เมื่อพูดถึง “คุณภาพเสียง” อะไรคือ “คุณสมบัติ” สำคัญที่สุดของคุณภาพเสียง คุณสมบัติข้อไหนของเสียงที่เป็น “ตัวกำหนด” ระดับขั้นของคุณภาพเสียง.? นี่คือคำถามที่คนออกแบบลำโพง “ควร” จะค้นหาให้เจอ เพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดแนวคิดในการออกแบบลำโพง ซึ่งเป็นเสมือนการ “ติดกระดุมเม็ดแรก” ของการออกแบบลำโพง ถ้าตั้งต้นถูกตั้งแต่แนวคิคพื้นฐาน ก็การันตีได้เลยว่าผลลัพธ์สุดท้ายต้องออกมาถูกต้องเช่นกัน.!
โฉมหน้าคุณ Vince Bruzzese ในงาน ISE2023 ที่เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปญ
จากเวลาเกือบสามสิบปีที่ผมติดตามความเคลื่อนไหวของ Vince Bruzzese ผ่านผลงานการออกแบบลำโพง Totem Acoustic มาโดยตลอด ทำให้ผมพอจะเดาได้ว่า คุณสมบัติของเสียงที่คุณ Vince Bruzzese แกใช้กำหนดเป็นเป้าหมายสูงสุดในการออกแบบลำโพงโทเท็มก็คือ “ไดนามิก” ซึ่งผมคิดว่า นักออกแบบลำโพงหลายๆ คนก็อาจจะมีความคิดตั้งต้นไปที่ไดนามิกเหมือนกัน เพราะพื้นฐานของ “เสียง” ในธรรมชาติมีอยู่แค่ 2 คุณสมบัติเท่านั้น นั่นคือ “ความถี่” กับ “ความดัง” ซึ่งความถี่ของเสียงที่อยู่ในความสนใจของนักออกแบบเครื่องเสียงจะอยู่ในย่านเสียงตั้งแต่ 20Hz – 20kHz เป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าในปัจจุบันจะถูกขยายออกไปถึง 40kHz แต่หัวใจสำคัญก็ยังคงอยู่ในย่าน 20Hz – 20kHz โดยยึดเอาความสามารถในการได้ยินของหูมนุษย์กับความถี่ที่ครอบคลุมเสียงของโน๊ตที่เกิดจากเครื่องดนตรีทั้งหมดเป็นเกณฑ์ ส่วนอีกคุณสมบัติคือ “ความดัง” ซึ่งนักออกแบบเครื่องเสียงก็ให้ความสำคัญกับความดังไม่เกิน 140dB เป็นหลัก โดยอ้างอิงกับ threshold of hearing ของมนุษย์
ลำโพง Totem Acoustic มีชื่อเสียงโดดเด่นในแง่ที่ให้เสียง “หลุดตู้” คือสามารถผลักเสียงให้ลอยออกไปนอกตัวตู้ได้อย่างหมดจด ตำนานนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่รุ่น Model 1 ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นประจำตัวของรุ่นนั้น ฟังแล้วจะไม่รู้สึกเลยว่าเสียงมันดังออกมาจากตู้ลำโพง ไม่ว่าจะเป็นความถี่ในย่านแหลม–กลาง หรือทุ้ม สาเหตุก็เพราะว่าไม่มีเสียงของตู้ออกมาปนกับเสียงเพลงที่ลำโพงรุ่นนี้สร้างออกมานั่นเอง
‘Element Series’ กับการขยับก้าวไปอีกขั้น.!
หลังจากพัฒนาคุณภาพของรุ่น Model 1 มาหลายเวอร์ชั่น ประสบการณ์ถูกสั่งสมมาจนแน่นหนาพอทำให้สามารถขีดวงสรุปปัญหาให้แคบลงได้ว่า ถ้าจะทำลำโพงให้ได้คุณภาพเสียงที่ “ก้าวข้าม” คุณภาพเสียงที่ Model 1 ทำไว้ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่านั้น เขาต้องคิดใหม่-ทำใหม่ จากความสำเร็จของรุ่น Model 1 นั้น Vince Bruzzese ใช้วิธีเลือกไดเวอร์ที่มีพื้นฐานที่ดีจากผู้ผลิตไดเวอร์สองแบรนด์คือ Dynaudio และ Seas มาทำการปรับจูนเสียงด้วยการโมดิฟายไดเวอร์เหล่านั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่เขาต้องการ ส่งผลให้รุ่น Model 1 ดังระเบิดขึ้นมาได้ แต่ภายหลังเมื่อคุณวินซ์ มีความคิดที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการออกแบบด้วยการตัดวงจรเน็ทเวิร์คออกไปจากระบบ ซึ่งเป็นเทคนิคที่น่าจะให้คุณภาพเสียงที่ก้าวข้าม Model 1 ขึ้นไปอีกขั้น นั่นก็ถึงเวลาที่ทำให้เขาต้องลงมือออกแบบไดเวอร์ขึ้นมาใช้เองเพื่อให้มีคุณสมบัติตรงกับเทคนิคการออกแบบที่ไม่ใช้วงจรเน็ทเวิร์คตามที่เขาคิดไว้.!!!
‘Torrent Technology’ – The Ferrari of woofers !
ไดเวอร์ที่เร็วและทรงพลัง…
“.. The genesis for the Torrent’s revolutionary application was our conviction that a driver could be made without using any active or passive crossover parts in the signal path of the woofer section.” ต้นตอหน่อกำเนิดของการปรับเปลี่ยนดีไซน์ที่ Vince Bruzzese นำมาใช้ในการออกแบบลำโพงซีรี่ย์ ‘Element’ ก็คือตัดส่วนของพาสซีฟ คอมโพเน้นต์ในวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์ค ที่ทำหน้าที่ตีกรอบความถี่ให้กับตัวไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ออกไปทั้งหมด จากคอนเซ็ปต์ที่ว่า ถ้าไดเวอร์ถูกออกแบบมาได้ตามอุดมคติแล้วก็ไม่ต้องจูนด้วยวงจรเน็ทเวิร์คอีก ปล่อยให้ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ทำงานแบบฟูลเร้นจ์ เชื่อมต่อโดยตรงกับเอ๊าต์พุตของเพาเวอร์แอมป์ไปเลย “.. All speakers with Torrent drivers only have a simple crossover composed of as little as two components exclusively for the high frequency section.” ส่วนตัวทวีตเตอร์ที่ทำหน้าที่เสริมฮาร์มอนิกด้านสูงให้กับความถี่ที่ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ผลิตออกมา ก็ให้มีแค่วงจรครอสโอเว่อร์แบบเรียบง่ายที่มีพาสซีฟ คอมโพเน้นต์แค่ 2 ตัวทำหน้าที่เป็นไฮ–พาส ฟิลเตอร์ป้อนเฉพาะความถี่สูงที่ต้องการให้กับตัวทวีตเตอร์เท่านั้น
Vince Bruzzese ลงมือออกแบบและผลิตไดเวอร์ด้วยตัวเอง แต่เขาไม่ได้ทำอย่างที่คนอื่นทำ เขามีเทคนิคเฉพาะตัวในการออกแบบไดเวอร์เพื่อให้มันมีประสิทธิภาพออกมาตามที่เขาต้องการ ความพิเศษที่ว่าปรากฏอยู่ในส่วนของระบบแม่เหล็กที่ใช้ผลักและดึงกระบอกวอยซ์คอยที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่เดินหน้า–ถอยหลังของไดอะแฟรม ซึ่งเขามองว่าส่วนนี้คือหัวใจสำคัญที่เป็นพื้นฐานของคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก” ของเสียง
ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดใช้แม่เหล็กที่มีลักษณะคล้ายวงโดนัทที่มีรูตรงกลางที่เปิดช่องไว้ให้กระบอกวอยซ์คอยที่ติดอยู่บนไดอะแฟรมเคลื่อนตัว เดินหน้า–ถอยหลังผ่านช่องแม่เหล็กที่ว่านี้ ซึ่งจุดนี้คุณวินซ์ มองว่า เนื่องจากสรีระของแม่เหล็กทรงโดนัทแบบนั้น จะมีผลทำให้พลังงานจากสนามแม่เหล็กที่ไปควบคุมวอยซ์คอยขณะเคลื่อนที่เดินหน้าห่างออกมาจากแท่งแม่เหล็กมีลักษณะที่ไม่คงที่ คือขณะที่วอยซ์คอยเคลื่อนตัวห่างจากแม่เหล็กออกไป สนามแม่เหล็กที่ส่งไปควบคุมวอยซ์คอยจะลดความเข้มลง และจะเปลี่ยนเป็นเข้มมากขึ้นเมื่อวอยซ์คอยเคลื่อนตัวถอยหลังเข้าใกล้แท่งแม่เหล็ก ซึ่งคุณวินซ์ มองว่า ปฏิกิริยานี้ส่งผลเสียกับไดนามิกของเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของไดอะแฟรมที่ได้รับแรงกระทำจากแม่เหล็กที่ไม่คงที่นี้
ภาพด้านบนนี้คือไดเวอร์ Torrent ขนาด 7 นิ้ว กับ 4 นิ้ว ที่ Vince Bruzzese ออกแบบและผลิตขึ้นมา ตรงตำแหน่งที่ศรชี้ในภาพข้างบนนั้นคือเฮ้าซิ่งสแตนเลสทรงกรวยที่ใช้ติดตั้งแท่งแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมจำนวน 17 แท่ง ที่มีความยาวแท่งละ 2.5 นิ้ว ไว้โดยรอบผนังกรวยด้านใน ล้อมรอบกระบอกวอยซ์คอยที่มีระยะช่วงชัก (เดินหน้า–ถอยหลัง) อยู่ที่ 1 นิ้ว จึงเห็นว่า ระบบแม่เหล็กของไดเวอร์ Torrent ที่คุณวินซ์ ออกแบบนี้จะแผ่พลังงานสนามแม่เหล็กครอบคลุมกระบอกวอยซ์คอยได้ทั้งหมด ไม่ว่ากระบอกวอยซ์คอยจะเดินหน้า–หรือถอยหลังในระยะชัก 1 นิ้ว เส้นตัวนำทองแดงที่พันอยู่บนกระบอกวอยซ์คอยจะได้รับพลังงานจากระบบแม่เหล็กที่เท่าเทียมกันทุกขณะที่วอยศ์คอยขยับตัว ซึ่งพลังอันมหาศาลของแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมทั้ง 17 ชิ้นที่ล้อมอยู่รอบๆ กระบอกวอยซ์คอยจะควบคุมการเคลื่อนตัวของวอยซ์คอยได้อย่างเต็มที่ สามารถส่งพลังดันไดอะแฟรมให้พุ่งตัวออกไปได้อย่างรวดเร็วด้วยพลังที่ตรงตามที่สัญญาณอินพุตป้อนเข้ามา กลายเป็นไดนามิกของเสียงที่ถึงพร้อมทั้งความฉับพลันและความหนักหน่วง
และเนื่องจากไดเวอร์ Torrent ตัวนี้ต่อตรงกับเอ๊าต์พุตของเพาเวอร์แอมป์โดยไม่มีพาสซีฟ คอมโพเน้นต์ (วงจรพาสซีฟ ครอสฯ) เข้ามาขวางเส้นทางสัญญาณ ยิ่งทำให้ไดเวอร์ Torrent ตัวนี้ตอบสนองกับสัญญาณอินพุตได้เร็วแทบจะในทันทีที่สัญญาณจากเพาเวอร์แอมป์เดินทางมาถึง ซึ่งผลดีที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยานี้คือได้เฟสสัญญาณที่ถูกต้องแม่นยำทั้งในแนวแกน (on axis) และนอกแนวแกน (off axis) ส่งผลต่อเนื่องออกมาเป็นคุณสมบัติทางด้าน “โฟกัส” และ “เวทีเสียง” ที่คมชัด กับอีกอย่างคือได้การตอบสนองกับสัญญาณ “ทรานเชี้ยนต์” หรือสัญญาณฉับพลันที่รวดเร็วแทบจะในทันที ปราศจากปัญหา delay ส่งผลให้ได้คุณสมบัติทางด้านทรานเชี้ยนต์ อิมแพ็คของเสียงที่เร็วตรงตามต้นฉบับ ทำให้น้ำเสียงออกมาสดสมจริงนั่นเอง
ตัวตู้ก็ออกแบบใหม่…
ในช่วงที่พัฒนารุ่น Model 1 คุณวินซ์แกก็วุ่นอยู่กับการออกแบบตัวตู้อยู่ไม่น้อย ทั้งค้นคิดวิธีประกบผนังตู้และวิธีขจัดเรโซแนนซ์ของผนังตู้ด้วยวัสดุพิเศษที่ชื่อว่า borosilicate ซึ่งสาเหตุที่ต้องทำอะไรทั้งหมดนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้ผนังตู้ส่งผลขัดขวางการทำงานของไดเวอร์นั่นเอง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณวินซ์ รู้ดีว่าที่ทำมาทั้งหมดกับรุ่น Model 1 ยังไม่มากพอ ในซีรี่ย์ Element นี้เขาจึงเพิ่มเติมเทคนิคที่ทำให้มั่นใจว่าผนังตู้จะไม่ส่งผลกับเสียงที่สร้างขึ้นโดยไดเวอร์อย่างแน่นอน เทคนิคที่ว่าคือการออกแบบให้ผนังตู้แต่ละด้านที่อยู่ตรงข้ามคือ ซ้าย–ขวา, หน้า–หลัง และบน–ล่าง มีลักษณะที่ “ไม่ขนานกัน” เพื่อปิดโอกาสเกิดปัญหาเรโซแนนซ์ (คลื่นสั่นค้าง) ที่มักจะเกิดขึ้นจากคลื่นเสียงสะท้อนไป–มาระหว่างผนังฝั่งตรงข้ามที่มีลักษณะขนานกันลงได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งนักออกแบบลำโพงต่างก็รู้ดีว่า “เรโซแนนซ์” ที่เกิดขึ้นในตัวตู้คือศัตรูตัวร้ายของเสียง มันจะไปขัดขวางและเบี่ยงเบนการทำงานของไดเวอร์ คุณวินซ์จึงออกแบบตัวตู้ของลำโพงทุกรุ่นในตระกูล Element series ที่มีผนังที่อยู่ตรงข้ามมีลักษณะที่ไม่ขนานกัน และทำมุมสะท้อนของคลื่นเสียงภายในตู้ให้อยู่ในมุมเฟสที่หักล้างกันไปในตัวด้วย เมื่อไร้ซึ่งพลังงานรบกวนจากมวลอากาศภายในตัวตู้เข้ามาขวาง ไดอะแฟรมของไดเวอร์ Torrent ก็จะเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระเต็มที่ ส่งผลต่อคลื่นเสียงที่ไดเวอร์สร้างออกมาให้มีคุณสมบัติตรงกับต้นฉบับมากที่สุด นั่นคือที่มาของลักษณะตัวตู้ที่มีรูปทรงแปลกตา
ขั้วต่อสายลำโพงไบ–ไวร์ฯ
คุณวินซ์ แกเอาวงจรครอสโอเว่อร์ไปติดตั้งบนแผงอะลูมิเนียมขนาดใหญ่แล้วผนึกลงบนแผงหลังของตัวตู้เพื่อให้แผงวงจรครอสโอเว่อร์เน็ทเวิร์คมีความนิ่ง ไม่สั่นกระพรือ ซึ่งเป็นเทคนิคที่แกเริ่มนำมาใช้ในลำโพงรุ่น The One เป็นครั้งแรก นอกจากเหตุผลทางด้านเสียงแล้ว ผมว่ายังทำให้ดูดีมีสง่าขึ้นเยอะเลย ดีกว่าวิธีเจาะขั้วต่อลงไปบนแผงหลังตู้ตรงๆ แบบรุ่นเก่าๆ เยอะ
ตัวขั้วต่อสายลำโพงในรุ่น Element ‘FIRE’ v2 ตัวนี้ก็เป็นขั้วต่อแพลทตินั่ม ซึ่งเป็นรุ่นสูงของ WBT ติดตั้งมาให้ 2 ชุดต่อข้าง เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเลือกลักษณะการเชื่อมต่อกับเพาเวอร์แอมป์ได้หลากหลายรูปแบบ ถ้าใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ล ทางผู้ผลิตก็มีจั๊มเปอร์ที่เป็นแท่งโลหะมาให้ หรือคุณจะหาจั๊มเปอร์ของแบรนด์อื่นๆ มาใช้ก็ได้ (ในภาพผมใช้จั๊มเปอร์ของ Nordost รุ่น Valhalla) หรือกรณีที่คุณมีสายลำโพงไบ–ไวร์ฯ แบบ 2-to-4 ก็สามารถเสียบใช้งานกับขั้วต่อของ Element ‘FIRE’ v2 ได้โดยถอดเอาจั๊มเปอร์ออก หรือถ้าจะเอากันให้สุดไปเลย ตามอุดมคติของลำโพงที่ให้ขั้วต่อสายเบิ้ลมาสองชุดลักษณะนี้ นั่นคือใช้เพาเวอร์แอมป์ 4 แชนเนล (สเตริโอ 2 ตัว หรือ โมโนบล็อก 4 ตัว) แยกกันขับลำโพงข้างละ 2 แชนเนล ตามแบบฉบับที่เรียกว่า bi-amp ก็สามารถทำได้
สมรรถนะ
นอกจากตัวมิด/วูฟเฟอร์ Torrent ขนาด 7 นิ้ว ที่รับหน้าที่สร้างคลื่นเสียงแบบฟูลเร้นจ์แล้ว ยังมีทวีตเตอร์โดมไตตาเนี่ยมขนาด 1 นิ้ว เข้ามาช่วยเสริม “เนื้อมวล” ของความถี่ในย่านแหลมอีกหนึ่งตัว ซึ่งตัวทวีตเตอร์ตัวนี้จะได้รับความถี่จากวงจรครอสโอเว่อร์ ในขณะที่ตัวมิด/วูฟเฟอร์ Torrent ถูกต่อตรงเข้ากับเพาเวอร์แอมป์โดยไม่มีครอสโอเว่อร์เข้ามาคั่น
เมื่อไดเวอร์ทั้งสองตัวทำงานร่วมกัน มันทั้งคู่จะช่วยกันสร้างความถี่เสียงตั้งแต่แหลมสุดคือ 22,000Hz ลงมาจนถึงความถี่ต่ำสุดที่ 30Hz ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ครอบคลุมเสียงโน๊ตส่วนใหญ่เกือบ 95% ที่เครื่องดนตรีทั้งหมดสร้างขึ้นมา ถือว่าเป็นลำโพงวางขาตั้งที่มีสมรรถนะสูงมากคู่หนึ่งเลยทีเดียว.! ทางด้านกำลังขับที่แนะนำไว้ “อย่างต่ำ” คือ 50 วัตต์ ขึ้นไปจนถึงระดับ “สูงสุด” ที่ 250 วัตต์ ก็พอจะบ่งบอกถึง “ความยืดหยุ่น” ของลำโพงคู่นี้ได้ว่า มันสามารถทำงานร่วมกับแอมป์ในระดับปานกลางขึ้นไปจนถึงระดับที่มีสมรรถนะสูงๆ “ได้อย่างสบาย” เมื่อพิจารณาที่ตัวเลขของ “ความไว” ที่ระดับ 88dB กับตัวเลข “อิมพีแดนซ์” ที่ 8 โอห์ม ตามที่แจ้งไว้ในสเปคฯ
แม็ทชิ่งเพื่อการทดสอบ
ข้อมูลที่น่าสังเกตสำหรับลำโพงคู่นี้คือระยะเวลาในการเบิร์นฯ ที่ผู้ผลิตระบุไว้ 200 – 300 ชั่วโมง ซึ่งโดยปกติแล้ว ลำโพงเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ต้องการเวลาในการเบิร์นฯ มากกว่าอุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิคอื่นๆ ที่โดยเฉลี่ยของการเบิร์นฯ ทั่วๆ ไปจะอยู่ที่ 100 ชั่วโมง ในขณะที่ลำโพงส่วนใหญ่จะให้เสียงออกมาดีเต็มที่จริงๆ มักจะต้องการเวลามากกว่า 100 ชั่วโมงขึ้นไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะลำโพงที่ให้ “รายละเอียด” เยอะๆ ให้ไดนามิก คอนทราสน์ได้กว้างๆ ยิ่งต้องการเวลาในการรันอินมากเป็นพิเศษ ตัวเลข 200 – 300 ชั่วโมง จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตกใจอะไร แค่เอาไว้เป็นข้อสังเกตเฉยๆ เพราะในชีวิตจริง เราก็ไม่ค่อยจะมานั่งจับเวลากันอยู่แล้ว เล่นไปเรื่อยๆ จะพบเองว่า เสียงที่ออกมาจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แค่ว่า หลังจากชั่วโมงที่ 100 ไปแล้ว การเพิ่มขึ้นของคุณภาพเสียงจะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าช่วงร้อยชั่วโมงแรกเท่านั้น
หลังจากผ่านชั่วโมงที่ 200 ไปแล้ว ผมก็ทดลองแม็ทชิ่ง Element ‘FIRE’ v2 กับแอมป์หลายตัว เริ่มจากภาพบน ทดลองขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Audiolab รุ่น 9000A กำลังขับข้างละ 100W ที่โหลด 8 โอห์ม เสียงออกมาดีกว่าที่คาดไว้เยอะมาก.! เพราะราคาของแอมป์ไม่ถึงครึ่งของราคาของลำโพง แต่เสียงออกมาน่าพอใจทีเดียว ถือว่าเป็นชุดเริ่มต้นได้ดีสำหรับลำโพงคู่นี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้ห้องฟังไม่ใหญ่มาก
ขยับมาที่แอมป์ class G ของ Arcam SA30 (REVIEW) ที่ตัวเลขกำลังขับ 120W ที่โหลด 8 โอห์ม เสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ ราคาของ SA30 สูงกว่า 9000A เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงครึ่งของราคาลำโพงอยู่ดี เสียงที่ออกมากอยู่ในระดับดีเกินคาดอีกเหมือนกัน เป็นการยืนยันว่า Element ‘FIRE’ v2 เป็นลำโพงที่ขับง่าย ไม่โหลดแอมป์จริงๆ อย่างที่ผู้ผลิตเคลมไว้.!
ขยับขึ้นมาลองขับกับอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase รุ่น E-4000 (REVIEW) ที่มีกำลังขับ 180W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม เสียงโดยรวมออกมาดีมาก ขยับขึ้นไปอีกขั้น สิ่งที่ได้เพิ่มมาเยอะหน่อยก็คือ “เนื้อเสียง” ที่อิ่มหนามากขึ้น มวลของตัวเสียงที่แน่นขึ้น เสียงนิ่งและตรึงแน่นมากขึ้น และให้รูปวงเวทีเสียงที่โอบล้อมมากขึ้น นับว่าเป็นคู่แม็ทฯ สำหรับ Element ‘FIRE’ v2 ที่ให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาน่าพอใจมาก เหมาะกับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงระดับ near perfect จาก Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้.!
จับกับสเตริโอ รีซีฟเวอร์ของ McIntosh รุ่น MAC7200 ที่ให้กำลังขับ 200W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ก็ได้เสียงโดยรวมออกมาดีมาก คุณภาพเสียงโดยรวมสูสีกับตอนจับคู่กับ E-4000 อาจจะมีดี–ด้อยกันไปคนละด้าน แต่คะแนนรวมใกล้เคียงกัน
ตอนท้ายๆ ผมทดลองข้ามรุ่นไปจับกับอินติเกรตแอมป์ซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ของ Boluder รุ่น 866 (REVIEW) ซึ่งอินติเกรตแอมป์ตัวนี้รีดเสียงของ Element ‘FIRE’ v2 ออกมาได้หมดจดมาก.!
ช่วงกำลังเบิร์นฯ Totem Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้ ผมพบว่า เสียงของมัน “ฟังได้” ตั้งแต่เริ่มแกะกล่อง และเสียงโดยรวมจะเริ่มคลายตัว แผ่ขยายอัตราสวิงของไดนามิกออกมามากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ชั่วโมงที่ 2 เป็นต้นไป เมื่อครบชั่วโมงที่ 100 ผมก็รู้สึกว่าเสียงของมันออกมาดีมากแล้ว หลายๆ คุณสมบัติที่มันให้ออกมาอยู่ในระดับที่ผมพอใจมากแล้ว แต่หลังจากเริ่มต้นเซ็ตอัพจริงจังและได้ทดลองแม็ทชิ่งกับแอมป์ที่หลากหลายมากขึ้น ผมพบว่า หลังจากชั่วโมงที่ 100 ไปแล้ว เสียงของลำโพงคู่นี้มันยังดีขึ้นไปได้อีก เปิดได้ดังมากขึ้น ทว่า พัฒนาการของมันจะเริ่มจำกัดวงแคบลงมาอยู่ที่อัตราขยายของไดนามิก คอนทราสน์ที่คลี่คลายได้กว้างขึ้น รายละเอียดในช่วงเบาสุดกับช่วงดังสุด (dynamic range) ถูกฉีกแยกห่างออกจากกันมากขึ้น ช่วงหลังชั่วโมงที่ 100 ไปแล้วคุณสมบัติทางด้านไมโครไดนามิกที่เกิดจากการแตกตัวของปลายเสียงของเครื่องดนตรีที่ทำด้วยโลหะจะปรากฏออกมามากเป็นพิเศษ รวมถึงมวลแอมเบี้ยนต์ก็อบอวลมากขึ้นด้วย
ทดลอง “อัด” ด้วยแอมป์ที่มีสมรรถนะสูงๆ ล็อตแรก โดยเริ่มจากชุดปรีฯ Ayre Acoustic K-5 + Usher Audio REFERENCE 1.5 (REVIEW) แล้วต่อด้วยชุดปรีฯ VTL TL-2.5 + VTL MB-125
ทดลองจับคู่กับชุดปรี+เพาเวอร์แอมป์หลอดล้วน VTL TL-2.5 + VTL ST-85 (ตัวกลาง)
ในขั้นตอนเบิร์นฯ ผมพบข้อสังเกตอย่างหนึ่งของลำโพงคู่นี้ ในช่วงก่อนถึง 100 ชั่วโมงแรกผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ไม่ชอบแอมป์กล้ามโต คือเมื่อทดลองเอาแอมป์โซลิดสเตทตัวใหญ่ๆ ที่ให้กำลังขับ 150 วัตต์ อย่าง Usher Audio REFERENCE 1.5 มาลองขับ เสียงโดยรวมจะออกมาตันๆ กระชับ หนักแน่นดี แต่ไม่ค่อยพลิ้วกังวาน พอลดลงมาเป็นแอมป์ระดับกลางๆ กำลังขับประมาณ 75 – 100 วัตต์ต่อข้าง กลับให้เสียงที่น่าฟังกว่า มีความกังวานพลิ้วของหางเสียงออกมามากกว่า แต่ความกระชับแน่นของหัวโน๊ตก็จะลดลงไปตามกำลังของแอมป์เหมือนกัน แต่เมื่อเบิร์นฯ มาจนถึง 200 ชั่วโมงขึ้นไป ผมพบว่า มันเริ่มไปกับแอมป์ใหญ่ได้ดีขึ้น เมื่อลองขับกับแอมป์ที่มีกำลังขับสูงๆ ระดับ 150 – 200 วัตต์ต่อข้าง (Accuphase E-4000, McIntosh MAC7200 และเพาเวอร์แอมป์ Usher Audio REFERENCE 1.5) อีกที มันก็เริ่มให้ค่าเฉลี่ยของเสียงระหว่างความกระชับของอิมแพ็คและความแน่นของบอดี้ที่ดีน่าพอใจมากขึ้น เสียงไม่แน่นๆ ตันๆ เหมือนก่อน 100 ชั่วโมงแรก ความถี่ทั้งหมดเริ่มคลี่คลายออกจากกันทุกย่าน เวทีเสียงก็แผ่กว้างรวมถึงหางเสียงก็ทอดยาวน่าพอใจ แสดงว่าช่วงแรกที่ไปกับแอมป์ใหญ่ไม่ดีนักเป็นเพราะลำโพงมันเบิร์นฯ ยังไม่เต็มที่นั่นเอง อือมม.. แสดงว่าตัวเลขที่ผู้ผลิตแนะนำไว้ว่าให้เบิร์นฯ 200 – 300 ชั่วโมงคงจะเป็นเรื่องจริง..!
ขาตั้งที่ออกแบบมาด้วยกัน..
ทางผู้ผลิตลำโพงมีแนะนำขาตั้งที่เจาะจงให้ใช้ด้วยกันมาด้วย เป็นขาตั้งที่พวกเขาไปจ้างให้แบรนด์ Custom Design ผลิตให้ รูปทรงคล้ายขาตั้งรุ่น FS106 Signature Speaker Stands แต่เพิ่มท่อกลมตรงกลางขึ้นมาอีกหนึ่งท่อ รวมเป็นสองท่อ ..
ขาตั้งตัวนี้จะถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ บรรจุมาในกล่อง ..
คุณกฤตย์ ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ของบริษัท Deco2000 ผู้นำเข้าลำโพง Totem Acoustic ทำการประกอบขาตั้งตัวนี้ ซึ่งทางผู้ผลิตขาตั้งคือ Custom Design ใช้วิธียึดแต่ละชิ้นส่วนเข้าด้วยกันด้วยน็อตโลหะ
หลังจากประกอบร่างเสร็จ คุณกฤตย์ก็นำขาตั้งเข้าไปเซ็ตอัพให้ในห้องฟัง ณ จุดเริ่มต้น (ซ้าย–ขวา ห่างกัน = 180 ซ.ม.)
เพราะทำมาเพื่อลำโพงคู่นี้โดยเฉพาะ แพลทบนของขาตั้งกับฐานของตัวลำโพงจึงมีขนาดที่พอดีกันเป๊ะ ในภาพข้างบนนี้ คุณกฤตย์กำลังปรับตั้งลำโพงอย่างละเอียดพิถีพิถัน ซึ่งคุณกฤตย์ แจ้งว่า คนที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของลำโพงรุ่นนี้จะได้รับการบริการติดตั้งที่พิถีพิถันระดับนี้เช่นกัน (*สอบถามเพิ่มเติมที่คุณกฤตย์ อีกครั้ง 089-870-8987)
ลักษณะหลังติดตั้งขาตั้งเสร็จเรียบร้อย.. ดูลงตัวมาก.! ที่มุมทั้งสี่ของแพลทล่างมีเดือยแหลมให้มาเพื่อยกขาตั้งให้ลอยจากพื้น และมีไว้ให้ใช้ในการปรับระดับลำโพงให้ตั้งฉากกับพื้น ใครที่กลัวพื้นห้องเป็นรอยเขามีจานโลหะไว้ให้รองใต้เดือยแหลมด้วย (ในภาพ ตอนไฟน์จูนจะยังไม่ได้ใช้)
ท่อทรงกระบอกที่อยู่ตรงแกนกลางของขาตั้งทั้งสองท่อนั้นสามารถใส่วัสดุซับพลังงานคลื่นสั่นสะเทือนอย่างเช่นทรายหรือเม็ดตะกั่วได้ ไว้ปรับจูนเสียง
ตอนแรกที่ลำโพงมาถึง ขาตั้งตามมาทีหลัง ทำให้ช่วงประมาณ 100 ชั่งโมงแรกผมเบิร์นฯ ลำโพงคู่นี้บนขาตั้งไฮบริดจ์ไม้ผสมโลหะสูง 24 นิ้วของ Atacama รุ่น XL600 (REVIEW) ซึ่งเสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากน่าพอใจแล้ว ในภาพกำลังทดลองจับคู่กับอินติเกรตแอมป์ class A ของ Sugden รุ่น I-4 (REVIEW) เสียงออกมาดีมาก นุ่มนวลและไม่ยวบยาบ
ช่วงหลังได้ขาตั้งที่โทเท็มจ้างทาง Custom Design ทำให้มาจับคู่กัน เป็นขาตั้งโลหะทั้งตัว แพลทบนและแพลทล่างเป็นแบบ open frame เจาะรูเปิดช่องว่างเพื่อลดการสะสมพลังงานและเพื่อให้สลายพลังงานของตัวตู้ออกไปได้เร็วขึ้น เสียงที่ออกมาเปลี่ยนไปเยอะพอสมควรเมื่อเทียบกับวางบนขาตั้ง Atacama XL600 รู้สึกได้ว่า ความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มมีลักษณะที่โปร่งโล่งมากขึ้น สะอาดขึ้น หัวโน๊ตในย่านความถี่เหล่านั้นมีความกระชับ, มีพลังดีดตัวและแน่น (punchy) มากขึ้น เสียงทุกเสียงลอยหลุดตู้ออกไปดิ้นอยู่ในอากาศมากขึ้น ในขณะที่เสียงแหลมก็มีลักษณะที่ดีดดิ้นมากขึ้นด้วย ปลายเสียงแหลมแตกตัวเป็นฝอยและลอยออกมามากกว่าเดิม โทนเสียงรวมๆ จะออกไปทางสดมากขึ้น ช่วงสรุปแนวเสียงของ Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 ผมใช้คู่กับขาตั้งโลหะของ Cusom Design ตลอด
เซ็ตอัพสุดท้าย
Element ‘FIRE’ v2 เป็นลำโพงตู้เปิด มีท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้วอยู่ที่แผงด้านหลัง ตำแหน่งใกล้กับด้านหลังของทวีตเตอร์ เมื่อวางอยู่บนขาตั้งของ Custom Design ความสูงของลำโพงวัดจากพื้นขึ้นมาถึงส่วนบนสุดของแผงหน้าอยู่ที่ 105.5 ซ.ม. ด้วยน้ำหนักตัวไม่ถึง 15 กิโลกรัม การยกขยับเพื่อปรับจูนเสียงจึงทำได้ไม่ยากด้วยตัวคนเดียว หลังจากทดลองฟัง ณ จุดเริ่มต้นตามสูตรของผมคือ ระยะห่างซ้าย–ขวาอยู่ที่ 180 ซ.ม. ห่างผนังหลังเท่ากับ 178.25 ซ.ม. (ความลึกของห้องหารด้วย 3) ปรากฏว่าเสียงโดยรวมก็ออกมาน่าฟังแล้ว หลังจากทดลองฟัง ณ ตำแหน่งนั้นมาเรื่อยๆ จนพ้นระยะเวลา 100 ชั่วโมงแล้ว ผมจึงเริ่มไฟน์จูนด้วยการแม็ทชิ่งและขยับตำแหน่งลำโพง จนมาได้จุดลงตัวอยู่ที่ระยะห่างซ้าย–ขวาอยู่ที่ 170 ซ.ม. และห่างผนังหลังเท่ากับ 173 ซ.ม. โดยที่ลำโพงทั้งสองข้างวางหน้าตรง ไม่โทอิน สรุปคือ ลำโพงคู่นี้เซ็ตอัพตำแหน่งไม่ยาก ลักษณะเหมือนลำโพงทั่วไป การเปลี่ยนแปลงของเสียงค่อนข้างไวกับการปรับเปลี่ยนระยะพอสมควร
เสียงของ Element ‘FIRE’ v2
“.. The ultimate goal of Torrent was to achieve musical purity coupled with prodigious power. The crossover-less design means the amplifier makes a direct connection to the woofer, bypassing distortion and coloration introduced by a crossover.” การออกแบบไดเวอร์ Torrent โดยไม่ใช้วงจรครอสโอเว่อร์เข้ามากำกับการทำงานของไดเวอร์ก็เท่ากับว่าสัญญาณเสียงจากแอมปลิฟายถูกส่งต่อเข้าสู่ไดเวอร์โดยตรง เป็นการขจัดความเพี้ยนและสีสันที่เกิดขึ้นจากการทำงานของวงจรครอสโอเว่อร์ออกไปอย่างสิ้นเชิง.!
เสียงในธรรมชาติประกอบด้วย “ความถี่” กับ “ความดัง” ในขณะที่ “เสียงเพลง” ก็คือ “มูพเม้นต์” หรือการเคลื่อนไหวของ “ความถี่” และ “ความดัง” ที่อยู่ในรูปของ “ตัวโน๊ต” ซึ่ง “มูพเม้นต์” หรือการเคลื่อนไหวของตัวโน๊ตก็คือ “ไดนามิก” (ทั้งทรานเชี้ยนต์และคอนทราสน์) จะเห็นว่า “ไดนามิก” ของเสียงมีความสำคัญต่อเพลงมากกว่าความถี่
“ไดนามิก” คือคุณสมบัติที่ทำให้เสียง “จั๊มพ์” กระโดดออกมาจากไดเวอร์หลุดออกไปลอยอยู่ในอากาศ ถ้าไดอะแฟรมของไดเวอร์ตอบสนองสัญญาณทรานเชี้ยนต์ ไดนามิกได้ “เร็วพอ” และ “แรงพอ” (ด้วยพลังของระบบแม่เหล็ก) เสียงที่พุ่งหลุดออกมาจากไดเวอร์ตัวนั้นก็จะมี “มูพเม้นต์” ที่เป็นธรรมชาติ
อัลบั้ม : Audiophile Selection (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Tony O’Malley
สังกัด : Premium Records
เมื่อคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก” ของเสียงถูกถ่ายทอดออกมาจากไดเวอร์ของลำโพงด้วยสปีดที่ถูกต้อง แม่นยำ เสียงที่เราได้ยินจะมี “ความสด” เหมือนเสียงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ ซึ่งความถี่เสียงที่มีอิทธิพลกับเพลงมากที่สุดอยู่ในย่านเสียงกลาง (midrange) เพราะโน๊ตดนตรีที่เกิดขึ้นจากการบรรเลงเครื่องดนตรีของนักดนตรีจะมีโน๊ตที่ให้ความถี่อยู่ในย่าน midrange แทบทุกชนิด และเสียงกลางที่จดจำง่ายที่สุดคือเสียงร้องของนักร้องชายและนักร้องหญิง
Tony O’Malley เป็นนักร้องชายสัญชาติอังกฤษที่มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีประเภทคีย์บอร์ด, มีความสามารถในการเรียบเรียงเสียงประสานและแต่งเพลงเองด้วย เขาเป็นนักดนตรีที่มีประวัติการเล่นดนตรีมาอย่างโชกโชน เคยออกทัวร์กับวง Average White Band และ Bob Dylan มาแล้ว มีวงของตัวเองด้วย อัลบั้มชุดนี้ออกมาเมื่อปี 2016 เป็นซีดีที่ค่าย Premium Records คัดเพลงที่คุณโทนี่แกร้องคัฟเวอร์เพลงสแตนดาร์ดแจ๊สที่คุ้นหูมารวมไว้ให้
ในอัลบั้มชุดนี้ คุณโทนี่แกร้องและเล่นเปียโนไปด้วย สไตล์การร้องของแกเอาแนวแจ๊ส, ฟั้งค์, โซล และบลูส์เข้ามาผสมรวมกัน ออกมาเป็นแนวการร้องที่ซึมลึก ปลดปล่อยอารมณ์ออกมากับคำร้องอย่างเต็มที่ ผนวกกับลักษณะของเสียงที่แหบและสากของคนดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ผสมกลมกลืนกันออกมาเป็นเสียงที่เซ็กซี่ มีเสน่ห์น่าฟัง เพลงเด่นในอัลบั้มนี้มีหลายเพลงแต่ที่ผมว่ามีความลงตัวทั้งในส่วนของคุณภาพเสียงและอารมณ์เพลงมากที่สุดก็คือเพลง Stardust แทรคที่สอง ซึ่ง Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้ขุดคุ้ยเอารายละเอียดที่แสดงอัตลักษณ์ในเสียงร้องของคุณโทนี่ออกมาให้ได้ยินครบทุกเม็ด เสียงร้องและเสียงเปียโนลอยเด่นออกมาในอากาศแบบไม่แคร์ตู้ ตัวโน๊ตและเสียงร้องขยับตัวเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลงได้อย่างมีชีวิตชีวา
อีกเพลงที่ทำได้ดีพอกันคือเพลง Autumn Leave แทรคแรกของอัลบั้ม ซึ่ง Element ‘FIRE’ v2 แจกแจงรายละเอียดของเสียงร้องในแทรคนี้ออกมาได้หมดจดจริงๆ ผมได้ยินตั้งแต่เขาเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปในปอดก่อนจะค่อยๆ ใช้ลมจากปอดขับดันคำร้องออกมาจากลำคอที่แห้งผาก คำต่อคำ เป็นออทั่ม รีฟ เวอร์ชั่นที่ฟังแล้วได้อรรถรสเป็นพิเศษ รับรู้ถึงอารมณ์ของคนร้องที่บีบเค้นแต่ละคำร้องออกมาอย่างเต็มกำลัง ไม่ได้เป็นการร้องลักษณะกระโชกกระชาก แต่รีดอารมณ์ด้วยการควบคุมลมหายใจและควบคุมปริมาณของมวลลมที่ผ่านริมฝีปากออกมา ฟังแล้วอิ่มมาก.! ต้องเป็นลำโพงที่สามารถขุดคุ้ยไดนามิกคอนทราสน์ออกมาได้ดีมากๆ เท่านั้น ถึงจะสามารถถ่ายทอดรายละเอียดส่วนที่เป็น “อารมณ์” ของนักร้องให้ผสมปนออกมากับคำร้องได้อย่างครบถ้วนหมดจดเช่นนี้.. เอาจริงๆ นะ ฟังแค่สองเพลงนี้ผมก็กดปุ่มเขียวให้ Element ‘FIRE’ v2 สอบผ่านแล้วล่ะ..!!!
อัลบั้ม : เสือตัวที่ 11 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
สังกัด : รถไฟดนตรี
มีสิ่งหนึ่งที่ Element ‘FIRE’ v2 ถ่ายทอดออกมาแล้วทำให้ผมถึงกับขนลุก.!! สิ่งที่ว่านั้นคือคุณสมบัติของเสียงประเภทที่เรามักจะใช้คำจำกัดความว่า “รายละเอียด” นั่นเอง ทว่า “รายละเอียด” ของเสียงที่ลำโพง Totem Acoustic คู่นี้ถ่ายทอดออกมานี้มันมีความหมายแตกต่างจากที่ใช้กันโดยส่วนใหญ่ คือมันไม่ใช่ “รายละเอียด” ในระดับที่ทำให้ผม “ได้ยิน” อะไรมากขึ้น แต่มันคือ “รายละเอียด” ที่เข้าไปกระตุ้นให้ผมเกิด “ความรู้สึกระลึกถึง” อะไรๆ ได้มากขึ้น ซึ่งความรู้สึกที่ว่านั้นก็คือ ความรู้สึกระลึกได้ถึง “ตัวตน” หรือ “อัตลักษณ์” (Identity) ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่งที่มีลักษณะน้ำเสียงเฉพาะตัว อย่างเช่น เสียงร้องของ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ซึ่งเป็นนักร้องเพลงแนวเพื่อชีวิตที่มีบุคลิกเฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะได้ยินจากลำโพงคู่ไหนผมก็จะจำได้เสมอ แต่พอมาได้ยินเสียงร้องของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ในเพลง “เหงา” จากอัลบั้มชุดเสือ 11 ตัวผ่านออกมาจาก Element ‘FIRE’ v2 ผมถึงกับขนลุก..!!
สาเหตุที่ขนลุกก็เพราะว่าเสียงของพงษ์สิทธิ์ที่ผมได้ยิน (ผ่าน Element ‘FIRE’ v2) คราวนี้มันมีองค์ประกอบปลีกย่อยออกมามากกว่าที่ผมเคยฟังมาจากลำโพงคู่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการทอดลูกคอ การประคองเลี้ยงลมหายใจ ซึ่งผมเคยอ่านเจอมานานแล้วที่มีคนวิจารณ์ว่า พงษ์สิทธิ์เป็นนักร้องเพลงเพื่อชีวิตที่มีเทคนิคแปลกกว่าคนอื่นตรงที่ชอบไล่ลูกคอออกมาเป็นชั้นๆ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นักร้องเพลงลูกทุ่งเขาใช้กัน แต่ไม่ค่อยจะมีนักร้องเพื่อชีวิตคนไหนนำมาใช้มากเท่ากับพงษ์สิทธิ์ คำภีร์คนนี้ อาจจะเป็นผลมาจากความสามารถในการถ่ายทอดไดนามิกเร้นจ์ของลำโพงคู่นี้ ที่เปิดกว้างมากๆ โดยเฉพาะที่ระดับความดังต่ำๆ ทำให้มันสามารถถ่ายทอดความแตกต่างในระดับไมโครดีเทลของไดนามิกคอนทราสน์ที่ประกอบอยู่ใน “รอยต่อ” ระหว่างคำร้องของพงษ์สิทธิ์ออกมาให้ได้ยินอย่างครบถ้วน ซึ่งคุณสมบัติที่ว่านี้ มันคือส่วนหนึ่งของลักษณะเฉพาะของนักร้อง และเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “อารมณ์” ที่นักร้องสอดใส่มากับคำร้องแต่ละคำด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ (ลำโพงคู่นี้) ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ในเพลง “เหงา” ตอนพงษ์สิทธิ์ร้องประโยคที่สองของท่อนแรกที่ว่า “..มองหาคนข้างกาย ลองถามเขาบ้างไหม ทุกคน รู้สึกเหงาเท่าๆ กัน.. อยากให้โลกเห็นใจ อยากให้คนสงสาร ทุกคนก็ต้องการ เหมือนๆ กัน..” เป็นท่อนที่เขาดันเสียงร้องให้ดังขึ้นและสูงขึ้นกว่าคำร้องประโยคแรกที่อยู่ข้างหน้านิดนึง และรู้สึกได้ว่าเสียงร้องท่อนนี้ของเขาเบาลงกว่าท่อนแรกนิดนึงด้วย คล้ายกับว่าตอนร้องประโยคนี้เขาดึงปากให้ห่างจากไมโครโฟนออกมา ไม่เหมือนตอนร้องประโยคแรกของท่อนที่เอาปากเข้าไปใกล้ไมค์ แล้วร้องเบากว่า ซึ่งจากการฟังตลอดทั้งเพลงพบว่า เสียงร้องของพงษ์สิทธิ์ในเพลงนี้มีลักษณะแบบเดียวกันนี้ทุกท่อน เป็นเทคนิคดึงปากหลบไมค์ที่นักร้องใช้กันบ่อย ซึ่งตั้งแต่เคยฟังเพลงนี้มาผมไม่เคยรู้สึกถึงรายละเอียดลึกๆ เหล่านี้มาก่อน.!
อัลบั้ม : Always On My Mind (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Willie Nelson
สังกัด : CBS
วิลลี่ เนลสันเป็นนักร้องแนวคันทรี่ที่มีเอกลักษณ์ในเสียงร้องที่ไม่เหมือนใคร เสียงร้องของเขาจะมีสำเนียงชนบทที่ชัดเจน ผสมกับลักษณะการร้องที่ชอบเค้นเสียงร้องให้ขึ้นโทนสูง จนกลายเป็นอัตลักษณ์ของเขาไปเลย เพลง Bridge Over Troubled Water ในอัลบั้มชุดนี้ เป็นเพลงที่เขาเอางานของ Simon & Garfunkel มาร้องคัฟเวอร์ เป็นเพลงที่แสดงน้ำเสียงที่เป็นตัวตนของเขาออกมาได้ชัดเจนดี การเรียบเรียงคำร้องและภาคดนตรีก็ทำได้ดี เริ่มด้วยลีลาแผ่วเบาในช่วงเริ่มต้นแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโหมหนักในช่วงท้าย ผมพบว่า โฟกัสของเสียงร้องและเสียงดนตรีในเพลงนี้สามารถรักษา “ตำแหน่ง” ของแต่ละเสียงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง แม้ว่าในช่วงโหม เสียงร้องก็ยังคงรักษาตำแหน่งและรายละเอียดเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่ง…
อัลบั้ม : The Best Of (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Celine Dion & David Foster
สังกัด : Columbia
… เป็นไปในลักษณะเดียวกับเพลง The Power of Love แทรคแรกที่เด่นมากๆ ของอัลบั้มนี้ก็มี “มูพเม้นต์” ของลีลาเพลงไปในรูปแบบเดียวกับเพลง Bridge Over Troubled Water ที่วิลลี่ เนลสันร้องในอัลบั้มก่อนหน้า คือเริ่มด้วยลีลาที่แผ่วเบาแล้วค่อยไปสวิงโหมหนักๆ ในช่วงท้ายที่มีจุดพีคของไดนามิกอยู่ตรงนั้น ซึ่งหากลำโพงเอาไม่อยู่ จะทำให้เสียงดนตรีในช่วงพีคล้ำหน้าขึ้นมาปนกับเสียงร้องจนทำให้ความชัดเจนของเสียงร้องแย่ลง ซึ่งอาการที่ว่ามานั้นไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นเลยเมื่อฟังผ่าน Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้.! ผมยังคงโฟกัสเสียงร้องของซิลีน ดีออนไปได้ตลอดจนจบเพลง
ตอนผมทดลองฟัง Element ‘FIRE’ v2 ด้วยสองเพลงข้างต้นนี้ ซึ่งขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Audiolab 9000A ผมก็พบว่าลำโพงยังรักษาโฟกัส ณ จุดพีคของสองเพลงนี้เอาไว้ได้ ซึ่งทีแรกผมประเมินไว้ว่า สมรรถนะทางด้าน damping ที่ภาคแอมป์ของ 9000A ไม่น่าจะหยุดกรวยของ Element ‘FIRE’ v2 ได้ แต่เอาเข้าจริงผลมันออกมาดีกว่าที่คาดมาก.! เปิดเบารึเป่า.? ใครที่เคยเข้าไปฟังที่ห้องทดสอบของผมมาแล้วน่าจะรู้ว่า ระดับความดังที่ผมเปิดทดสอบไม่ได้เบาแน่ เพราะเป้าหมายของผมคือต้องดึงไดนามิกเร้นจ์ของซิสเต็มออกมาให้สวิงได้กว้างมากที่สุด ผมชอบที่จะดันวอลลุ่มของแอมป์ขึ้นไปจนใกล้ๆ ถึงจุด overshoot* ของลำโพง ซึ่งเป็นระดับความดังที่ไม่น้อยแน่ๆ ผมมานั่งคิดดูแล้ว เข้าใจว่านี่คงจะเป็นความสามารถในการควบคุมไดอะแฟรมของระบบแม่เหล็กของตัวไดเวอร์ Torrent นี่เองที่มีส่วนช่วยควบคุมการขยับตัวของไดอะแฟรมให้เดินหน้า–ถอยหลัง และหยุดลงได้ตรงกับสัญญาณเสียงที่รับเข้ามา ถือว่าช่วยเบาแรงของแอมป์ไปได้เยอะ..!
* overshoot = จุดที่ไดนามิกล้น เสียงจะพุ่งปลิ้นออกมา
อัลบั้ม : Muddy Water Blues – Tribute To Muddy Water (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Paul Rodgers
สังกัด : Victory Records
ตั้งแต่เริ่มทดสอบฟังเสียงของ Element ‘FIRE’ v2 เป็นต้นมา ผมพบว่า ทุกเพลงที่ฟัง ผมสัมผัสได้ถึงลักษณะการ “จัดวาง” ตำแหน่งของชิ้นดนตรีและเสียงร้องที่มีทั้ง “มิติด้านกว้าง” ที่ฉีกถ่างเลยตำแหน่งของลำโพงซ้าย–ขวาออกไปทั้งสองด้าน รวมถึงมิติด้านลึกที่มี “ลำดับชั้น” (layer) ไล่เรียงกันลงไปในแนวหลังระนาบของลำโพง ลึกลงไปจนทะลุเลยผนังด้านหลังห้อง ไม่รู้สึกว่ามีปริมณฑลของห้องเข้ามาจำกัดสนามเสียงเลย เมื่อหลับตาฟัง จะรู้สึกเหมือนห้องหายไป เสียงที่ได้ยินมันหลุดพ้นจากความจำกัดใดๆ มีแต่พลังงานที่ถาโถมเข้ามาถึงตัวเป็นระลอก (ทั้งๆ ที่จุดกำเนิดเสียงมันตรึงตัวอยู่ด้านหน้า) อารมณ์เหมือนนั่งฟังอยู่หน้าวงดนตรีที่กำลังเล่นสดให้ฟัง.. แสดงว่าลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดเฟสของสัญญาณออกมาได้เป๊ะปังมาก..!!!
อัลบั้ม : Serenate (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Maastricht Salon Orchestra
สังกัด : Philips Records
ได้ยินความต่อเนื่องของไดนามิกคอนทราสน์ที่ Element ‘FIRE’ v2 ให้ออกมาแล้ว ใจผมนึกถึงเพลงคลาสสิกขึ้นมาทันที และอัลบั้มที่นึกถึงก็คือแชมเบอร์มิวสิคชุดยอดนิยมของวงการที่ชื่อว่า Serenate ชุดนี้ แล้วก็ไม่ผิดหวัง ความพลิ้วของเสียงไวโอลินลอยออกมาเต็มห้อง สิ่งที่โดดเด่นกว่าที่เคยฟังชุดนี้มาก็คือ “มวลแอมเบี้ยนต์” ที่เกิดจากหางเสียงของเครื่องดนตรีอะคูสติกกลุ่มเครื่องสาย นั่นคือไวโอลิน โดยมีหางเสียงในย่านต่ำๆ ของเชลโลและดับเบิ้ลเบสแผ่ออกมาคอยหนุน ส่งผลให้ได้ลักษณะเสียงที่พลิ้วและนุ่มนวล ไหลเป็นระลอก ฟังจากอัลบั้มนี้แล้วทำให้เห็นว่า Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้มี “ความเป็นกลางสูง” ในแง่ของการถ่ายทอดโทนเสียงที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามโทนเสียงของเพลงและซิสเต็ม (แอมป์+แหล่งต้นทาง) ได้อย่างเด็ดขาด เมื่อผมทดลองฟังอัลบั้มเดียวกันนี้ แต่เปลี่ยนมาใช้แอมป์หลอด (ปรี VTL TL-2.5 + VTL ST-85) ขับแทนโซลิดสเตท เสียงที่ผ่าน Element ‘FIRE’ v2 ออกมาก็จะลดความสว่างลง และมีลักษณะที่ฉ่ำ นุ่ม และนวลเนียนไปตามบุคลิกของแอมป์หลอดทันที. !
สรุป
ผมยอมรับเลยว่า นี่เป็นรีวิวที่มีไบแอสมากที่สุดของผม.! เหตุผลก็เพราะว่า Totem Acoustic เป็นลำโพงที่ผมชอบในบุคลิกเสียงเป็นส่วนตัวมาตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วงการวิจารณ์เครื่องเสียง และเป็นลำโพงที่ผมเลือกใช้เป็นมอนิเตอร์ส่วนตัวมานาน ตั้งแต่รุ่น Model 1 เวอร์ชั่นแรก มาจนถึงรุ่น The One ที่ผมใช้เป็นมอนิเตอร์อยู่ในปัจจุบัน
ที่ผ่านมาผมก็ติดตามพัฒนาการของแบรนด์ Totem Acoustic มาโดยตลอด มีโอกาสทดสอบรุ่นใหม่ๆ ต่อเนื่องมาไม่ได้ขาด จนถึงรุ่น Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้ ซึ่งเป็นซีรี่ย์ที่มีดีไซน์ที่ก้าวล้ำไปจากรุ่นเก่าๆ ในอดีตอย่างมาก เทคนิคพิเศษที่แตกต่างจากการออกแบบในรุ่นเก่าๆ ถูกนำมาใช้ในอนุกรม Element Series ถึง 3 อย่างพร้อมกัน นั่นคือ 1) ใช้ไดเวอร์ที่ออกแบบเอง, 2) ต่อตรงระหว่างแอมป์กับไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ออกแบบเอง และ 3) ปรับรูปทรงตัวตู้ให้ผนังตู้ไม่ขนานกันเพื่อขจัดเรโซแนนซ์ภายในตัวตู้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ยินจากการทดสอบครั้งนี้ผมขอบอกเลยว่า Element ‘FIRE’ v2 คือประจักษ์พยานสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณ Vince Bruzzese ได้นำพา Totem Acoustic ก้าวข้ามมาตรฐานที่พวกเขาทำไว้กับรุ่น Model 1 ไปสู่มาตรฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิม.. อย่างมาก.!!!
Element ‘FIRE’ v2 ให้เสียงที่เข้าใกล้ดนตรีเล่นสดมากกว่า The One มาก ด้วยคุณสมบัติของพื้นเสียงที่ใส สะอาด ประกอบกับไดนามิก คอนทราสน์ที่สวิงได้กว้าง และไดนามิก ทรานเชี้ยนต์ที่ตอบสนองได้เร็ว เป็นที่มาของเสียงที่สด กระจ่าง ให้ไทมิ่งที่ใกล้เคียงกับดนตรีจริง ให้มิติเสียงที่ “หลุดตู้” อย่างเด็ดขาด และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแฮ้ปปี้กับลำโพงคู่นี้มากเป็นพิเศษก็คือ “การแม็ทชิ่ง” ที่ให้ความยืดหยุ่นไว้สูงมาก จากสเปคฯ ที่ไม่ต่างจากลำโพงมาตรฐานทั่วไป (ความไว = 88dB, อิมพีแดนซ์ = 8 โอห์ม, แนะนำกำลังขับ 50 – 250W) ทำให้สามารถแม็ทชิ่งลำโพงคู่นี้เข้ากับแอมป์ได้หลากหลายระดับราคา สามารถไปกับแอมป์ระดับกลางๆ อย่าง Audiolab 9000A (100W ที่ 8ohm) และ Arcam SA30 (120W ที่ 8 โอห์ม) ได้เป็นอย่างดี ให้เสียงออกมาน่าพอใจเมื่อเทียบกับราคาของแอมป์ ซึ่งจุดนี้จะต่างจากลำโพงส่วนใหญ่ที่แนะนำกำลังขับสูงสุดอยู่ที่ 250W ซึ่งลำโพงเหล่านั้นเมื่อขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังขับ “ต่ำกว่า” ตัวเลขสูงสุดที่แนะนำไว้มักจะให้เสียงออกมาด้อยลงไปมาก ต้องใช้วัตต์สูงๆ สถานเดียว ในขณะที่ Element ‘FIRE’ v2 คู่นี้เริ่มให้เสียงออกมาดีน่าพอใจแม้จะจับคู่กับแอมป์ที่มีกำลังขับแค่ 75 – 100W เท่านั้น และมันจะให้เสียงที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อจับคู่กับแอมป์ที่มีสมรรถนะสูงใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่แนะนำไว้ในสเปคฯ ของลำโพงอย่างเช่น Accuphase E-4000 (180W ที่ 8 โอห์ม), McIntosh MAC7200 (200W ที่ 2/4/8 โอห์ม) และเพาเวอร์แอมป์ Usher Audio REFERENCE 1.5 (150W ที่ 8 โอห์ม) สำหรับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดจากลำโพงคู่นี้ แนะนำให้ใช้ร่วมกับขาตั้งของมันเอง
Element ‘FIRE’ v2 เป็นลำโพงที่ขับง่าย สามารถแม็ทกับแอมป์หลอด triode ที่ให้กำลังขับข้างละ 30W ได้ ให้เสียงออกมาน่าพอใจสำหรับคนที่ฟังเพลงไม่หนักมาก อย่างเช่นเพลงร้องทั่วไป และชอบสไตล์เสียงนุ่มนวล ติดฉ่ำของหลอด /
HIGHLY RECOMMENDED!
*สำหรับลำโพงที่มีราคา ไม่เกิน 300,000 บาท/คู่
*************************
ราคา = 280,000 บาท / คู่
(*ขาตั้ง = 38,000 บาท / คู่)
*************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: DECO2000Thailand