รีวิวเครื่องเสียง Arcam รุ่น SA30 อินติเกรตแอมป์ class G ที่มาพร้อมฟังท์ชั่น Dirac Live Room Correction

แนวทางการเลือกซื้อ แอมปลิฟายในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แนว แนวทางแรกคือมองที่ ฟังท์ชั่นใช้งานมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งแนวทางนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เปอร์เซ็นต์หลักๆ ของกลุ่มนี้ก็คือนักเล่นฯ รุ่นใหม่ ส่วนอีกแนวทางคือให้ความสำคัญทางด้าน คุณภาพเสียงมาก่อนฟังท์ชั่นใช้งาน ซึ่งกลุ่มหลังนี้เป็นนักเล่นฯ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร แม้ว่าจะเริ่มให้ความสำคัญกับรูปแบบของแอมปลิฟายที่มีความเรียบง่ายมากกว่าเมื่อก่อน แต่เมื่อลงมือเลือกกันจริงๆ จังๆ กลุ่มนี้ก็ยังไม่ละทิ้งในเรื่องของ คุณภาพเสียงที่ยกให้เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นข้อแรกเสมอ

ถ้าเสียงไม่ดี.. แม้ว่าจะมีฟังท์ชั่นครบทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์ นักเล่นฯ ที่มีประสบการณ์ในการฟังมาอย่างโชกโชนจนเข้าถึงคำว่า เสียงดีอย่างถ่องแท้แล้ว พวกเขาพร้อมที่จะเล่นแบบแยกชิ้น หน้าที่ใครหน้าที่มัน ไม่กลัวยุ่งยากและสิ้นเปลืองถ้าทำให้ เสียงดีก็ยอมจ่าย

Arcam ชื่อนี้มีประวัติศาสตร์ในแง่ เสียงดี!

Arcamเป็นแบรนด์เก่าแก่แบรนด์หนึ่งในเครือจักรภพอังกฤษ เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 1976 ผลิตภัณฑ์แรกและสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขาอย่างมากก็คืออินติเกรตแอมป์รุ่น A60 ซึ่งในยุคแรกนั้นชื่อของแบรนด์คือ A&R Cambridge มาจากคำเต็มๆ ว่า “Amplification & Recording Cambridgeก่อนจะย่นย่อลงมาเหลือแค่ Arcam ในภายหลัง

อินติเกรตแอมป์รุ่น A60 อยู่ในยุคใกล้เคียงกับ NAD รุ่น 3020 (Arcam A60 เกิดก่อน NAD 3020 สองปี) ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มต้นพัฒนาแอมปลิฟายไปในแง่ของคุณภาพเสียงกันแบบเคร่งครัด A60 ได้รับคำชมทั้งจากสื่อเครื่องเสียงและผู้ใช้งานจริงอย่างล้นหลามในแง่ของคุณภาพเสียงที่ออกแนวสดและเปิดกระจ่าง รายละเอียดดี

หลังจากนั้น แม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Arcam แล้ว แต่แบรนด์นี้ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมชื่อเสียงในแง่ของคุณภาพเสียงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นรุ่น Delta 290 ที่ออกมาช่วงกลางปี ’90 ซึ่งเป็นรุ่นที่ดังมากในเมืองไทยก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอินติเกรตแอมป์ที่ให้เสียงดีมากตัวหนึ่งขณะนั้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยุคหลังๆ มีการแตกหน่อออกมาหลากหลายประเภท นอกจากแอมปลิายก็มีเครื่องเล่นซีดี, DAC และแผ่ขยายไปถึงวงการโฮมเธียเตอร์ด้วย ปัจจุบัน Arcam ตกไปเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท Samsung ไปแล้วผ่านทางบริษัท Harman International ของอเมริกา

Arcam กับการปรับตัวเข้าสู่ยุค ดิจิตัล ออดิโอ เทคโนโลยี.!

Arcam เป็นแบรนด์แรกของอังกฤษและอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตแอมปลิฟายกลุ่มแรกๆ ของโลกที่กระโจนเข้าสู่ยุค digital age อย่างเต็มตัว เริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนภาคขยายคลาส เอบีแบบเดิมมาเป็นภาคขยาย class-G ในปี 2009 เริ่มใช้ในเอวีรีซีฟเวอร์รุ่น AVR600 เป็นตัวแรก ก่อนจะเริ่มใช้ในอินติเกรตแอมป์สเตริโอรุ่น A49 ในปี 2014 ซึ่ง class-G ให้คุณสมบัติที่โดดเด่น 2 ด้านออกมาพร้อมกัน นั่นคือ พลังกับ ความเพี้ยนต่ำซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นมากสำหรับแอมปลิฟายเพื่อใช้ในการผลักดันประสิทธิภาพเสียงของแหล่งต้นทางสัญญาณ (source) ที่อยู่บนพื้นฐานดิจิตัลให้ออกมาได้เต็มที่มากที่สุด เพราะ class-A ให้เสียงที่สะอาดความเพี้ยนต่ำแต่กำลังน้อย ในขณะที่ class-B ให้กำลังได้เยอะแต่ความเพี้ยนสูง class-G เข้ามาแทนทั้งสองรูปแบบข้างต้นได้อย่างเหมาะสมเพราะ class-G ตอบโจทย์ที่ต้องการได้ครบทั้งสองข้อนั่นเอง

นอกจากปรับเปลี่ยนภาคขยายมาใช้ class-G แล้ว อีกก้าวสำคัญของ Arcam ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการเบนเข็มเข้าสู่ยุคดิจิตัล ออดิโออย่างจริงจังก็คือเริ่มทำอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้เทคโนโลยี wireless streaming ออกมาเป็นตัวแรกในปี 2012 ซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่รองรับการสตรีมไฟล์เพลงผ่านทางคลื่น Bluetooth ด้วยเทคโนโลยี aptX

Arcam กับ Dirac Live Room Correction

นอกจากการปรับเปลี่ยนพื้นฐานของ สัญญาณเพลงจากระบบอะนาลอกเข้าสู่ระบบดิจิตัลแล้ว เทคโนโลยีดิจิตัลยังได้นำเอาวิวัฒนาการของ DSP (Digital Signal Processing) เข้ามาใช้ประโยชน์กับวงการเครื่องเสียงด้วยในหลายๆ แง่ ที่เริ่มเห็นเด่นชัดมากขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือการนำเอาเทคโนโลยี DSP เข้ามาใช้ในการจัดการกับปัญหา roommode ของห้องฟังผ่านทางเทคโนโลยีที่มีชื่อเรียกว่าระบบ “room correctionซึ่ง Arcam ได้ตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีของ Dirac มาใช้และเริ่มนำเอาเทคโนโลยีนี้เข้ามาใส่ไว้ในเอวี รีซีฟเวอร์ของพวกเขาตั้งแต่ปี 2015 และเริ่มนำมาใส่ไว้ในอินติเกรตแอมป์ครั้งแรกเมื่อปี 2019นั่นคือรุ่น SA30 ที่ผมกำลังจะทดสอบตัวนี้นี่เอง.!!

*** (ดูรายละเอียดและวิธีการใช้งานฟังท์ชั่น Dirac Live ของ SA30 ได้จาก ลิ้งค์ นี้)

เล็ก + เพรียว หน้าตาเก๋สไตล์ผู้ดีอังกฤษ..

Arcam เป็นแบรนด์ที่ออกแบบรูปร่างหน้าตาได้เก๋แบบเรียบๆ ภาพรวมดูเป็นผู้ดีมาตั้งแต่ต้นกำเนิดคือรุ่น A60 เริ่มตั้งแต่รูปลักษณ์ที่ไม่หวือหวา ทั้งทางด้านขนาดและฟังท์ชั่น รวมถึงสีสันก็ไม่ฉูดฉาด คุมอยู่ในโทนเทาและตัดด้วยปุ่มหมุนและปุ่มกดที่เป็นสีบรอนเงิน ทำให้ดูเก๋และมีสง่าอย่างที่ว่า

รูปร่างภายนอกจะออกแนวกระทัดรัด ไม่ว่าจะเป็นอินติเกรตฯ รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ ขนาดของตัวถังก็ไม่ต่างกันมาก อย่างรุ่น SA30 ตัวนี้ก็เช่นกัน ผมจำได้ว่าขนาดตัวถังมันไม่ได้ต่างไปจากอินติเกรตฯ รุ่น Delta 290 ที่ผมเคยใช้อยู่ในอดีตเลย ความสูงของ SA30 ตัวนี้อยู่ที่ 10 .. เท่านั้นเอง ส่วนความกว้างอยู่ที่ 43.3 .. เท่ากับขนาดความกว้างมาตรฐานของเครื่องเสียงทั่วไป ในขณะที่ความลึกอยู่ที่ 32.3 .. ก็ใกล้เคียงกับเครื่องมาตรฐานทั่วไปอีกเหมือนกัน

บนแผงหน้าปัดของ SA30 จัดเรียงปุ่มปรับควบคุมการทำงานไว้ได้อย่างเป็นระเบียบมาก เมื่อหันหน้ามองตรงไปที่หน้าปัด คุณจะพบว่า ทางซ้ายมือสุดของแผงหน้าปัดจะมีโลโก้ของแบรนด์พิมพ์ติดอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างมีป้ายวงรีสีเงินๆ สลักตัวอักษรชื่อรุ่น SA30 ฝังจมลงไปอยู่ในแผงหน้า ถัดมาทางขวามือติดๆ กันมีปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่อยู่ปุ่มหนึ่ง ใช้สำหรับปรับระดับความดัง (วอลลุ่ม) ตัวปุ่มสีบรอนเงิน ขนาดกำลังเหมาะมือ ขยับขวามาอีกหน่อยจะมีรูเสียบเล็กๆ ขนาด 3.5 mm อยู่ 2 รูเรียงอยู่ถัดกัน รูแรกคือเอ๊าต์พุตสำหรับหูฟังที่ใช้แจ๊ค mini 3.5mm ส่วนอีกรูคือรูเสียบแจ๊ค mini 3.5mm สำหรับสัญญาณอินพุต AUX ที่เอาไว้รองรับสัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตจากอุปกรณ์พกพา อย่างเช่นเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพาหรือ DAP เป็นต้น

บริเวณตรงกลางของหน้าปัดเครื่องถูกใช้เป็นพื้นที่ติดตั้งจอแสดงผลที่มีความสูง 3 .. และยาวถึง 19 .. กับปุ่มกดสีบรอนเงินอีก 9 ปุ่ม ที่เรียงตัวกันไปในแนวระนาบอยู่ใต้จอแสดงผล ถัดไปทางขวาสุดของหน้าปัดจะมีปุ่มกดสีบรอนเงินอีกหนึ่งปุ่ม ขนาดเล็กกว่าปุ่มวอลลุ่มนิดหน่อย เป็นปุ่ม power ที่ใช้กดเพื่อเปิดเครื่องพร้อมใช้งาน และกดซ้ำเพื่อปิดเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย โดยมีไฟ LED ดวงเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ คอยแสดงสถานะให้รู้

หน้าที่ของปุ่มกดทั้ง 9 ปุ่มที่อยู่ใต้จอแสดงผลคือแสดงหัวข้อการปรับตั้งหลักๆ ของตัวเครื่อง ประกอบด้วย

ปุ่ม MENU = กดเพื่อเข้าสู่เมนูเครื่อง ซึ่งในนั้นมีหัวข้อเมนูย่อยให้ปรับตั้งอีกหลายหัวข้อ
ปุ่ม INPUT- กับปุ่ม INPUT+ = เพื่อเลือกอินพุต PHONO, AUX, NET, USB, AV, SAT, PVR, GAME, BD, CD และ STB
ปุ่ม DIRAC = เปิดใช้งานฟังท์ชั่น Room CorrectionDirac Live
ปุ่ม MUTE = ฟังท์ชั่นปิดเสียงชั่วคราว
ปุ่ม INFO = แสดงข้อมูลของเครื่อง
ปุ่ม DIRECT = ปิดการทำงานของฟังท์ชั่น ADC, DSP และภาค DAC
ปุ่ม DISPLAY = ปรับความสว่างของจอแสดงผลได้ 3 ขั้นระหว่าง Full Dim, Dim และ Off
ปุ่ม BAL = ปรับบาลานซ์ซ้ายขวา

นอกจากกดปุ่มบนหน้าปัดโดยตรงแล้ว ยังมีช่องทางให้คุณเลือกใช้อินพุต/อ๊อปชั่นและปรับตั้งฟังท์ชั่นต่างๆ ได้อีก 2 ทางคือผ่านทางรีโมทไร้สาย กับผ่านทางแอพลิเคชั่น ซึ่งแบบหลังที่ใช้แอพฯ นี้ต้องเชื่อมต่อ SA30 เข้ากับ Network ที่บ้านคุณด้วย

SA30 มีอินพุตให้ใช้ทั้งหมด 11 อินพุต แยกเป็นอินพุตสำหรับแหล่งต้นทางที่ให้สัญญาณเอ๊าต์พุตออกมาในรูปของสัญญาณอะนาลอกจำนวน 5 อินพุต คือ CD, PVR (Personal Video Recorder), STB (Set-Top Box), AUX และ PHONO โดยที่ทั้ง 5 อินพุตนี้จะถูกพ่วงอยู่กับฟังท์ชั่น “Dirac Liveซึ่งเป็นฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับแต่งเสียงเพื่อแก้ปัญหา roommode ภายในห้องที่เกิดจากเรโซแนนซ์ และฟังท์ชั่น “Analogue Directคือถ้าคุณต้องการให้สัญญาณอินพุตช่องใดช่องหนึ่งใน 5 ช่องนี้หรือทั้งหมดสามารถใช้งานร่วมกับฟังท์ชั่น Dirac Live คุณต้องปรับตั้งฟังท์ชั่น Analogue Direct ของอินพุตนั้นไปที่ตำแหน่ง “OFFคือปิดใช้งานฟังท์ชั่น Analogue Direct นั่นเอง เนื่องจากฟังท์ชั่น Dirac Live ทำงานในโดเมนดิจิตัลด้วย DSP ดังนั้น ถ้าคุณเลือกใช้ฟังท์ชั่น Dirac Live กับอินพุตใด สัญญาณอะนาลอกจากอินพุตเหล่านั้นจะต้องถูกนำไปผ่านวงจร ADC เพื่อแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตัลก่อน แล้วส่งเข้าสู่ภาค DSP เพื่อประมวลผลด้วย Dirac Live จากนั้นจึงค่อยส่งกลับมาที่ภาค DAC เพื่อแปลงกลับออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกที่ปรับแต่งแล้ว

กรณีที่คุณต้องการรับฟังสัญญาณอะนาลอกผ่านอินพุตใดใน 5 อินพุตข้างต้นแบบ “nativeหรือ pure analogue คือไม่ถูกแตะต้องจากการทำงานของภาค ADC, DSP และ DAC คุณต้องกดเลือกฟังท์ชั่น DIRECT ไปที่ตำแหน่ง “ONเพื่อบายพาส ซึ่งหลังจากเลือกเปิดใช้ฟังท์ชั่น DIRECT แล้ว บนหน้าจอแสดงผลจะมีสัญลักษณ์คล้ายรูปคลื่นเสียงปรากฏขึ้นมาให้รู้ (ลูกศรชี้ในภาพด้านบน)

อินพุต + เอ๊าต์พุต

นอกจากช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตรูเล็กๆ ขนาด 3.5 mm ที่อยู่บนแผงด้านหน้าแล้ว ช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตที่เหลือได้ถูกติดตั้งอยู่ที่แผงด้านหลังทั้งหมด ซึ่งช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตเหล่านั้นได้ถูกจัดกลุ่มกำหนดหมวดหมู่ไว้อย่างเป็นระเบียบ ช่องอินพุตดิจิตัลที่มีอยู่ 4 ช่องประกอบด้วย Optical กับ Coaxial อย่างละสองช่องจับกลุ่มกันอยู่แถวบนใกล้กับขั้วต่อสายลำโพงขนาดใหญ่ที่ให้มาข้างละหนึ่งชุด

ตัวขั้วต่อสายลำโพงมีขนาดใหญ่ดูแข็งแรง ดูคล้ายของ WBT (ไม่แน่ใจเพราะไม่มีแจ้งไว้) โลหะตัวนำชุบทองส่วนตัวขันยึดที่หุ้มอยู่ภายนอกทำด้วยพลาสติกใสๆ ให้การจับยึดขั้วต่อสายลำโพงได้แน่นหนา

ที่น่าแปลกคืออินพุต PHONO ที่ SA30 ให้มามันมีอยู่สองชุด (ในวงกลม) แยกสำหรับหัวเข็ม MM กับหัวเข็ม MC เด็ดขาดจากกัน เป็นดีไซน์ที่ไม่เคยเห็น ส่วนมากจะให้ช่องอินพุตมาแค่ช่องเดียว ส่วนการเลือก MM หรือ MC จะใช้วิธีโยกสวิทช์ แต่ SA30 ใช้วิธีแยกช่องเสียบสัญญาณหัวเข็ม MM กับ MC ออกจากกันเด็ดขาดไปเลย ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ดีกว่าแบบผ่านสวิทช์โยก ส่วนขั้วต่อสายกราวนด์สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียงก็อยู่ใกล้ๆ กับขั้วต่อ PHONO นั่นเอง

SA30 มีสถานะเป็นอินติเกรตแอมป์ แต่มันมีช่อง Pre Out มาให้ด้วย ประโยชน์ของมันคือใช้อัพเกรดประสิทธิภาพของระบบแอมปลิฟายด้วยการเพิ่มกำลังขับ ซึ่งทำได้ 2 ลักษณะ อย่างแรกคือใช้สัญญาณปรีเอ๊าต์ของ SA30 เชื่อมต่อกับเพาเวอร์แอมป์สเตริโอจากภายนอก ในกรณีที่ลำโพงของคุณให้ขั้วต่อสายลำโพงมาแค่คู่เดียว แต่ถ้าลำโพงของคุณให้ขั้วต่อสายลำโพงมาสองชุด คุณสามารถเชื่อมต่อระหว่าง SA30 กับลำโพงของคุณแบบ Bi-amp ได้ ด้วยการใช้เพาเวอร์แอมป์ในตัว SA30 ต่อเข้าที่ขั้วต่อสายลำโพงของลำโพงชุดหนึ่ง แล้วเพิ่มเพาเวอร์แอมป์สเตริโอเข้ามาอีกหนึ่งตัว (Arcam ทำออกมาด้วย ชื่อรุ่น PA240 หรือจะเป็นยี่ห้ออื่นก็ได้) เชื่อมต่อกับขั้วต่อสายลำโพงอีกชุดที่เหลือโดยใช้สัญญาณจากช่องปรีเอ๊าต์ของ SA30 เป็นอินพุต ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีมากจากลำโพงของคุณ

Streaming ในตัว.!

ความน่าสนใจของ SA30 อยู่ที่อินพุต Network ของมัน เป็นอินพุตที่ทำให้คุณสามารถสตรีมไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ใน NAS หรืออยู่ในฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์ และสตรีมไฟล์เพลงที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการบนอินเตอร์เน็ตอย่าง TIDAL เข้ามาฟังผ่านอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ได้ นอกจากนั้น คุณยังสามารถสตรีมไฟล์เพลงจากอุปกรณ์พกพาที่คุณใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตไปที่ SA30 โดยผ่านคลื่นไร้สาย WiFi ด้วยเทคโนโลยี AirPlay กับ Chromcast ที่ติดตั้งสำเร็จมาให้ในตัวได้อีกด้วย

มี app ให้ใช้

เมื่อปี 2016 Samsung Electronics ยักษ์ใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้ทุบกระปุกซื้อ Harman Inter ยักษ์ใหญ่ในวงการออดิโอ/วิดีโอของอเมริกาที่เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียง/โฮมเธียเตอร์ดังๆ จำนวนมาก หลังจากนั้นแค่ปีเดียว คือปี 2017 Samsung Electronics ก็เข้าเทคโอเวอร์แบรนด์ Arcam ผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นนำของอังกฤษเข้ามาไว้ในอุ้มมืออีกเจ้าโดยอาศัย Harman Inter ทำหน้าที่เจรจาในฐานะของผู้ซื้อ

ก่อนที่ Arcam จะถูกซื้อโดย Harman Inter ไม่นาน พวกเขาได้เริ่มต้นพัฒนาแอมปลิฟายของพวกเขาให้มีความทันสมัยมากขึ้นด้วยการจับเอาความสามารถในการสตรีมไฟล์เพลงเข้ามาผนวกเป็นฟังท์ชั่นใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ซึ่งยุคแรกนั้น แอพลิเคชั่นที่ใช้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทที่เชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์คได้จะมีอยู่สองประเภท คือ “App Controlซึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ รีโมทไร้สาย คือทำหน้าที่ปรับแต่งและปรับตั้งการทำงานของตัวเครื่องเป็นหลัก ส่วนอีกประเภทคือ “App Media Playerที่ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลง ซึ่งผู้ผลิตเครื่องในยุคนั้นจะเป็นคนพัฒนา App Control ขึ้นมาเอง ส่วน App Media Player จะไปเอาแอพฯ ที่พัฒนาโดยบริษัทอื่นมาใช้ นั่นทำให้การใช้งานค่อนข้างยุ่งยากเพราะผู้ใช้จะต้องโหลดแอพฯ มาสองตัว และขณะใช้งานก็ต้องคอยสลับแอพฯ ไปมาอยู่ตลอด

ในยุคแรกที่ Arcam พัฒนาระบบเน็ทเวิร์คขึ้นมาใช้กับอุปกรณ์เครื่องเสียง+โฮมเธียเตอร์ของตัวเอง วิศวกรของ Arcam ได้พัฒนาแอพฯ ขึ้นมาสองตัวคือ “Arcam Controlกับ “Arcam MusicLife” (จากภาพข้างบนคือสองตัวบน) ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมเคยทดลองใช้งานตัว App MusicLife ของ Arcam มาก่อนพบว่ามันยังทำงานได้ไม่ดีนัก แต่หลังจาก Harman Inter เข้าซื้อ Arcam เข้ามาไว้ในครอบครอง วิศวกรของ Harman Inter ได้จับเอาแอพฯ ทั้งสองตัวของอาร์แคมมารวมเป็นตัวเดียวกัน โดยใช้ชื่อว่า “Harman MusicLife” (ในภาพข้างบนคือตัวล่าง) และได้พัฒนาประสิทธิภาพในการเล่นไฟล์ของแอพ MusicLife ให้ดีขึ้นด้วย ในการควบคุมใช้งานฟังท์ชั่น Network ของ SA30 จึงใช้แอพฯ Harman MusicLife แค่ตัวเดียวจบ..

Harman MusicLife v.1.72
กับความสามารถในการปรับตั้งฟังท์ชั่นต่างๆ และการเล่นไฟล์เพลง

ในแอพ Harman MusicLife มีทั้งสองหน้าที่อยู่ในตัวเดียวกัน คือใช้ควบคุมสั่งงานฟังท์ชั่นต่างๆ ของตัวเครื่อง กับอีกหน้าที่คือควบคุมการเล่นไฟล์เพลง

หลังจากดาวน์โหลดแอพ Harman MusicLife มาติดตั้งบนอุปกรณ์พกพาที่จะใช้ควบคุม SA30 แล้ว เปิดขึ้นมาใช้งาน ที่หน้าแรก (หน้า Home) ของแอพฯ จะแสดง Sources หรือแหล่งต้นทางสัญญาณที่อยู่บนออนไลน์ขึ้นมาให้เห็น พร้อมทั้งมีอ๊อปชั่นให้คุณเลือกอยู่ 2 ตัวคือ “Audio Output” (ลูกศรสีฟ้า มุมซ้ายบน) กับ “Settings” (ลูกศรสีแดงมุมขวาบน)

Audio Output หมายถึงอุปกรณ์ปลายทางที่แอพตัวนี้จะส่งสัญญาณดิจิตัลจากการเล่นไฟล์ไปให้ ซึ่งรายชื่อของอุปกรณ์ปลายทาง (หรือ Audio Output) ทั้งหมดที่อยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกับ SA30 จะปรากฏชื่อขึ้นมาให้เลือก ในกรณีนี้ผมต้องการฟังเสียงของ Arcam : SA30 ผมจึงเลือกให้ SA30 เป็น Audio Output ของแอพ Harman MusicLife ครั้งนี้ (*ที่บ้านผมมีเชื่อมต่อทีวี Sony รุ่น KD-65A9F อยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกับตัว SA30 จึงปรากฏชื่อของทีวีโซนี่ตัวนี้ขึ้นมาให้เลือกด้วย) ถ้าในบ้านของคุณมีอุปกรณ์เครื่องเสียงที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกับ SA30 อีก อุปกรณ์เหล่านั้นก็จะปรากฏขึ้นมาที่หน้านี้เพื่อให้คุณเลือกใช้เป็น Audio Output ทั้งหมด

ส่วนข้างบนนี้คือฟังท์ชั่นต่างๆ ของแอพฯ Harman MusicLife ที่สามารถปรับตั้งได้เมื่อจิ้มไปที่ “Settingsที่หน้า Home ของแอพ ซึ่งหัวข้ออื่นๆ ไม่ค่อยจำเป็น มีแค่หัวข้อ “Show all UPnP devicesเท่านั้นที่แนะนำให้เปิดใช้เพื่อให้แอพโชว์ Sources บนออนไลน์ทั้งหมดขึ้นมาบนหน้า Home (Sources คือแหล่งเก็บไฟล์เพลงที่เราจะเลือกดึงไฟล์มาเล่น)

ถ้าคุณต้องการปรับตั้งฟังท์ชั่นที่เกี่ยวกับตัวเครื่อง SA30 ให้กลับมาที่หน้า Home แล้วจิ้มลงไปที่จุดขาวๆ ห้าจุด (ภาพบน ศรชี้สีม่วง)

แอพจะพาคุณไปพบกับหน้าที่ให้เลือกอุปกรณ์ที่ต้องการปรับตั้ง ในกรณีที่คุณมีอุปกรณ์ของ Arcam ตัวอื่นๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกัน รายชื่อของอุปกรณ์เหล่านั้นจะมาปรากฏตรงนี้ทั้งหมด คุณต้องการเลือกปรับตั้งค่าอุปกรณ์ตัวไหนก็จิ้มลงไปที่ชื่อของอุปกรณ์ตัวนั้นได้เลย กรณีผมมีแค่ SA30 แค่ตัวเดียวจึงมีแค่ชื่อของ SA30 โผล่ขึ้นมา

เมื่อจิ้มลงไปที่ชื่อของ SA30 แอพจะพาคุณมาที่หน้าที่รวบรวมการปรับตั้งของ SA30 ซึ่งในนั้นมีรายละเอียดแสดงไว้ 3 หมวดแยกกันดังนี้

1. Settings = มีหัวข้อย่อยให้คุณปรับตั้งอยู่ 4 หัวข้อ คือ Friendly Name (เปลี่ยนชื่อ), Brightness (ปรับความสว่างของหน้าจอ = Off, Dim, Full), Auto Shutdown (ตั้งเวลาปิดอัตโนมัติ = 20 นาที, 30นาที, 1 ชั่วโมง, 2 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง และไม่ใช้ฟังท์ชั่นปิดอัตโนมัติคือ Off), DAC Filter (เลือกรูปแบบของวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์จากทั้งหมด 7 รูปแบบ คือ Linear Phase Fast, Linear Phase Slow, Minimum Phase Fast, Minimum Phase Slow, Brick Wall, Corrected Minimum Phase Fast และ Apodizing)

2. Processor Mode = เลือกอินพุตที่จะใช้งานร่วมกับปรีโปรเซสเซอร์ของระบบโฮมเธียเตอร์ ซึ่งสามารถกำหนดระดับความดังแบบคงที่สำหรับอินพุตช่องนี้ได้

3. INFO = แสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัว SA30 ได้แก่ Input Sample Rate, Software Version และ IP Address

จริงๆ แล้ว การปรับตั้งทั้ง 3 หมวดข้างบนนี้เป็นแค่บางส่วนของหัวข้อการปรับตั้งที่มีอยู่ในเมนูของ SA30 เท่านั้น ซึ่งถูกดึงขึ้นมาไว้บนแอพฯ เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการปรับตั้งแบบด่วนๆ นั่นเอง

ถ้าคุณต้องการเข้าไปทำการปรับตั้งอย่างละเอียดต้องเข้าไปที่ Menu รวมผ่านการกดเข้าไปทางปุ่ม Menu บนหน้าปัดเครื่อง หรือกดบนปุ่ม Menu บนรีโมทไร้สายที่ให้มา ซึ่งในนั้นจะมีหัวข้อการปรับตั้งอย่างละเอียดอีกมาก

เล่นไฟล์เพลงกับ Arcam SA30 ผ่านแอพ Harman MusicLife V.1.72 กับเล่นด้วยระบบสตรีมมิ่งของ roon ผ่านฟังท์ชั่น Roon Ready

คุณสามารถเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คกับ SA30 ได้สองวิธี วิธีแรกคือเล่นโดยใช้แอพฯ Harman MusicLife กับอีกวิธีคือเล่นโดยใช้ระบบสตรีมมิ่ง (roon core + roon remote) ของ roon ผ่านฟังท์ชั่น Roon Ready ของ SA30

*** (ดูวิธีการและขั้นตอนการเล่นได้จาก ลิ้งค์ นี้)

แม็ทชิ่งเตรียมทดสอบ

กำลังขับข้างละ 120 วัตต์ ที่ 8 โอห์ม (เพิ่มได้เป็น 220 วัตต์ที่ 4 โอห์ม) ของ SA30 ตัวนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นตัวเลขของภาคขยาย class G ซะด้วย หลังจากผมทดลองแม็ทชิ่งกับลำโพงที่ผมมีอยู่ทั้งหมดแล้ว ผมพบว่า กำลังขับของ SA30 มันให้พละกำลังมากกว่าตัวเลข 120 วัตต์ของวงจรขยายแบบ class-AB ทั่วๆ ไปอย่างเห็นได้ชัด เป็นคู่แม็ทฯ ที่ลงตัวกับลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One มากเป็นพิเศษ กำลังขับของ SA30 สามารถควบคุมและขับดัน The One ได้พอเหมาะพอดี สามารถสวิงไดนามิกออกมาได้เต็มสเกล ในขณะที่ซาวนด์สเตจก็ตีแผ่ออกไปได้เต็มห้อง โป่งขยายขอบเขตของเวทีเสียงออกไปได้รอบด้าน ทั้งกว้างลึกสูง เลยขอบของลำโพงออกไปได้อย่างชัดเจน ทำให้ TotemThe Oneกลายเป็นลำโพงล่องหนได้อย่างเต็มตัว!

สุดท้ายผมตกลงใจเลือกลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One ที่วางบนขาตั้ง Atacama รุ่น Moseco XL600 (REVIEW) จับคู่ทดสอบประสิทธิภาพของ SA30 ซึ่งหลังจากทดลองแม็ทชิ่งเครื่องเคราต่างๆ เพื่อให้ได้ซิสเต็มที่ให้เสียงลงตัวมากที่สุดในหลายๆ ด้านโดยใช้แอคเซสซอรี่ที่ผมมีอยู่ขณะนั้น หลังจากทดลองสลับปรับเปลี่ยนสายต่อต่างๆ ฟังเสียงดูแล้ว ผมพบว่าสายไฟเอซี + สายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aureus ทำงานร่วมกับ SA30 + The One ได้ลงตัวมากที่สุดในจำนวนสายไฟเอซีและสายลำโพงที่ผมมีอยู่ ส่วนแหล่งต้นทาง หรือ source ที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพเสียงของ SA30 ในครั้งนี้ผมใช้เครื่องเล่นซีดีของ ซีดีของ Aesthetix รุ่น Romulus กับเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของ Arcam รุ่น CD27 ร่วมกับอินพุต analog ช่อง CD ของ SA30 โดยใช้สายสัญญาณ RCA ของ Life Audio รุ่น Gold MK II (REVIEW) เพื่อทดสอบคุณสมบัติของความเป็น “Analog Directของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ ส่วน source อีกตัวผมใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงสตรีมเมอร์ของ roon รุ่น nucleus+ ทำหน้าที่สตรีมไฟล์เพลงจาก NAS และ TIDAL แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปให้ SA30 ผ่านเข้าทางอินพุต Network (Ethernet) เพื่อให้ภาค DAC ในตัว SA30 ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วขยายด้วยภาคแอมปลิฟาย class G ในตัว SA30 ออกไปที่ลำโพง เป็นซิสเต็มที่เรียบง่าย ทำให้เห็นถึงศักยภาพของ SA30 ได้ชัด

ทดสอบ

ผมเริ่มด้วยการทดสอบคุณภาพของช่องอินพุต Analog ของ SA30 ด้วยเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ของ Arcam รุ่น CD27 ที่ผมใช้อยู่ โดยป้อนสัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตจากการเล่นแผ่น CD และแผ่น SACD จาก CD27 ไปเข้าที่อินพุต CD ของ SA30 แล้วเลือกใช้โหมด Direct เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานของวงจร DSP และ ADC ให้ได้เสียงแบบอะนาลอกจริงๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้บอกเลยว่าน่าทึ่งมาก.! เสียงโดยรวมออกมามีมวลหนาและได้ตัวเสียงที่ขยายใหญ่ สไตล์คล้ายหลอด ซึ่งเป็นสไตล์ของเสียงที่นักเล่นฯ เจนสนามส่วนใหญ่ชื่นชอบ และถ้ายิ่งได้เครื่องเล่นแผ่นซีดีที่มีคุณภาพสูงๆ เสียงที่ออกมาก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก มันไม่มีปัญหากับการรองรับสัญญาณอินพุตแรงๆ เพราะตามสเปคฯ แจ้งว่าช่องอินพุตของ SA30 รองรับกระแสสัญญาณขาเข้าได้สูงถึง 6Vrms โดยมีความไวอยู่ที่ 1V ซึ่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของเครื่องเล่น CD/SACD หรือ ext.DAC ระดับไฮเอ็นด์ส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 4 – 6Vrms เท่านั้น อย่างตอนที่เพื่อนยกเครื่องเล่นซีดียี่ห้อ Aesthetix รุ่น Romulus มาให้ลองฟัง ผมทดลองป้อนสัญญาณเอ๊าต์พุตจาก Romulus เข้าไปที่อินพุต CD ของ SA30 เสียงที่ได้ออกมาทั้งหนาและเข้มมากกว่าตอนใช้ CD27 ขึ้นไปอีก โดยรวมออกมาน่าฟังมาก ไม่มีอาการบางและเฟี้ยวฟ้าวเลย ใครที่ใช้เครื่องเล่นแผ่น CD หรือเครื่องเล่นแผ่น CD/SACD ระดับไฮเอ็นด์อยู่แล้ว คุณสามารถนำมาใช้งานร่วมกับ SA30 ได้เลย

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ลักษณะเสียงของโหมด Analog Direct ของ SA30 จะออกมาเปิดโปร่งกว่าแอมป์บางตัวที่มีโหมดไดเร็กต์คล้ายๆ กันนี้ ทั้งๆ ที่ SA30 ตอบสนองความถี่ สูงสุดไปได้แค่ 20kHz (โดยมีอัตราเบี่ยงเบน +/-1dB) เท่านั้น ไม่ได้สูงขึ้นไปถึงระดับ 30 – 40kHz อย่างแอมป์บางตัว ซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของวงจรขยาย class G นั่นเอง เนื่องจากสเปคฯ ของแอมป์ตัวนี้แจ้งว่าให้ S/N ratio ที่สูงถึง 120dB ตลอดย่านความถี่ตอบสนอง มันเลยสามารถดันรายละเอียดสูงๆ ที่เป็นส่วนประกอบของฮาร์มอนิกที่เบาบางของเสียงดนตรีต่างๆ ออกมาให้เราได้ยินโดยไม่ต้องพะวงกับ noise floor ซึ่งเมื่อปลายเสียงความถี่สูงที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงโน๊ตดนตรีต่างๆ ออกมารวมกันมันก็กลายเป็น ambient ที่ห่อคลุมเวทีเสียงทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ฟังแล้วเกิดความรู้สึกของ วงที่ขึ้นรูปมาในอากาศ สัมผัสได้เป็นรูปธรรมครบทั้งสามมิติ

ผมยอมรับว่า ก่อนจะได้มีโอกาสทดสอบ SA20 (ซึ่งเป็นรุ่นรองจาก SA30) ไปเมื่อปลายปี 2019 (REVIEW) ผมก็มีความเข้าใจว่า เสียงของภาคขยาย class G มันน่าจะคล้ายกับภาคขยาย class D บางตัวที่ออกมาชัดๆ แห้งๆ แต่หลังจากได้ทดสอบรุ่น SA20 ไปแล้ว ผลการฟังทดสอบครั้งนั้นมันเข้ามาเปลี่ยนมุมมองของผมที่มีกับภาคขยาย class G ไปโดยสิ้นเชิง.! และเมื่อมาตอกย้ำด้วยเสียงของ SA30 ที่ผมได้ทดสอบครั้งนี้ ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเสียงจากภาคขยาย class G มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น คือมันไม่ได้ชัดๆ แห้งๆ แบบแอมป์ class D บางตัว จากที่ผมได้ยิน เสียงของ class G ที่ Arcam ปรุงออกมามันจะได้ความชัดมากกว่า class AB ทั่วไป พื้นเสียงใสแต่ไม่แห้งเหมือน class D บางตัว คือมันจะได้ความฉ่ำของปลายเสียงปนออกมาคล้ายๆ ปลายเสียงแหลมของแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ พร้อมกันนั้น มันก็ให้บอดี้ของตัวเสียงที่มีลักษณะอิ่มใหญ่ มีมวล ให้พื้นเสียงที่ใส โปร่ง และสะอาด ทำให้ได้ยินรายละเอียดในระดับ low level ได้ชัดเจน ไม่จมหายลงไปกับแบ็คกราวนด์น้อยซ์ (เพราะ SA30 มันให้ S/N ratio สูงถึง 120dB)

S/N ratio หรือไดนามิกเร้นจ์ที่เปิดกว้างถึง 120dB ของ Arcam SA30 ให้อะไรกับการฟังบ้าง.? ถ้าว่ากันตามทฤษฎี ไดนามิกเร้นจ์ของแอมป์ยิ่งกว้างยิ่งดี เหมือนหน้าต่างที่ยิ่งเปิดกว้างยิ่งดี เพราะจะทำให้ไดนามิกเร้นจ์ของเพลงผ่านออกมาได้หมดโดยไม่ถูก compress หรือบีบอัดลงไป ผลต่อการรับฟังก็คือทำให้ความดังเบาของเสียงมีอัตราสวิงที่เปิดกว้างเต็มที่ เสียงที่ออกมาจะมีลักษณะของการปลดปล่อยอย่างเป็นอิสระ คือถ้าอัตราสวิงไดนามิกของเพลงกว้างกว่าไดนามิกเร้นจ์ของแอมป์ ไดนามิกเร้นจ์ของเพลงจะถูกบีบอัดให้แคบลงเมื่อเล่นผ่านแอมป์ตัวนั้น ผลทางการรับฟังคือเสียงที่มีลักษณะอั้น ตื้อ ไม่ปลดปล่อย ฟังแล้วจะรู้สึกอึดอัด ไม่สบายหู ไม่ได้อารมณ์ของดนตรี ซึ่งจากการทดลองฟังผมพบว่า อาการเหล่านั้นไม่เกิดกับ SA30 ตัวนี้เลย

แสดงว่าเสียงของ SA30 ไม่มีอาการอั้นหรือตื้อ.? จะพูดให้ถูก ต้องพูดว่า SA30 ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็น ต้นเหตุของเสียงอั้นหรือตื้อ แต่ถามว่า มีโอกาสที่จะได้ยินเสียงอั้นๆ ตื้อๆ จาก SA30 มั้ย.? ต้องตอบว่า มีโอกาส ซึ่งเกิดจากสาเหตุได้ 2 ประการ ประการแรก เกิดจากอาการมีสแม็ทในซิสเต็ม ซึ่งอาจจะมาจากการนำเอา SA30 ไปขับลำโพงที่เกินความสามารถของมัน หรือใช้สายเชื่อมต่อในระบบ อย่างเช่นสายสัญญาณ, สายลำโพง หรือสายไฟเอซีที่มีคุณภาพต่ำเกินไป อันนี้จะได้ยินเสียงออกมาอั้นๆ ตื้อๆ ได้ ซึ่งแม้ว่าจะพยายามเพิ่มวอลลุ่มเข้าไปก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อีกประการที่เป็นต้นเหตุของเสียงอั้นๆ ตื้อๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นั่นคือ คุณภาพของสัญญาณเสียงเพลงที่เอามาเล่นกับ SA30 คือถ้าเพลงนั้นบันทึกมาหรือมิกซ์ไดนามิกมาอั้นๆ ตื้อๆ อยู่แล้ว แม้ว่าซิสเต็มที่ใช้ร่วมกับ SA30 จะแม็ทชิ่งกันดีทุกส่วนแล้วก็ตาม ถ้าเอาเพลงที่ทำมาอั้นๆ ตื้อๆ มาเล่นก็จะได้ยินอาการอั้นๆ ตื้อๆ ของเพลงนั้นปรากฏออกมา ซึ่งไม่ใช่ความบกพร่องของ SA30 หรืออุปกรณ์อื่นๆ ในซิสเต็ม

ขณะทดสอบ SA30 ผมก็เจออาการที่ว่าจากการทดลองฟังเพลงที่สตรีมมาจาก TIDAL เป็นงานอัลบั้มชุด The Wall ของวง Pink Floyd ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ทำออกมาเป็น TIDAL MQA Master 24/96 ซึ่งผมลองฟังแล้ว ผมว่าไดนามิกของอัลบั้ม The Wall เวอร์ชั่นนี้มีลักษณะอั้นๆ ตื้อๆ อยู่ในน้ำเสียง ในขณะที่เวอร์ชั่น WAV 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่น CD เวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ฉลองครบรอบ 30 ปี ให้อัตราสวิงไดนามิกเร้นจ์ของเสียงที่ผ่อนคลายกว่า ความเอาจริงเอาจังน้อยกว่า แต่ฟังแล้วได้อรรถรสมากกว่า ตอนแรกผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า อาการอั้นๆ ตื้อๆ ที่ได้ยินนั้นอาจจะมาจากตัว SA30 ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเกนสัญญาณขาเข้ามันแรงไปหรือเปล่า.? แต่จากสเปคฯ ของ SA30 ระบุชัดว่าอินพุตรองรับเกนสัญญาณขาเข้าได้สูงถึง 6Vrms ความสงสัยที่ว่าก็มีความเป็นไปได้น้อยลงเยอะ กลายเป็นว่าอาจจะมาจากตัวเพลงเองที่เป็นสาเหตุ

คิดได้อย่างนั้น ผมก็ทดลองเลือกงานเพลงอัลบั้มอื่นของ Pink Floyd ที่ทำการรีมาเสตอร์ออกมาพร้อมกับชุด The Wall ออกมาฟังเทียบกัน ผมพบว่า งานเพลงอัลบั้มชุด The Final Cut ซึ่งถูกรีมาสเตอร์ออกมาเป็นเวอร์ชั่น TIDAL MQA Master 24/192 ให้เสียงออกมาผ่อนคลายมากกว่าอัลบั้ม The Wall อย่างชัดเจนเมื่อผมลองฟังที่ระดับความดังเท่าๆ กัน ทั้งๆ ที่ตอนเป็นเวอร์ชั่น CD รีมาสเตอร์ครบรอบ 30 ปีนั้น อัลบั้มชุด The Final Cut ให้เสียงออกมาทึบกว่า The Wall ที่เป็นเวอร์ชั่นเดียวกันในขณะนั้น

สาเหตุที่ทำให้ผลการฟังออกมาเป็นแบบนั้น ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการรีมาสเตอร์นั่นเอง เนื่องจากอัลบั้มชุด The Final Cut เวอร์ชั่น TIDAL MQA Master ที่ออกมาล่าสุด รีมาสเตอร์ออกมาเป็นฟอร์แม็ต 24/192 ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว สัญญาณเสียงที่มีแซมปลิ้งเรตสูงกว่าจะให้ลักษณะเสียงที่มีลักษณะผ่อนคลายมากกว่า เนื่องจากการใช้อัตราแซมปลิ้งสูงๆ ในขั้นตอน A-to-D ขณะทำมาสเตอร์ดิจิตัล จะมีผลในการคลี่คลายคุณสมบัติทางด้านไดนามิกเร้นจ์ของสัญญาณอะนาลอกมาสเตอร์ออกมาได้ละเอียดกว่าการใช้แซมปลิ้งที่อัตราต่ำ เมื่อนำไปแปลงกลับผ่าน D-to-A จะทำให้ได้สัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่มีไดนามิกคอนทราสน์ของเสียงออกมาใกล้เคียงกับต้นฉบับที่เป็นอะนาลอกมากกว่า เพียงแต่ว่าทางด้านความดัง (Level) ของเสียงโดยรวมจะออกมาเบากว่า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะผู้ฟังสามารถขยับเพิ่มความดังด้วยการเพิ่มปริมาณวอลลุ่มได้อยู่แล้ว

เมื่อเล่นไฟล์ DSD เข้าไป SA30 จะแปลงให้เป็น PCM ก่อนส่งเข้าภาค DAC ทั้งนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการเตรียมสัญญาณอินพุตทุกรูปแบบให้อยู่ในฟอร์แม็ต PCM ทั้งหมดเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรม Dirac Room Correction ได้นั่นเอง เมื่อผลลองเล่นไฟล์ DSF64 เข้าไปที่อินพุต Network ผมพบว่า ภาครับ digital input ของ SA30 ทำการแปลงสัญญาณ DSD64 ให้เป็น PCM 352.8kHz เสมอ ซึ่งเสียงที่ออกมาก็นับว่าไม่ขี้เหร่ รายละเอียดดี แนวเสียงกระจ่างชัด ไทมิ่งดี ซึ่งคิดว่าถ้าไม่บอกก็คงจะไม่รู้ว่ากำลังฟัง PCM ที่แปลงมาจาก DSD.!!

สำหรับการใช้โปรแกรม Dirac Live ที่อยู่บน SA30 เพื่อช่วยปรับเสียงของซิสเต็มให้เข้ากับสภาพอะคูสติกนั้น ผมทดลองใช้งานใน 2 รูปแบบ แบบแรกคือใช้ในห้องฟังหลัก คือหลังจากขยับหาตำแหน่งวางลำโพง The One จนได้ตำแหน่งที่ลงตัวดีแล้ว จากนั้นผมจึงใช้โปรแกรม Dirac Live ปรับแต่งเสียง ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้น ผมพบว่ามันได้อย่างเสียอย่าง คือพอเปิดใช้ฟิลเตอร์ที่ Dirac Live ทำขึ้นมา มันทำให้ผมได้ยินโฟกัสของแต่ละตัวเสียงที่มีความคมชัดมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผมพบว่า ส่วนที่เป็นมวลแอมเบี้ยนต์ที่ห่อหุ้มตัวเสียงบางส่วนถูกตัดหายไป ทำให้เสียงโดยรวมฟังดูแห้งลงไปเล็กน้อย อีกทั้งความดังของเสียงโดยรวมก็เบาลงไปเล็กน้อยด้วย

แบบที่สองคือใช้ Dirac Live ปรับแต่งเสียงของ SA30 + ลำโพง Wharfedale รุ่น Diamond 12.1 ที่ผมเซ็ตอัพไว้ที่ห้องรับแขก เป็นการใช้งาน SA30 ร่วมกับทีวี หลังจากผมทดลองวางลำโพง Diamond 12.1 ขนาบไว้ข้างๆ ทีวี ห่างผนังด้านหลังแค่ 2 ฟุต เพราะไม่อยากให้เกะกะทางเดิน จากนั้น ผมก็ใช้ Dirac Live ในการปรับตั้ง ผมพบปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง คือยากต่อการควบคุมเสียงรบกวนรอบด้าน เพราะผมต้องทำการเซ็ตอัพตอนกลางวัน เนื่องจากบ้านข้างๆ ไม่อยู่ แต่ผมก็ต้องปิดประตู+หน้าต่างทั้งหมดจึงจะสามารถวัดค่าได้ ซึ่งหลังจากเซ็ตอัพด้วย Dirac Live เสร็จแล้ว ผมพบว่า ในสถานที่เปิดแบบห้องรับแขกที่ไม่มีการจัดการทางด้านอะคูสติกเลยนั้น Dirac Live มีส่วนช่วยปรับปรุงเสียงได้มากกว่าในห้องฟังที่มีสภาพปิด และมีการปรับแต่งสภาพอะคูสติกด้วยวิธีแมนน่วลจนลงตัวแล้ว ผลการปรับใช้ Dirac Live ที่ห้องรับแขกทำให้ได้เสียงที่มีความเข้มสูงขึ้น ได้โฟกัสของเสียงที่ชัดเจนมากขึ้น รับรู้ถึงลักษณะของรูปวงขึ้นมาได้เลาๆ ซึ่งก่อนปรับใช้ Dirac Live แทบจะไม่รู้สึกถึงซาวนด์สเตจเลย และหลังปรับใช้ Dirac Live แล้ว ผมรู้สึกได้ว่าได้ยินรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ชัดขึ้น เมื่อลองฟังที่ระดับวอลลุ่มเท่าเดิม (เร่งวอลลุ่มมากไม่ได้เหมือนในห้องฟัง)

สรุป

Arcam SA30 เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างความประทับใจให้กับผมอย่างมาก มันน่าทึ่งมาก.!! โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพเสียง ซึ่งผมพบว่า มันทำให้เสียงของลำโพง Totem Acoustic The One ออกมาดีมากอย่างน่าประหลาดใจ ผมพูดได้เต็มปากว่า SA30 เป็นคู่แม็ทชิ่งกับ The One ที่ให้เสียงออกมาดีมากๆ ในหลายๆ คุณสมบัติ โดยเฉพาะทางด้านไดนามิกและซาวนด์สเตจที่เป็นจุดเด่นของ The One

ต้องชมภาค DAC ของ SA30 ว่ามีคุณภาพที่เยี่ยมยอดจริงๆ ชิป ES9038K2M ถูกปรับจูนให้ทำงานร่วมกับภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ใช้วงจรขยาย class G ของ SA30 ได้อย่างลงตัวมากๆ ทุกวัตต์ของ SA30 ถูกใช้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะทางด้านพละกำลังที่ดูขึงขังมากกว่าขนาดของตัวถังที่ห่อหุ้มตัวมัน ส่วนอินพุต Network ของมันก็คืออาวุธสำคัญที่ทำให้ได้เสียงที่ดีออกมาได้ง่ายๆ *แนะนำให้ใช้ร่วมกับ roon nucleus จะได้ความสมบูรณ์แบบของเสียงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ FC ของฟอร์แม็ต MQA

ถ้าถามหาความคุ้มค่าสำหรับอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ มีดาวเท่าไหร่ผมยกให้มันหมด..!!! /

***************************
ราคา : 120,000 บาท / เครื่อง
***************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: @DECO2000Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า