การปะทะกันของอัลบั้ม “Dark Side Of The Moon” – Overture!

อัลบั้ม Dark Side Of The Moon (DSOTMชุดนี้เป็นสตูดิโออัลบั้ม ลำดับที่ 8 ของวง Pink Floyd วงร็อคแนวไซเคเดลิคชั้นนำจากเกาะอังกฤษ ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อ ปี 1973 ในประเทศอังกฤษโดยค่ายเพลง Harvest Records ซึ่งเป็นค่ายเพลงเครือค่ายของ Capital Music Group ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอเมริกา ค่ายเพลง Harvest Records ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจระหว่างศิลปินที่มีแหล่งกำเนิดอยู่ใน UK กับค่ายเพลงแม่คือ Capital Music Group ในอเมริกา พูดง่ายค่ายเพลง Harvest Records ก็คือสาขาย่อยของ Capital Records ในอเมริกานั่นเอง (EMI เป็นผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Harvest Records มาตั้งแต่ปี 1969)

นี่คืออัลบั้มที่ปรากฏชื่ออยู่ในแทบจะทุก recommended list ของโลก มันอาจจะไม่ใช่งานเพลงที่มนุษย์ทุกคนจะต้องชอบ แต่มันเป็นอัลบั้มที่ นักฟังเพลงทุกคนควรจะต้องหามาฟัง ความพิเศษน่าสนใจของอัลบั้มชุดนี้มีอยู่หลายประเด็น เริ่มตั้งแต่ตัวเพลงเอง ซึ่งพูดได้ว่า งานเพลงชุดนี้คือ งานทดลองในการทำเพลงด้วยเทคนิคใหม่ๆ ที่มีใช้อยู่ในสตูดิโอตอนนั้น อย่างเช่น การบันทึกด้วยระบบมัลติแทรค, การใช้เทคนิคลูปเทปเข้ามามิกซ์แบบเดียวกับเพลง Bohemian Rhapsody ของวง Queen และใช้ซินธิไซเซอร์เข้ามาช่วยสร้างสีสรรให้กับเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ศิลปินแนวร็อคในยุคก่อนนั้นไม่ค่อยใช้กัน

งานเพลงในอัลบั้มนี้ถูกบันทึกเสียงที่ Abbey Road Studios ช่วง ปี 1972 – 1973 โดยมีซาวนด์เอนจิเนียร์ชาวอังกฤษนามว่า Alan Parsons (ได้รับรางวัลแกรมมี่อะวอร์ดจากผลงานทำอัลบั้มนี้ด้วย) เป็นผู้รับหน้าที่ดูแลการบันทึกและมิกซ์เสียงทั้งเวอร์ชั่น Stereo 2 Ch และ Quadraphonic 4 Ch ด้วยความที่เป็นโปรเจคระดับโลกของศิลปินเพลงที่กำลังดังอย่างวง Pink Floyd ทุกสิ่งที่ดีที่สุดจึงถูกนำมาใช้ และผลลัพธ์ของเพลงที่ออกมาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง อัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon กลายเป็น All Time Greatest Hit ของวงการเพลงตั้งแต่ปี 1973 มาจนถึงทุกวันนี้

Alan Parsons เป็นซาวนด์เอนจิเนียร์ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคในสตูดิโอเป็นพิเศษ และเทคนิคเหล่านั้นก็ไปปรากฏอยู่ในอัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon ของ Pink Floyd ซึ่งทำให้งานอัลบั้มชุดนี้มีความแตกต่างจากงานของพิ้งก์ฟอยด์ชุดก่อนหน้านั้นอย่างชัดเจน ด้วยพื้นฐานของเขาที่เป็นทั้งซาวนด์เอนจิเนียร์, นักดนตรี และนักแต่งเพลง ทำให้อลัน พาร์สันนำประสบการณ์ที่ทำงานร่วมกับพิ้งก์ฟอยด์มาสร้างโปรเจคพิเศษของตัวเองออกมา นั่นคือ The Alan Parsons Project ซึ่งเป็นงานเพลงแนวพ๊อพร็อคที่ใช้เทคนิคพิเศษในสตูดิโอเข้ามาเสริมสีสันได้อย่างลงตัว

คุณภาพเสียงที่โดดเด่นของอัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้งานเพลงชุดนี้พุ่งขึ้นไปเป็นดาวค้างฟ้า มีสื่อบันทึกของอัลบั้มชุดนี้ถูกผลิตออกจำหน่ายเป็นจำนวนมหาศาลไปทั่วโลก ทั้งในรูปของแผ่นเสียง, เทป 8-track, เทปคาสเส็ท, แผ่นซีดี และแผ่นซุปเปอร์ ออดิโอ ซีดี โดยค่ายเพลงหลักคือ Harvest และ EMI รวมถึงค่ายย่อยๆ อีกจำนวนหนึ่ง นั่นทำให้ทั่วโลกมีแผ่นเพลงอัลบั้ม Dark Side Of The Moon อยู่จำนวนหลายล้านแผ่น แยกเป็นหลายเวอร์ชั่นซึ่งนับจนถึงปัจจุบันมีอยู่เกินหนึ่งพันเวอร์ชั่นเข้าไปแล้ว

โดยส่วนตัวของผมมีแผ่นเพลง Dark Side Of The Moon เก็บอยู่ในคอลเลคชั่น 3 ฟอร์แม็ต คือแผ่นเสียง 3 เวอร์ชั่น, แผ่นซีดี 3 เวอร์ชั่น และแผ่น SACD อีกหนึ่งเวอร์ชั่น บทความนี้จะเป็นการฟังเปรียบเทียบเสียงของฟอร์แม็ตซีดี ซึ่งผมเพิ่งได้รับแผ่นซีดีเวอร์ชั่นที่ปั๊มโดยค่าย Harvest Records มาจากคุณเบเบ้ นักเล่นหูฟังรุ่นเก๋าเจ้าของร้านชาบูแถวโชคชัย มาเข้าแถวฟังเปรียบเทียบเพื่อค้นหาเวอร์ชั่นแผ่นซีดีที่เสียงดีที่สุดสำหรับอัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon ในครั้งนี้

ซิสเต็มที่ใช้ในการฟังเทียบในครั้งนี้

ซิสเต็มที่ใช้ในการฟังเทียบมีผลอย่างมากกับผลลัพธ์ที่ได้ คือต้องเป็นซิสเต็มที่มีประสิทธิภาพสูงพอ และมีความเที่ยงตรงมากพอเพื่อให้ได้ผลการรับฟังที่ตรงกับความเป็นจริงของ เสียงที่อยู่ในแผ่นเหล่านั้นจริงๆ

ผมใช้ห้องฟังทดสอบเครื่องเสียงของผมเป็นสถานที่ฟังเทียบ ส่วนซิสเต็มนั้น ผมใช้เครื่องเล่นแผ่น CD/SACD รุ่น Vivaldi ของ dCS ในการเล่นแผ่นทั้งหมด ซึ่ง Vivaldi ตัวนี้เป็น CD/SACD Transport คือไม่มีภาค DAC ในตัว (*น่าจะดีที่สุดในโลกขณะนี้ ราคาเครื่องละหนึ่งล้านหกแสนบาท) ผมจึงต้องส่งสัญญาณเอ๊าต์พุตจาก Vivaldi ไป external DAC รุ่น Bartok ของ dCS แบรนด์เดียวกันเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นภาค DAC ผ่านทางขั้วต่อ Dual AES/EBU ด้วยสายดิจิตัลบาลานซ์ของ Nordost รุ่น Valhalla Digital จำนวนสองเส้น จากนั้น ผมก็เชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจาก Bartok ทางช่อง XLR ไปที่อินพุต XLR ของอินติเกรตแอมป์ Dan A’Gostino รุ่น Progression ขับลำโพง Wilson Audio รุ่น Sabrina X (*ต้องขอบคุณบริษัท Deco2000 ที่ให้ยืม dCS ชุดนี้มาเพื่อการทดลองฟังครั้งนี้)(สายสัญญาณของ Life Audio รุ่น Gold MK II + สายลำโพงของ Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aureus)

การรายงานผลการลองฟัง ผมจะแยกฟังเป็นคู่ๆ แล้วตัดสินแบบแพ้คัดออก จากนั้นก็เอาเวอร์ชั่นที่ชนะซึ่งให้เสียงดีกว่าเป็นตัวยืนไปลองฟังเทียบกับเวอร์ชั่นที่เหลือแล้วตัดสินอีกที จากนั้นก็จะเอาผู้ชนะในรอบสองเป็นตัวยืนเพื่อลองฟังกับเวอร์ชั่นที่เหลือแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนได้เวอร์ชั่นที่เสียงดีที่สุดในตอนท้าย

รวมแผ่นดิจิตัลเวอร์ชั่นของอัลบั้ม Dark Side Of The Moon ที่จะเข้าโปรแกรมฟังเทียบในครั้งนี้

[1973] Dark Side Of The Moon (Harvest CDP 7 46001 2)

ยึดตามข้อมูลใน discog (https://bit.ly/35MwDJG) แจ้งว่า ผลิตผลของแผ่นซีดีอัลบั้ม Dark Side Of The Moon ที่ออกมาเวอร์ชั่นแรกสุดเป็นของ Harvest ที่ออกมาเมื่อปี 1984 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่นักสะสมควานหากันมากและให้ราคาสูง ในคอลเลคชั่นของผมเองยังไม่มีเวอร์ชั่นนี้ แผ่นที่ได้มาฟังเทียบครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณเบเบ้ สภาพแผ่นดูสดใหม่มาก น่าจะไม่ใช่ปั๊มแรกๆ ของเวอร์ชั่นนี้ เพราะเบอร์นี้ผลิตออกมาหลายครั้งมาก และผลิตออกมาในหลายประเทศด้วย แผ่นของเบเบ้แผ่นนี้ผลิตในประเทศญี่ปุ่น มีแผ่นของ Harvest อีกเวอร์ชั่นที่น่าสนใจ เป็นแผ่นที่ผลิตในญี่ปุ่น ซึ่งใช้โค๊ด เบอร์แผ่น CP35-3017 ออกมาเมื่อปี 1983 ส่วนอีกแผ่นปั๊มในอเมริกา ของค่าย Capital Records เบอร์แผ่นเดียวกับเวอร์ชั่นที่ปั๊มในอังกฤษคือ CDP 7 46001 2 ออกมาปีเดียวกันคือ 1984

[1973] Dark Side Of The Moon (1988 MFSL UDCD 517/24K Gold)

แผ่นซีดีของค่าย Mobile Fidelity Sound Lab (MFSLแผ่นนี้ผมซื้อมาหลายปีแล้ว เป็นแผ่นทอง 24K ซึ่งถือว่าเป็นเบอร์ดังระดับต้นๆ ของค่ายโมบายฯ ที่ทำมาสเตอร์ออกมา ได้รับสิทธิในการปั๊มแผ่นมาจากค่าย Harvest Records จดทะเบียนในการใช้สิทธิ์กับบริษัท The Gramophone Co., LTD.

MFSL เป็นผู้ผลิตแผ่นเพลง พวกเขาต่างจากค่ายเพลงทั่วไปตรงที่ไม่มีศิลปินของตัวเอง แต่ธุรกิจของเขาคือคัดเลือกและซื้อสิทธิ์มาสเตอร์เทปของอัลบั้มดังๆ ที่มีคุณภาพเสียงดีมาทำเป็นแผ่น โดยเริ่มที่แผ่นเสียงก่อนจะมาที่แผ่นซีดีและแผ่น SACD ในยุคหลังๆ ซึ่งอัลบั้มชุด DSOTM ชุดนี้ทางโมบายฯ ก็ทำออกมาเป็นเวอร์ชั่นแผ่นเสียงก่อนใน ปี 1979 ก่อนจะมาเริ่มทำเป็นเวอร์ชั่นแผ่นซีดีใน ปี 1988

MFSL ดังมากในกลุ่มของนักฟังที่เน้นคุณภาพเสียงและคุณภาพเพลงในยุคนั้น (กลางถึงปลายยุค ’70) เพราะนอกจาก MFSL จะใช้วิธีคัดเลือกมาสเตอร์ที่มีคุณภาพดี (เน้นที่เป็น Original Master Recording = OMR) มาทำแล้ว พวกเขายังมีเทคนิคในการทำมาสเตอริ่งที่คิดค้นขึ้นมาเอง ชื่อว่า “Ultradiscซึ่งเป็นกระบวนการทำมาสเตอร์ที่เน้นความพิถีพิถันมากกว่ากระบวนการทำมาสเตอร์ของแผ่นซีดีคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไป และเป็นเทคนิคที่ไม่เน้นการ boost เกนของเสียง จึงทำให้เสียงของแผ่นซีดีค่ายโมบายฯ ปราศจากปัญหา loudness war ที่ระบาดหนักในยุคนั้น ด้วยเหตุผลข้างต้นเหล่านี้จึงทำให้แผ่นซีดีของค่าย MFSL ให้คุณภาพเสียงเหนือกว่าแผ่นซีดีคอมเมอร์เชี่ยลส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้น

เวอร์ชั่นที่ผมมีอยู่เป็นแผ่นที่ผลิตโดย JVC ในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแผ่นที่ผลิตล็อตแรกๆ รึป่าว.? เพราะหลังจากปี 1988 แล้วเวอร์ชั่นนี้ก็มี rerun อีกรอบในปี 1993 แต่เหตุผลที่ทำให้ผมเข้าใจว่าของผมใช่ล็อตแรกๆ ที่ผลิตในปี 1988 เพราะมันใช้กล่อง jewel box แบบมีที่ยกแผ่นในตัวซึ่งเคยได้ยินมาว่า ล็อตหลังที่ออกมาปี 1993 ใส่มาในกล่องธรรมดา

[1973] Dark Side Of The Moon (1994 EMI United Kingdom/7243 8 29752 2 9 CDEMD 1064)

หลังปี 1985 ทางค่ายเพลงต่างๆ เกิดความนิยมทำ digital remastering งานเพลงในสังกัดของตนออกมามากขึ้น นัยว่าเป็นเพราะต้องการอัพเกรดคุณภาพเสียง เนื่องจากระบบและเครื่องไม้เครื่องมือในการทำมาสเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กับอีกเหตุผลหนึ่งคือถึงเวลาในการทำสังคายนาอะนาลอกมาสเตอร์เทปออกมาเก็บไว้ในรูปของดิจิตัลมาสเตอร์นั่นเอง (Sony เริ่มเก็บมาสเตอร์ไว้ในรูปของ DSD หลังจากนั้นไม่นาน) ในปี 1992 ทางต้นสังกัดของงานอัลบั้ม Dark Side Of The Moon คือ EMI United Kingdom ได้ทำการรีมาสเตอร์อัลบั้มชุดนี้ออกมาเตรียมทำเวอร์ชั่นฉลองครบรอบ 20 ปีสำหรับงานอัลบั้มชุดนี้ในปี 1993 โดยให้ทาง James Guthrie เป็นหัวหน้าคุมโปรเจครีมาสเตอร์ ซึ่งในการทำ digital remaster ของระบบเสียงสเตอริโอนั้นเจมส์เข้ามาดูแลการทำมาสเตอร์โดย Doug Sax แห่งสำนัก The Mastering Labs เป็นคนลงมือ (รวมทั้งอัลบั้มอื่นๆ ของ Pink Floyd ด้วย)

ผมมีแผ่นซีดีเวอร์ชั่นนี้ที่ปั๊มออกมาล็อตแรกๆ ของปี 1994 แต่ปัจจุบันแผ่นเสียไปแล้ว ผมเพิ่งสั่งซื้อมาใหม่ เป็นเวอร์ชั่นที่ปั๊มใน UK บนปกแผ่นมีสติ๊กเกอร์สีขาวระบุคำว่า “Made in Englandด้วยตัวหนังสือสีแดงแปะมาบนซองพลาสติกด้วย

[1973] Dark Side Of The Moon (2003 EMI 7243 582136 2 1 – CD Layer From SACD)

ปี 2003 คือปีครบรอบ 30 ปีของอัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon ทางต้นสังกัดคือ EMI United Kingdom ได้หยิบมาสเตอร์เทปงานของ Pink Floyd ออกมาทำการสังคายนายกใหญ่ ซึ่งความพิเศษหนึ่งในนั้นคือการมิกซ์เสียงอัลบั้มชุด Dark Side Of The Moon ขึ้นมาใหม่เป็น เวอร์ชั่น 5.1 Ch เพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของอัลบั้มชุดนี้ ซึ่งคราวนี้ทาง EMI เลือกให้ James Guthrie เป็นคนดูแลการทำรีมาสเตอร์ทั้งหมด รวมถึงการมิกซ์ DSOTM ออกมาเป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์ตามความต้องการของสมาชิกในวง Pink Floyd เพราะสมาชิกของวงไม่ชอบเวอร์ชั่นเซอร์ราวนด์ Quad 4 Ch ที่ Alan Parsons ทำออกมาก่อนหน้านั้น ซึ่งผมเดาว่าทางวง Pink Floyd อาจจะเคืองทางค่าย EMI ก็เป็นได้ ที่ไปให้อลัน พาร์สันทำเวอร์ชั่นเซอร์ราวนด์ Quad 4 Ch ออกมาโดยไม่ผ่านการอนุมัติจากวงซะก่อน เมื่อวงดังขึ้นมาจึงมีเพาเวอร์มากขึ้น พอมีโปรเจคจะทำเวอร์ชั่นพิเศษฉลอง 30 ปีในปี 2003 ทางวงจึงเลือกให้ James Guthrie เป็นคนดูแลการทำรีมาสเตอร์ทั้งหมดให้ อีกอย่าง ทางวงอาจจะเห็นฝีมือการมิกซ์และทำมาสเตอร์ของ James Guthrie มาจากอัลบั้มชุด The Wall ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งทาง EMI ก็ไม่ขัดข้อง และเวอร์ชั่นเซอร์ราวนด์ 5.1 Ch ของอัลบั้มชุด DSOTM ที่ James Gutrie ทำออกมาก็ได้รับรางวัลถึง 4 รางวัลในปี 2003 เบื้องหลังมีเรื่องเล่าว่าอลัน พาร์สันไม่แฮ้ปปี้กับเวอร์ชั่นเซอร์ราวนด์ 5.1 Ch ที่เจมส์ทำออกมา (ทั้งๆ ที่ Alan Parsons เป็นคนแนะนำ James Guthrie ให้กับวง Pink Floyd ตอนจะเริ่มทำอัลบั้มชุด The wall เพราะ Brian Humphries ซาวนด์เอนจิเนียร์คนเดิมเริ่มหมดไฟในการทำงานร่วมกับวง และเหตุผลที่ Alan Parsons ไม่ได้ทำอัลบั้มชุด The Wall ก็เพราะว่าสมาชิกในวงไม่ปลื้มฝีมือการมิกซ์ของพาร์สันจากชุด DSOTM นั่นเอง)

สรุปแล้ว DSOTM เวอร์ชั่นฉลอง 30 ปี ถูกทำออกมาเป็นฟอร์แม็ต SACD dual layer คือมีทั้งชั้นข้อมูลที่เป็นสัญญาณ PCM 2 Ch สำหรับฟอร์แม็ต CD และชั้นไฮเรซฯ ที่เป็นสัญญาณ DSD โดยทำออกมาทั้งรูปแบบ DSD stereo 2 ch และ DSD multichannel ในคราวเดียวกัน ซึ่งเวอร์ชั่นที่เป็น digital 2 Ch ก็ใช้ผลงานรีมาสเตอร์ที่ Doug Sax ทำไว้ตั้งแต่ปี 1992 มาบรรจุขวดใหม่ ดังนั้น ลักษณะเสียงของเวอร์ชั่น PCM 2 Ch บนชั้นข้อมูล CD ของแผ่น SACD ชุดนี้จึง ควรจะให้เสียงออกมาเหมือนกับเวอร์ชั่นแผ่นซีดีของ EMI ที่ออกมาในปี 1994

[1973] Dark Side Of The Moon (2011 Pink Floyd Music 50999 028955 2 9)

หลังปี 2000 ถือว่าเป็นการเปลี่ยนศักราชใหม่ของโลก ทางค่าย EMI ต้นสังกัดเจ้าของผลงานของศิลปินเพลงดังๆ ได้ผุดไอเดียในการนำเสนอผลงานเพลงของศิลปินดังๆ ในอดีตออกมาเพื่อให้สามารถต่อยอดไปได้ในยุคใหม่ในคอนเซ็ปต์ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า Why ..? ซึ่งนอกจากจะทำกับ The Beatles แล้ว Pink Floyd ก็เป็นศิลปินที่อยู่ในโปรเจคนี้เช่นกัน โดยทาง EMI จับงานสตูดิโออัลบั้มของ Pink Floyd ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคหลังก่อนปี 2000 จำนวนมากถึง 14 อัลบั้มมาให้ James Guthrie รับหน้าที่ในการ Remastering ใหม่ทั้งหมดเพื่อบรรจุลงกล่องออกมาจำหน่ายในชื่อบ็อกเซ็ต์ว่า “Discovery

ทั้งหมดนี้คือแผ่นซีดี/และซุปเปอร์ออดิโอซีดีงานเพลงอัลบั้ม Dark Side Of The Moon จำนวน 4 เวอร์ชั่นที่ผมมีอยู่ รวมกับเวอร์ชั่น Harvest ที่ได้รับมาร่วมทดลองฟังอีกหนึ่งเป็นทั้งหมด 5 เวอร์ชั่น ซึ่งผมจะใช้วิธีทดลองฟังเทียบกันทีละคู่ คัดที่เสียงดีกว่าไปจับคู่กับเวอร์ชั่นต่อมาโดยเรียงลำดับตามวาระที่เวอร์ชั่นนั้นๆ ออกมาวางจำหน่ายเพื่อคัดให้เหลือเวอร์ชั่นที่เสียงดีที่สุด (ในความเห็นของผม) ในตอนท้าย

สำหรับผลการทดลองฟังเทียบ ผมจะแยกเขียนออกมาทีละคู่ แยกเป็นตอนๆ ต่อเนื่องกันไปตอนละวันจนจบ ถ้าสนใจโปรดติดตาม /

**********
ยกที่ ๑
ยกที่ ๒
ยกที่ ๓
ยกที่ ๔ ตัดสิน!

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า