การปะทะกันของอัลบั้ม “Dark Side Of The Moon” – ยกที่หนึ่ง

คู่แรกของรายการ เป็นการดวลกันระหว่างแผ่นซีดีของสังกัด Harvest (Made in Japan) เบอร์แผ่น CDP 7 46001 2 กับแผ่นซีดีของสังกัด Mobile Fidelity Sound Lab (1988 Digital Remaster, Made in USA) เบอร์แผ่น UDCD 517

กิจกรรมฟังเทียบกันแบบนี้จะต่างจากซื้อล็อตเตอรี่นะ คือถ้าซื้อล็อตเตอรี่ คนอื่นจะเป็นคนตัดสินว่าคุณถูกหวยหรือโดนกิน แต่การฟังเทียบกันแบบนี้ตัวคุณเองนั่นแหละที่จะต้องทำหน้าที่ตัดสินว่าเวอร์ชั่นไหนเข้าวิน ความแม่นยำของคำตัดสินจะย้อนมาที่ตัวเราที่เป็นคนให้ความเห็น คำถามคือตัวเรามีความสามารถในการฟังความแตกต่างได้มากแค่ไหน.? และมีบรรทัดฐานในการตัดสิน (evaluate) ในแง่คุณภาพเสียงที่เป็นมาตรฐานสากลมากแค่ไหน.? สำหรับผม ขอยึดเอาเสียงที่ฟังแล้วทำให้ รู้สึกอินกับเพลงเป็นตัวตัดสินในครั้งนี้ (*ที่จริงแล้ว ถ้าต้องการความแม่นยำในการตัดสิน ต้องมีคณะลุกขุนมาร่วมกันฟังและแสดงความเห็นด้วย แล้วเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นตัวตัดสิน)

ก่อนจะเริ่มต้นตัดสิน ผมขออนุญาตอธิบายเกณฑ์การตัดสินของผมก่อน อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าผมจะใช้ ความรู้สึกร่วมที่มีกับเสียงของเพลงเป็นเกณฑ์ตัดสิน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด ความรู้สึกร่วมก็คือ energy หรือพลังของเสียงที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความมีตัวตนผ่านการรับรู้ได้จากการที่นักดนตรีแต่ละคนใส่พลังนั้นลงไปในเครื่องดนตรีของพวกเขาจนเกิดเป็นเสียงที่มีทั้งมวลและพลังดีดตัวที่พุ่งผ่านลำโพงออกมาอย่างมีชีวิตชีวา เวอร์ชั่นไหนให้เสียงที่มีพลังดีดตัว (ไดนามิก) ที่กว้างขวางกว่าก็ได้คะแนนมากกว่า

ประเด็นที่สองที่ผมพิจารณาให้คะแนนคือ “มูพเม้นต์” ของเสียงทั้งหมดที่สอดประสานกันไปตามท่วงจังหวะของเพลงที่ทำให้ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่นักดนตรีสื่อสารออกมา ลงล็อคไปตามจังหวะลีลาของเพลง ซึ่งการทำมาสเตอร์ที่ดีจะทำให้อารมณ์ของเพลงมัน flow ไปกับมูพเม้นต์ (timing) ของจังหวะที่แม่นยำและต่อเนื่องอย่างมั่นคง แม้จะเปิดดังก็ไม่รู้สึกรำคาญ มีแต่จะยิ่งรู้สึกมันส์ในอารมณ์ เวอร์ชั่นไหนทำได้ดีกว่าในประเด็นนี้ก็จะได้คะแนนสูงกว่า

อีกประเด็นที่ผมนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินก็คือ แอมเบี้ยนต์ซึ่งเป็นข้อมูลของเสียงที่ผสมผสานระหว่างฮาร์มอนิกของเสียงดนตรีแต่ละชิ้น บวกกับบรรยากาศที่เกิดขึ้นในสถานที่ใช้บันทึกเสียง ซึ่งเวอร์ชั่นไหนให้แอมเบี้ยนต์ หรือบรรยากาศออกมา เต็มกว่าก็จะได้คะแนนมากกว่า ซึ่งในการทำมาสเตอร์จะสะท้อน 2 อย่างออกมา อย่างแรกคือคุณภาพของ ต้นฉบับหรือมาสเตอร์เทปที่นำมาทำมาสเตอร์ในการปั๊มแผ่นซีดีเวอร์ชั่นนั้น อย่างที่สองก็คือ ฝีมือ + เครื่องมือของมาสเตอริ่ง เอนจิเนียร์นั่นเอง

แม้ว่าแอมเบี้ยนต์ที่ว่านี้อาจจะมีอยู่ไม่มากสำหรับงานเพลงที่บันทึกด้วยวิธีมัลติแทรค แต่ถ้าเป็นอัลบัมที่บันทึกมาดีพอและทำมาสเตอร์มาดีพอ คือสามารถขูดรีดความถี่เสียงออกมาจากมาสเตอร์เทปได้กว้างมาก (S/N ratio สูงๆ) ก็จะทำให้ได้รายละเอียดในระดับ Low Level ออกมาครบถ้วนตามมาสเตอร์เทป ก็จะมีแอมเบี้ยนต์แผ่ออกมาให้รับรู้ได้ เพราะแอมเบี้ยนต์เป็นรายละเอียดในระดับ Low Level นั่นเอง ซึ่งการเทียบระหว่างเวอร์ชั่นที่เป็นอัลบั้มเดียวกันจะฟังง่าย พูดได้ว่าเป็นการวัดฝีมือในการทำ mastering และวัดคุณภาพการตัดแผ่นของเวอร์ชั่นนั้นๆ โดยตรง

สำหรับใครที่ใช้วิธีจำเพลงจากลำดับแทรคที่เป็นตัวเลขจะงงนิดหน่อย เพราะทั้งสองเวอร์ชั่นนี้เรียงเพลงต่างกัน คือเวอร์ชั่น Harvest จะเอาเพลง Speak To Me กับเพลง Breathe ไปรวมไว้เป็นแทรคที่ 1 ในขณะที่เวอร์ชั่น MFSL จะแยกออกเป็นแทรค 1 (Speak To Me) กับแทรค 2 (Breathe) จึงทำให้เวอร์ชั่น MFSL มีลำดับเพลงอยู่ทั้งหมด 10 แทรค ในขณะที่เวอร์ชั่น Harvest มีแค่ 9 แทรค

ผลการฟังเปรียบเทียบ

อย่างแรกที่รับรู้ได้จากการฟังก็คือ ซีดีสองแผ่นนี้บันทึกเกนสัญญาณมาเบามาก.! เบากว่าแผ่นซีดีทั่วๆ ไปค่อนข้างชัด ผมต้องเร่งวอลลุ่มของแอมป์สูงกว่าตอนฟังแผ่นซีดีทั่วไปขึ้นมาพอสมควรจึงจะสามารถฟังจับรายละเอียดในแต่ละเพลงออกมาได้จน (คิดว่า) ครบ

หน้าปกอัลบั้มเวอร์ชั่น Harvest

เมื่อปรับระดับวอลลุ่มของแอมป์จนได้ระดับความดังของเสียงที่เพียงพอต่อการรับฟังเพื่อจับรายละเอียดแล้ว ผมพบว่า ทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ให้เสียงที่มีลักษณะนุ่มนวลต่อการรับฟังอย่างมาก ซึ่งเป็นข้อดีของการจัดเกนสัญญาณมาเบาๆ แบบนี้ มีผลให้ปลายเสียงแหลมอย่างเช่นเสียงฉาบของกลองจะออกมาละเอียด เป็นฝอยนวลหู ถ้าใครที่อนุมานอาการของเสียงฉาบที่มีมวลแข็งว่าเป็นเสียงแบบดิจิตัล คุณจะไม่พบอะไรแบบนั้นจากซีดีสองเวอร์ชั่นนี้เลย ซึ่งในประเด็นนี้ จากการฟังเทียบ ผมพบว่า เวอร์ชั่น MFSL จะให้เสียงที่หลุดลอยขึ้นมาเหนือแบ็คกราวนด์มากกว่า โดยเฉพาะเสียงในย่านกลางสูงขึ้นไปถึงแหลมของแผ่นโมบายฯ จะให้ตัวตนที่ชัดเจนมากกว่า ในขณะที่แผ่นฮาร์เวสจะกลืนๆ อยู่กับแบ็คกราวนด์นิดนึง รู้สึกได้เลยว่า ถ้าซิสเต็มที่เล่นให้ S/N ratio ไม่สูงมากพอ เสียงของแผ่นฮาร์เวสน่าจะออกมาจมๆ ซึ่งหากเร่งวอลลุ่มให้สูงขึ้นเพื่อดันรายละเอียดออกมา เสียงโดยรวมจะมีลักษณะ push หรือพุ่งดันออกมาข้างหน้ามากเกินไป ส่งผลกับลักษณะรูปวงเวทีเสียงด้อยลงในแง่ของความลึก ข้อเสียที่มากกว่านี้กรณีฟังกับซิสเต็มคุณภาพต่ำ กำลังขับไม่มากพอ อาจจะทำให้เสียงพุ่งน่าอึดอัดได้ง่าย

ข้อดีของแผ่นฮาร์เวสจะอยู่ที่ความละมุนละม่อมของเสียงต่างๆ โดยเฉพาะเสียงร้องที่ฟังดู เหมือนคนจริงๆกำลังร้องมากกว่าฟังจากสิ่งบันทึก ซึ่งผมสะดุดหูมากกับเสียงอิมโพไวด์ของ Clare Torry ในเพลง “The Great Gig In The Skyซึ่งประเด็นนี้เวอร์ชั่น MFSL ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก เพียงแต่เวอร์ชั่น MFSL จะให้ความรู้สึกถึงลักษณะของเสียงร้องที่ผ่านการ boost ด้วยวงจรอิเล็กทรอนิคมากกว่านิดหน่อยเท่านั้น

เมื่อฟังกับซิสเต็มที่มี S/N ratio สูงๆ มีระดับ noise floor ต่ำๆ จะพบว่าเวอร์ชั่น Harvest ให้รูปวงเวทีเสียงออกมาเป็นสามมิติมากกว่า โดยเฉพาะทางด้านความลึกของเวทีเสียงที่เด่นกว่า คุณจะได้ยินรายละเอียดของเสียงที่แผ่วเบาออกมาอย่างที่มันเป็น คือแผ่วเบาแต่รับรู้ได้ว่ามีเสียงนั้นอยู่ตรงนั้น แต่กับซิสเต็มที่มีคุณภาพไม่ถึงระดับจริงๆ ประเด็นเกนสัญญาณต่ำของเวอร์ชั่น Harvest อาจจะกลายเป็นจุดอ่อน เพราะถ้าแอมป์ไม่ดีพอ หรือลำโพงให้รายละเอียดเบาๆ ได้ไม่ดี จะทำให้รายละเอียดบางส่วนหายไปจากการได้ยิน และถ้าเร่งความดังขึ้นมามากๆ ก็อาจจะเป็นการประตุ้นความเพี้ยนของแอมป์ให้สูงขึ้นจนทำให้เกรนเสียงหยาบและรกหูได้ง่าย

หน้าปกอัลบั้มเวอร์ชั่น MFSL

หลังจากฟังซ้ำหลายรอบ ผมพบว่า เวอร์ชั่นโมบายฯ ให้เสียงที่ออกไปทางสว่างโพลนมากกว่าเวอร์ชั่นฮาร์เวส ซึ่งในตอนแรกจะรู้สึกว่าเวอร์ชั่นโมบายฯ ให้เสียงกลางแหลมออกมาชัดกว่า แต่เมื่อเทียบกันจริงๆ แล้ว เวอร์ชั่นฮาร์เวสให้โทนเสียงกลางแหลมที่ราบเรียบมากกว่า ในขณะที่กลางแหลมของเวอร์ชั่นโมบายนอกจากจะสว่างกว่าแล้ว มันยังมีลักษณะพุ่ง (forward) ล้ำออกมาข้างหน้ามากกว่าด้วย ทำให้มิติด้านลึกไม่โดดเด่นเท่ากับเวอร์ชั่นฮาร์เวส

ผมลองโฟกัสฟังเสียงเครื่องรับเงินตอนต้นแทรค Money เทียบกัน ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าเวอร์ชั่นโมบายฯ ให้เสียงที่สว่างโพลนและพุ่งดันออกมามากกว่า พอมาถึงท่อนโซโล่แซ็กโซโฟนของ Dick Parry กับเสียงโซโล่กีต้าร์ที่ดุเดือดของ David Gilmour ก็ยิ่งชัดเลยว่าแผ่นโมบายให้เสียงกลางแหลมสว่างจ้า พอถึงช่วงพีคของเพลงความสว่างของกลางแหลมที่ว่านี้จะโพลนออกมามากขึ้นจนไปกลบทับรายละเอียดในย่านอื่น และจากเสียงเดินเบสของโรเจอร์ วอเตอร์ในแทรคนี้ทำให้รู้สึกได้ว่า เวอร์ชั่นฮาร์เวสถ่ายทอด timing ของเพลงที่มีความแม่นยำและให้อารมณ์ที่คล้อยตามได้มากกว่าเวอร์ชั่นของโมบาย

เสียงร้องที่สะท้อนเป็นเอคโค่ที่ค่อยๆ เบาลงไปเป็นขั้นๆ ในแทรคเพลง Us And Them ที่ได้ยินจากเวอร์ชั่นฮาร์เวสก็ฟังดูเป็นขั้นเป็นตอนมากกว่า เสียงโซโล่แซ็กโซโฟนในช่วงท้ายเพลงก็ลอยออกมาจากพื้นเสียงด้านหลังมากกว่า ไม่จ้าและไม่จัดเหมือนที่ได้ยินออกมาจากเวอร์ชั่นโมบาย

ฟังเทียบกันตอนแรกๆ แบบผิวเผิน ผมรู้สึกว่าเวอร์ชั่นโมบายให้ความชัดเจนมากกว่าในแทบทุกย่านเสียง ในขณะที่เวอร์ชั่นฮาร์เวสดูเหมือนจะไม่มีกำลัง เสียงมันออกมาโหยๆ ไม่ค่อยดีดตัว แต่ฟังไปนานๆ และตั้งใจฟังเปรียบเทียบแบบช็อตต่อช็อต ผมพบว่า เวอร์ชั่น Harvest ให้ความสมดุลของเสียงที่ดีกว่า ในแง่ดังเบา แม้ว่าทางด้าน peak จะไม่ได้ให้ไดนามิกที่รุนแรงมาก น้ำหนักของอิมแพ็คน้อยไปนิด แต่ก็แลกมาด้วยความสะอาดของเสียง โดยเฉลี่ยแล้ว ผมให้คะแนนรวมแผ่นเวอร์ชั่น Harvest สูงกว่าเวอร์ชั่น MFSL

สรุปผล ผมให้เวอร์ชั่น Harvest ชนะเวอร์ชั่น MFSL และเข้าไปรอชิงกับเวอร์ชั่น EMI United Kingdom ในรอบต่อไป /

**********
Overture!
ยกที่ ๒
ยกที่ ๓
ยกที่ ๔ ตัดสิน!

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า