการเล่นไฟล์เพลงจาก roon core ได้อย่างสมบูรณ์ ผมจึงเพิ่มเติม roon : nucleus+ ของผมเข้าไปในระบบด้วย (ส่วนลำโพงที่ใช้ในการทดลองฟังซึ่งไม่ได้แสดงไว้ในชาร์ตคือ Totem Acoustic รุ่น Element ‘Ember’)
แนะนำให้ปรับตั้ง password สำหรับการเชื่อมต่อระบบเน็ทเวิร์คบน router ไว้ที่ DHCP จะทำให้การเชื่อมต่อทำได้ง่ายมาก เพียงแค่เสียบสาย LAN จาก router เข้าที่ช่อง Ethernet ของ C 658 แล้วเปิดเครื่อง เลือกอินพุตไปที่ BluOS เท่านั้น ที่เหลือจะถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ
การควบคุมสั่งงาน C 658
วิธีที่ง่ายและสะดวกมากที่สุดในการควบคุมสั่งงาน C 658 คือควบคุมผ่านแอพลิเคชั่น “BluOS Controller” ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดฟรี และรองรับหลายเวอร์ชั่น ทั้งบนเครื่องพกพา iOS และ Android รวมถึงมีแอพฯ ที่ใช้บนคอมพิวเตอร์ Windows กับ Mac OS X ด้วย
แอพฯ BluOS Control รวมเอาฟังท์ชั่นที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง กับฟังท์ชั่นที่ใช้สั่งงาน C 658 ในแง่ของปรีแอมป์อยู่ในแอพฯ ตัวเดียวกันนี่เอง จากรูปหน้าจอแอพฯ BluOS Control ข้างบนนี้ ในกรอบสีส้มเป็นที่รวมอินพุตทั้งหมดของ C 658 คุณต้องการใช้อินพุตไหนก็กดเลือกได้โดยตรงจากหน้าแอพฯ นี้เลย ส่วนในกรอบสีฟ้าทางขวามือ แสดงรายละเอียดของอินพุตที่เลือก ในภาพตัวอย่างนั้นผมทดลองเลือกอินพุต USB (A) จากตัวเลือกอินพุตทางซ้ายมือ ซึ่งผมเสียบ USB external HD ที่มีไฟล์เพลงไว้ที่ช่อง USB-A ที่แผงหลังของ C 658 เมื่อเลือกแล้ว ภาพปกอัลบั้มและรายชื่ออัลบั้ม–เพลงจะถูกแสดงออกมาที่กรอบสีฟ้าทางขวามือ (B) ซึ่งคุณสามารถเลือกให้เพลงเหล่านั้นโชว์ขึ้นมาในลักษณะไหนก็ได้ตามหัวข้อที่อยู่ทางซ้ายมือ อาทิเช่น Artists, Albums, Songs ฯลฯ
แอพฯ BluOS Control ถูกออกแบบให้มีหน้าเมนูซ้อนกันอยู่หลายชั้น ถ้าต้องการเข้าไปทำการปรับตั้งในเมนูส่วนอื่น ให้จิ้มปลายนิ้วลงไปที่ตำแหน่ง C ตามภาพด้านบน
หน้าต่างเดิมที่แสดงภาพปกอัลบั้มจะเลื่อนไปทางซ้าย เปิดให้เห็นพื้นที่ของแอพฯ ทางขวาขึ้นมาใหม่ เป็นพื้นที่แสดง “Play queue” หรือคิวของเพลงที่ถูกเลือกไว้รอเล่นทั้งหมด พร้อมไอค่อนของคำสั่งที่สามารถเลือกสั่งกำกับเพลงเหล่านั้นเรียงอยู่ด้านล่าง อาทิเช่น ลบทิ้ง, สลับ (random), วนไปเรื่อยๆ (repeat) ถ้าต้องการกลับไปที่หน้าแอพฯ ก่อนหน้านี้ กดที่ D แต่ถ้าต้องการจะเจาะเข้าไปหน้าเมนูในการปรับตั้งค่าของ C 658 ให้จิ้มเลือกไปที่ E ที่เป็นไอค่อนรูปบ้าน
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า C 658 มีสถานะเป็น Roon Ready ด้วย คือสามารถแสดงตัวเป็น end point (หรือเป็น DAC) เพื่อรองรับการเล่นไฟล์เพลงจากโปรแกรม roon ได้อย่างสมบูรณ์ ภาพข้างบนเป็นภาพหน้าจอของแอพฯ roon remote ขณะที่ผมกำลังเล่นไฟล์เพลงบน roon แล้วเลือกส่งเอ๊าต์พุตทาง USB ของ nucleus+ ไปที่ Audio GD รุ่น R8 (F) ซึ่งเป็น external DAC อีกตัวหนึ่ง จากนั้นก็ดึงสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ R8 ไปเข้าที่อินพุต “Line 1” (G) ซึ่งเป็นหนึ่งในอินพุต อะนาลอกที่ C 658 ให้มา เพื่อทดสอบเสียงทางช่องอินพุตอะนาลออกของ C 658 ในขณะที่ C 658 ทำงานในสถานภาพของอะนาลอก ปรีแอมป์นั่นเอง ภาพล่างเป็นหน้าแอพ BluOS Control ขณะที่รับสัญญาณอะนาลอก อินพุตจาก Audio GD R8 เข้ามาทางช่อง Line 1
ช่องอินพุต Line 1 และ Line 2 ซึ่งเป็นช่องอินพุตสำหรับสัญญาณขาเข้าที่เป็นสัญญาณอะนาลอกของ C 658 ทั้งสองช่องนั้นมีเมนูให้เลือกตั้งเป็น “Analog Bypass” ได้ คือสัญญาณอินพุต Analog จะถูกรักษาความเป็นอะนาลอกไว้ตลอดทั้งเส้นทาง เนื่องจากภาค DSP จะถูกปิดทั้งหมด เหลือแต่โหมดปรับเพิ่ม/ลดทุ้ม–แหลม แต่ก็สามารถปิดได้ เมื่อผมทดลองเข้าไปในเมนูของ C 658 และปรับตั้งช่องอินพุต Line 1 ให้เป็น Analog Bypass, ปรับตั้งฟังท์ชั่น Tone Control ไว้ที่ “Off” และปรับตั้งให้ปิดหน้าจอขณะใช้งาน (Temporary Display = “On”) ผมพบว่า เสียงที่ออกมามีความสะอาดบริสุทธิ์อย่างมาก.! เนื้อเสียงเนียน พื้นเสียงสะอาด เปิดเผยให้ได้ยินความกังวานของฮาร์มอนิกของเสียงโน๊ตในย่านกลางและสูงที่โดดเด่นขึ้นมาทันที เป็นเสียงที่ไม่พบสากเสี้ยนระคายหูเลย จุดนี้ต้องยอมรับว่า C 658 ทำหน้าที่ของ Analog Pre-amp ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ มันสามารถส่งผ่านคุณภาพเสียงที่เยี่ยมยอดของ source อย่าง Audio GD R8 ไปถึงเพาเวอร์แอมป์ V-3 ของ Ayre Acoustic ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
คุณสามารถเริ่มต้นกับ C 658 ในฐานะของ Streamer & External DAC บวกกับปรีแอมป์ในวันนี้ได้ด้วยความสบายใจ และเมื่อถึงวันที่คุณอัพเกรดสมรรถนะของภาค DAC ไปใช้ external DAC ตัวอื่นที่มีคุณภาพสูงกว่าภาค DAC ในตัว C 658 คุณก็ยังสามารถใช้ C 658 ทำหน้าที่เป็นอะนาลอก ปรีแอมป์ให้กับคุณต่อไปได้ด้วยความสนิทใจ เพราะภาคอะนาลอก ปรีแอมป์ของ C 658 ให้เสียงที่ดีมากเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวไม่ถึงหกหมื่นบาท.!!
Dirac Live
ผมเพลิดเพลินอยู่กับคุณภาพเสียงของภาคปรีแอมป์ของ C 658 นานพอสมควร จนแทบจะลืมไปเลยว่า ในตัวของ C 658 ยังมี “ของดี” อยู่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ฟังท์ชั่น “Dirac Live” นั่นเอง
Dirac Live เป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้จัดการกับ “ปัญหา” ที่เกิดกับเสียงของลำโพงที่มีอะคูสติกของห้องเป็นต้นเหตุ ถ้าคุณเคยสงสัยว่า ซิสเต็มเดียวกันที่ใช้ลำโพงคู่เดียวกัน แต่พอไปเซ็ตอัพอยู่คนละห้อง ทำไมเสียงของลำโพงคู่นั้นจึงออกมาแตกต่างกัน.? ถ้าลำโพงคือ X ในขณะที่สัดส่วน+สภาพอะคูสติกของห้องที่ดีคือ Y1 เมื่อ X + Y1 จะได้ออกมาเป็นเสียงที่ดีคือ Z ถ้าคุณย้ายซิสเต็มและลำโพงไปเซ็ตอัพอีกห้อง นั่นคือ X คงที่ แต่ Y1 เปลี่ยนไปกลายเป็น Y2 และถ้าสมมุติว่าสัดส่วน+สภาพอะคูสติกห้อง Y2 ไม่ดี เสียงที่ออกมาก็จะไม่ดี ถ้าคุณยังต้องการให้เสียงที่ออกมายังคงเป็นเสียงที่ดี คุณก็ต้องจัดการทำให้สภาพอะคูสติกของห้อง Y2 ออกมาเป็นแบบห้อง Y1 ซึ่งในทางปฏิบัติคุณมีทางเลือก 2 ทาง คือ 1. หาอุปกรณ์ปรับแต่งสภาพอะคูสติกเข้ามาใช้จูนเสียงในห้อง Y2 หรือ 2. ใช้โปรแกรม Dirac Live เข้ามาช่วย.. ซึ่งนี่แหละคือจุดประสงค์หลักที่มีการออกแบบซอฟท์แวร์ Dirac Live ตัวนี้ขึ้นมา
หลังจากลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับ Dirac Live เพื่อทดลองปรับตั้งใน C 658 ผมพบว่า มันมีรายละเอียดยิบย่อยที่น่าสนใจเกี่ยวกับซอฟท์แวร์ตัวนี้อยู่มาก และมีเทคนิคในการพิจารณาปรับจูนเสียงที่น่าขยายความอยู่พอสมควร ไม่เหมาะที่จะกล่าวอ้างถึงมันสั้นๆ ประกอบกับฟังท์ชั่น Dirac Live เปิดโอกาสให้คุณสามารถเลือก “เปิด” (On) เพื่อใช้งาน หรือ “ปิด” (Off) เพื่อไม่ใช้งานฟังท์ชั่นนี้ด้วย นั่นคือคุณสามารถใช้งาน C 658 ได้เหมือน external DAC หรือ Pre-Amp ทั่วไปได้โดยไม่มีฟังท์ชั่น Dirac Live ที่ว่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องได้เลย ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้มีพื้นที่ในการอธิบายฟังท์ชั่น Dirac Live ได้อย่างละเอียด และเพื่อไม่ให้รีวิว C 658 มีความยาวมากเกินไป ดังนั้น ผมขออนุญาติแยกหัวข้อ “การทดลองใช้งานฟังท์ชั่น Dirac Live ของ NAD C 658” ออกไปพูดถึงอย่างละเอียดอีกที่หนึ่ง
เสียงของ C 658
(โดยไม่เปิดใช้ฟังท์ชั่น Dirac Live)
ต่อไปนี้คือเสียงของ C 658 ในสถานะของปรีแอมป์ ที่มีอินพุต Music Streamer และภาค DAC ในตัว โดยมีเพาเวอร์แอมป์ Ayre Acoustic รุ่น V-3 กับลำโพง Totem Acoustic รุ่น Element ‘Ember’ เป็นปลายทาง และมีสายสัญญาณบาลานซ์ XLR กับสายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Musaeus เป็นตัวเชื่อมสัญญาณทั้งระบบ
ในการทดลองฟัง ผมเข้าไปในเมนูของ C 658 แล้วปรับตั้ง Volume ไว้ที่ Variable เพื่อเลือกใช้ภาคปรีแอมป์ของ C 658
บุคลิกเสียงของ C 658 ที่ผมชอบมากอย่างหนึ่งคือมันแสดงอาการ “uncompressed” ของเสียงออกมาให้ได้ยินได้อย่างชัดเจน รับรู้ได้จากการยืดขยายของไดนามิกคอนทราสน์ (dynamic contrast) ที่แผ่ออกมาได้จนสุดอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับ นั่นทำให้รู้สึกได้ถึงอาการ “สวิง” ของความดังของแต่ละเสียงที่เป็นอิสระ นอกจากนั้น ผมยังพบว่า ทีมออกแบบของ NAD เขาปรับจูนลักษณะการเน้น (ช่วง peak) และการผ่อน (ช่วง soft) ของไดนามิกเร้นจ์เอาไว้ให้อยู่ในช่วงความดัง–เบาที่ดี คือช่วงที่ดังที่สุดของทุกระดับวอลลุ่มจะถูกกำหนดไว้ในระดับที่ไม่มีอาการ clip นั่นทำให้ทุกจุด peak ของเพลงเป็น peak ที่มีแต่พลังเสียงที่ทะยานไปจนสุดโดยไม่มีความผิดเพี้ยนปนออกมา ไม่มีอั้น และไม่มีอาการเจิดจ้าผสมออกมา จึงไม่ทำให้โทนของเสียงเปลี่ยนไป ส่วนในช่วง soft หรือช่วงแผ่วเบาของเพลงก็ทอดตัวลงไปได้ลึกในระดับที่มากพอที่จะสามารถเปิดเผยรายละเอียดของฮาร์มอนิกและแอมเบี้ยนต์ที่แผ่วเบาออกมาให้ได้ยินได้ ไม่ถูกตัดจนจมหายไป ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาสำหรับภาคปฏิบัติในขั้นตอนการฟังจริงก็คือ ทำให้สามารถเปิดวอลลุ่มให้เสียงดังออกมาได้มาก ในขณะที่ยังคงรักษารายละเอียดต่างๆ เอาไว้ได้ครบ ไม่แสดงอาการโอเว่อร์โหลด ไม่วอกแวก และไม่มีความเพี้ยนของเสียงปนออกมา
อัลบั้ม : The Singles 1969-1973 (WAV/MQA-CD 24/352.8)
ศิลปิน : Carpenters
สังกัด : A&M Records
ตอนลองเล่นไฟล์ WAV ที่ผมริปออกมาจากแผ่น MQA-CD ชุดนี้ด้วยโปรแกรม roon ผ่านเข้าทางอินพุต BluOS ของ C 658 ผมพบว่า ภาค DAC ในตัว C 658 สามารถถอดรหัส MQA ออกมาได้จนสุดทาง
โปรแกรม roon แสดงเส้นทางเดินของสัญญาณจาก nucleus+ ไปถึงภาค DAC ในตัว C 658 ว่าเป็น “Enhanced” (B) และมีโลโก้แบรนด์ NAD ปรากฏขึ้นมา (A) พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่า ภาค DAC ในตัว C 658 ทำการถอดรหัสสัญญาณ MQA ออกมาได้ “เต็ม” (Full Decoder) ตามสเปคฯ ของสัญญาณอะนาลอก ออริจินัลก่อนที่จะถูกเข้ารหัส MQA มาจากสตูดิโอ (C) ด้วย เป็นการยืนยันให้สิ้นสงสัยว่า C 658 สามารถรองรับ MQA ได้อย่างเต็มสเปคฯ จริงๆ.!!
ผมเคยฟังเสียงของอัลบั้มนี้มาแล้วในหลายๆ รูปแบบ ตั้งแต่แผ่นเสียง, แผ่นซีดี, แผ่น SACD มาจนถึงไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ริปมาจากแผ่นซีดี เมื่อเทียบกับเสียงของไฟล์ MQA ที่ระดับ 24/352.8 เวอร์ชั่นนี้แล้ว ต้องขอบอกว่า เสียงที่ได้มันก้าวข้ามฟอร์แม็ตอื่นๆ ไปเลย ที่ดูจะเป็นรองอยู่หน่อยก็คือเวอร์ชั่น DSD64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD เท่านั้น ซึ่งเวอร์ชั่น MQA 24/352.8 ให้มวลเสียงที่มีความหนาแน่นของเนื้อน้อยกว่าเวอร์ชั่น DSD64 นิดหน่อย แต่ที่ผมประทับมากๆ คือ C 658 เจียรนัยไฟล์ MQA อกมาได้ “ไหลลื่น” มาก มันให้โมชั่นของเพลงที่รู้สึกได้ว่าสอดคล้องแนบแน่นไปกับจังหวะของเพลงได้อย่างมั่นคง ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนฟังดนตรีสดมากกว่าการบันทึกแห่ง เด่นมากในแง่ของ “ไทมิ่ง” ที่แม่นยำ คือไม่รู้สึกว่าเพลงที่ฟังถูกภาค DAC เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น หรือถูกหน่วงจังหวะให้ช้าลง ทุกอากัปกิริยาของแต่ละเสียงไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง, เสียงกีต้าร์, กลอง, เบส และสตริงเครื่องสายที่แบ็คอัพ ทุกอย่างฟังดูมีท่วงท่าลีลาที่กลมกลืนไปกับลีลาของเพลง สดกระชับ ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าอย่าง (They Long To Be) Close To You (1991 remix) ไปจนถึงเพลงที่มีจังหวะกระชั้นๆ สนุกๆ อย่าง Top Of The World (single mix) นั่นทำให้ฟังแล้วรู้สึกว่าเคลิ้มไปตามอารมณ์ของเพลงได้ง่ายมาก เพราะเสียงที่ออกมามันมีทั้ง “ความนุ่มนวล” ของมวลเนื้อและไดนามิกคอนทราสน์ กับ “ความกระชับ” ของจังหวะจะโคน ผนวกกับ “ความสะอาด” ของมวลเสียง ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกผสมกันออกมาได้อย่างกลมกลืนและลงตัวมากๆ
อัลบั้ม : Christopher Cross (WAV 16/44.1 & FLAC 24/192-MQA)
ศิลปิน : Christopher Cross
สังกัด : Warner Music / TIDAL
ปรีแอมป์ C 658 แสดงคุณสมบัติของความเป็น “มอนิเตอร์” ออกมาให้ผมรู้สึกได้กลายๆ เมื่อผมทดลองฟังอัลบั้มชุดแรกของ Christopher Cross ที่เป็นไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีเทียบกับไฟล์ FLAC 24/192 ที่มาจากการสตรีมผ่าน TIDAL ซึ่งผมพบว่า แม้ว่าเสียงของไฟล์ FLAC 24/192 จาก TIDAL จะมีอาการหลวมๆ ไม่กระชับเท่าไฟล์ WAV 16/44.1 จากแผ่นซีดี แต่ในแง่ของความรู้สึกเปิดโล่งของเสียง ผมพบว่าไฟล์ FLAC 24/192 ทำได้ดีกว่ามาก.! ไฟล์ FLAC 24/192 จาก TIDAL ให้เสียงร้องของคริสโตเฟอร์ ครอสที่มีลักษณะผ่อนคลายมากกว่า แกะคำร้องได้ชัดกว่า และแน่นอนว่า ให้อารมณ์ของเพลงที่ลึกซึ้งมากกว่า
โดยส่วนตัวแล้ว ในอัลบั้มนี้ผมชอบแทรคที่ 7 เพลง “The Light Is On” มากเป็นพิเศษ ผมชอบจังหวะจิ๊กโก๋ๆ ของเพลงนี้ และชอบไลน์โซโล่กีต้าร์ของ Larry Carlton โดยเฉพาะท่อนท้ายๆ ที่เขาลากยาวเสียงกีต้าร์ให้เลี้ยวลัดฉวัดเฉวียนไปได้อย่างลื่นไหล ซึ่ง C 658 ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงนี้ออกมาให้ผมได้ฟังในรูปแบบที่ทำให้หวนนึกถึงตอนฟังเพลงนี้สมัยเรียน ทุกโน๊ตของลาร์รี่ คาลตันมันไหลลื่นออกมาเหมือนมีชีวิต.!!
อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee [Excerpts] (DSF64)
ศิลปิน : The Royal Ballet Production, John Lanchberry; conductor
สังกัด : Decca Records
C 658 ถ่ายทอดงานอัลบั้มสุดรักของผมชุดนี้ออกมาได้เลอเลิศมาก.!! อย่างแรกคือรูปวงที่ทั้งแผ่กว้างและลึก เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นวางตำแหน่งอยู่ในเวทีเสียงได้อย่างสมดุล เสียงสตริงเครื่องสายมีวรรณะที่เปล่งปลั่งมลังเมลือง รายละเอียดพรั่งพรูออกมามากมายทั้งในระดับ Low, Medium และ High Level ส่งให้โมชั่นของเสียงออกไปทางสด กระฉับกระเฉง ฟังสนุก
ผมฟังไปสักพัก ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ช่องอินพุต Ethernet ของ C 658 รองรับสัญญาณได้แต่ฟอร์แม็ต PCM ที่ระดับสูงสุด 24/192 เท่านั้น ดังนั้น เมื่อเล่นไฟล์ DSF ที่บรรจุสัญญาณ DSD อยู่ภายใน โปรแกรม roon จึงต้องทำการแปลงสัญญาณ DSD64 ของอัลบั้มนี้ด้วยกระบวนการ sample rate conversion ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ในระดับสูงสุดที่ C 658 รองรับได้ และเป็นระดับที่ไม่ทำให้เกิดความสูญเสียคุณภาพเสียงไปจากเดิมมาก ซึ่งตัวเลขที่ทดลงตัวสำหรับ C 658 ก็คือ 24/176.4 และต้องชื่นชมโปรแกรม roon ที่ทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ได้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM 24/176.4 ที่มีคุณภาพสูงก่อนจะส่งไปให้ภาค DAC ของ C 658 แปลงออกมาเป็นสัญญาณเสียงอะนาลอกที่มีความเป็นดนตรีน่าฟัง
อัลบั้ม : In The Moonlight (FLAC 24/88.2)
ศิลปิน : Sophie Milman
สังกัด : E1 Music
โปรดิวเซอร์ก็เหมือนกับโปรโมเตอร์ที่จัดชกมวย ทำแบบเดียวกัน คือค้นหานักร้องที่มีแววมาปั้นทำอัลบั้มให้ ซึ่งโปรดิวเซอร์ Matt Pierson เคยโปรดิวฯ งานเพลงให้กับ Jane Monheit กับ Michael Franks จนโด่งดังเป็นที่รู้จักของนักฟังเพลงแจ๊สทั่วโลกมาแล้ว Sophie Milman เป็นนักร้องแนวแจ๊สสัญชาติแคนาเดี้ยน เป็นชาวโตรอนโต้ที่ไปเกิดในรัสเซีย เมื่อมาอยู่ใต้การกำกับของ Matt Pierson ที่ถนัดในการสร้างบรรยากาศของเพลงแจ๊สแนวสโมคกี้แจ๊สบาร์ ทำให้เสียงร้องของ Sophie Milman ในชุดนี้มีลักษณะเซ็กซี่ น่าฟัง แบ็คอัพโดยวงสตริงเครื่องสายที่ให้บรรยากาศอบอุ่น ซึ่งนับว่าเป็นแนวเพลงที่ถูกโฉลกกับ C 658 มากเป็นพิเศษ ถ้าคุณชอบฟังเพลงร้องที่บ่งบอกอารมณ์ของศิลปินที่ปลดปล่อยออกมาสอดรับไปกับท่วงทำนองที่กอดรัดกันไปเป็นระลอก มีความเชื่อมโยงเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน คุณจะชอบเสียงของ C 658 ตัวนี้ คือไม่ได้หมายความว่าเสียงร้องกับเสียงดนตรีมันซ้อนทับกัน แต่เป็นเรื่อง “ไทมิ่ง” ของเสียงทั้งหมดที่เคลื่อนย้ายไปต่างหากที่มันซิงโคไนท์กันไปอย่างเป็นระบบ!
เสียงของอินพุต Bluetooth คือ “ดีงาม!“
ในคู่มือของ C 658 ระบุว่า อินพุต Bluetooth ของ C 658 มีโหมดการทำงานอยู่ 2 โหมด โหมดแรกคือ “Bluetooth Receiver” คือรับสัญญาณจากภายนอกที่มากับคลื่นบลูทูธเข้ามาทางอินพุต Bluetooth ของ C 658 กับโหมด “Bluetooth Headphones” คือส่งสัญญาณเสียงออกจาก C 658 ไปกับคลื่นบลูทูธ ส่งไปให้กับเฮดโฟนไร้สายที่รองรับสัญญาณที่มากับคลื่นบลูทูธนั่นเอง สรุปก็คือว่า ฟังท์ชั่น Bluetooth ของ C 658 มีทั้ง “รับ” เข้ามาและ “ส่ง” ออกไปจากตัวมัน
ผมใช้ iPhone 7 ของผมจับคู่ Bluetooth กับ C 658 แล้วเล่นไฟล์เพลงบน iPhone 7 ด้วยแอพ Onkyo HF Player ส่งสัญญาณผ่านคลื่นบลูทูธไปที่ C 658 เสียงที่ได้ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ
เรื่องใหม่ของผมคือ การสตรีมไฟล์เพลงจาก Music Streamer ไปที่หูฟังไร้สาย ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำมาก่อน เพราะไม่เคยเจอว่า Music Streamer แบบตั้งโต๊ะตัวไหนทำแบบนี้ได้ ผมทดลองใช้ฟังท์ชั่น Bluetooth Receiver ของ C 658 กับหูฟังไร้สายรุ่น WF-1000XM3 ของ Sony ที่ผมใช้อยู่เป็นประจำ ปรากฏว่าเสียงออกมาดีเลย..! ฟังเพลินมาก ส่งคลื่นได้ไกลด้วย เดินฟังไปได้ทั่วบ้านโดยไม่ต้องมีสาย เยี่ยมมาก.!
อีก 2 คุณสมบัติของ C 658 ที่แม้ว่าจะให้คุณภาพเสียงออกมาไม่ถึงขนาดดีที่สุดในระดับราคาครึ่งแสน แต่ก็ยังนับอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ไม่ใช่แค่ระดับของแถมฟรีๆ อย่างแน่นอน อันแรกคืออินพุต Phono ซึ่งผมลองฟังกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวเล็กๆ ของ Sony แม้ว่าจะรองรับได้แค่หัวเข็ม MM แต่ก็ให้เสียงออกมาดีเกินคาด โดยเฉพาะเกนขยายที่แรงพอทำให้เสียงออกมามีไดนามิก มีความสด ไม่ป้อแป้ (น่าจะเหมาะกับหัวเข็มที่มีเกนอยู่ระหว่าง 2.5 – 2.8mV) ส่วนอีกอย่างคือภาคขยายสำหรับหูฟัง ซึ่งสามารถขับหูฟังฟูลไซร้ที่ผมมีอยู่ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น AKG รุ่น K702/65th, beyerdynamic รุ่น T1 ‘Tesla’ รวมถึง Sennheiser รุ่น HD650 ที่มีอิมพีแดนซ์โหดๆ ระดับ 300 โอห์มก็สามารถขับออก แต่เสียงแหลมอาจจะ roll-off เยอะไปหน่อย ใครชอบนุ่มๆ พอรับได้ แต่ถ้าชอบเสียงสดๆ หน่อย ใช้หูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำๆ หน่อย อย่าง T1 ‘Tesla’ จะได้เสียงออกมาถูกใจกว่า
สรุป
C 658 ทำหน้าที่ของมันได้ดีเกินคาด.! ไม่ว่าจะในส่วนของ Streamer, DAC หรือ Pre-Amp รวมถึงเมื่อใช้งานร่วมกันทั้งสามหน้าที่ด้วย คนที่ใช้ซิสเต็มระดับกลางๆ และกำลังมีความคิดที่จะอัพเกรดซิสเต็ม ควรจะหาโอกาสไปทดลองฟังเสียงและทดลองใช้งาน C 658 ตัวนี้ไว้เป็นข้อมูล ผมเชื่อว่า หลังจากได้ทดลองฟังและทดลองใช้งาน C 658 ตัวนี้แล้ว มันอาจจะทำให้คุณเกิดไอเดียใหม่ๆ ในการอัพเกรดอย่างแน่นอน.!! /
********************
ราคา : พิเศษ 59,000 บาท / ตัว (จากราคาปกติ 72,900 บาท)
********************
สนใจติดต่อ
บ. Conice Electronic
โทร. 02-276-9644
Online: Conice.co.th