ในแต่ละซิสเต็ม ในแต่ละห้องฟัง มองเผินๆ อาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อได้มีโอกาสลงไปสัมผัสด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดแล้ว จะรู้ว่า จริงๆ แล้ว ทุกซิสเต็มและทุกห้องฟังมีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ดี ห้องฟังทุกห้องที่ให้เสียงออกมาดีน่าพอใจจะต้องมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ต้องมีพื้นฐานของ “แม็ทชิ่ง” ที่ดีในทุกๆ ซิสเต็มและทุกๆ ห้องฟัง
แม็ทชิ่งแรก “ลำโพง” กับ “ห้องฟัง”
ลำโพงที่คุณสุรัสใช้ยี่ห้อ ProAc รุ่น Response 1D ซึ่งเป็นลำโพงสองทางวางหิ้งที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่นอภิมหายอดนิยมตลอดกาล นั่นคือรุ่น Response 1Sc ที่นักเล่นเครื่องเสียงในอดีตที่ชื่นชอบคุณสมบัติทางด้านมิติ–เวทีเสียงนิยมชมชอบกันมาก ความแตกต่างระหว่างรุ่นใหม่ Response 1D กับรุ่น Response 1Sc มีอยู่ 2-3 จุด ที่ปรากฏอยู่ภายนอกซึ่งเห็นได้ชัดก็คือไดเวอร์เบส/มิดเร้นจ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ในรุ่นใหม่นี้ใช้ไดเวอร์ที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม ไดอะแฟรมทำจากกลาสไฟเบอร์ และใช้เฟสปลั๊กชนิดพิเศษ ทำด้วยอะคลีลิค ส่วนตัวทวีตเตอร์ขนาด ¾ นิ้วก็ยังคงเป็นซอฟท์โดมเหมือนเดิม
ลำโพงคู่นี้ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 30Hz ขึ้นไปจนถึง 30kHz ซึ่งถือว่าตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ลึกกว่าที่คะเนจากขนาดของตัวตู้ เป็นสเปคฯ ที่สูงกว่ารุ่น 1Sc เดิมทั้งทางด้านทุ้มและแหลม ซึ่งตัว 1Sc นั้นตอบสนองความถี่อยู่ที่ 38Hz – 25kHz
สัดส่วนตัวตู้ของ Response 1D มีความสูงเท่ากับรุ่น Response 1Sc คือ 12 นิ้ว ในขณะที่ความว้างของรุ่น 1D ถูกบีบให้หน้าแคบลงกว่า 1Sc นิดหน่อย แต่ความลึกของ 1D มากกว่า 1Sc ถึงหนึ่งนิ้ว ด้วยสัดส่วนที่ต่างกันนี้ มีผลให้ปริมาตรอากาศภายในตัวตู้ของ Response 1D มีมากกว่ารุ่น Response 1Sc นิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเอาขนาดตัวตู้ของ Response 1D ไปเทียบกับปริมาตรของห้องฟังของคุณสุรัสซึ่งมีพิกัด ก x ย x ส อยู่ที่ 4.4 x 5.6 x 2.9 หรือคิดเป็น 71.456 ลูกบาศเมตร จะเห็นว่า มันต่างกันเยอะมาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่า ลำโพงคู่นี้น่าจะเล็กเกินไปสำหรับห้องนี้ ไม่น่าจะให้เสียงออกมา “เต็มห้อง” ได้
หลังจากขยับตำแหน่งและเซ็ตอัพสภาพแวดล้อมจนลำโพงอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัวดีแล้ว ผมพบว่า Response 1D สามารถแผ่ขยายปริมณฑลของเสียงออกมาครอบคลุมภายในห้องได้เต็มพื้นที่ สามารถฉีกขยายซาวนด์สเตจออกไปได้ไกลจากตัวลำโพงทั้งสามมิติ แผ่ออกไปได้ครบทั้งสามด้าน คือกว้าง, ลึก และสูง แต่ถ้าถามว่า Response 1D กับห้องฟังห้องนี้อยู่ในสถานะ “Perfect Matching” ก็ต้องตอบว่า ยังไม่ใช่ ลำโพงยังเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของห้องฟังครับ จากการทดลองฟังเพลงหลากหลายเพลง จากหลากหลายอัลบั้ม ผมพบว่า Response 1D ยังไม่สามารถถ่ายทอดความถี่ในย่านทุ้มออกมาได้ครบทั้งหมด แน่นอนว่าหลังจากเซ็ตอัพลงตัวแล้ว เราจะได้ยินเสียงทุ้มที่รู้สึกได้ว่า “เกินตัว” จากลำโพงคู่นี้ แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับที่บางแทรคมีอยู่ ด้วยข้อจำกัดของขนาดเบส/มิดเรนจ์ และขนาดตัวตู้ ทำให้มันยังไม่สามารถถ่ายทอดมวลของเสียงทุ้มที่แผ่ขยายฮาร์มอนิกด้านล่างออกมาได้
ผมทดลองเล่นเพลง Company ของ Patricia Barber จากอัลบั้มชุด Modern Cool ซึ่งเป็นแทรคที่โชว์ความถี่ในย่านต่ำที่มาพร้อมมวลบรรยากาศที่กอปรขึ้นมาเป็นห้องบันทึกเสียงขนาดใหญ่ ซึ่งผมไม่ได้ยินจากลำโพงคู่นี้ภายในห้องนี้
แม็ทชิ่งระหว่าง “แอมป์” กับ “ลำโพง”
ถ้าคุณไม่ได้อ่านข้อความย่อหน้าข้างต้นมาก่อน และหลุดเข้าไปฟังเสียงของซิสเต็มของคุณสุรัส ณ ตอนที่เซ็ตอัพลงตัวแล้ว เชื่อว่าคุณจะต้องรู้สึกทึ่งกับเสียงที่ได้ยินเหมือนกับช่างวิดีโอทั้งสองคนของผม เพราะเสียงที่ได้ยินมันแผ่กว้างและลอยใหญ่เกินขนาดของลำโพงไปไกลทีเดียว มันแสดงผลของเพลงหลายๆ แทรคที่ผมทดลองฟังออกมาได้อย่างน่าตื่นตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากลำโพงตัวเล็กกระทัดรัดคู่นั้น
จริงๆ แล้ว เราต้องยกเครดิตส่วนหนึ่งให้กับปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์ที่ทำหน้าที่ขับดันลำโพงคู่นี้ด้วย เพราะทั้งปรีแอมป์ยี่ห้อ Ayre Acoustics รุ่น K5x และเพาเวอร์แอมป์ Classe รุ่น CA151 ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มของเครื่องเสียงระดับกลางสูงที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะตัวปรีแอมป์นั้นโดดเด่นมาก กำลังขับของ CA-151 อยู่ที่ 75W ที่ 8 โอห์ม และเบิ้ลได้สองเท่าเป็น 150W ที่โหลด 4 โอห์ม แสดงถึงกำลังสำรองเต็มพิกัด เมื่อเอาตัวเลข 75W ไปคำนวนเทียบกับกำลังวัตต์สูงสุดที่ลำโพง Response 1D แนะนำเอาไว้ นั่นคือ 100W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม มันก็อยู่ในพิกัดตามสูตร “75% x กำลังขับสูงสุด” ที่ผมตั้งเกณฑ์ไว้พอดีเป๊ะ แม้ว่าลำโพงคู่นี้ยังไปกับแอมป์ที่สูงกว่านี้ได้อีกจนถึง 100W ที่ 8 โอห์มตามสเปคฯ ของลำโพงที่แจ้งไว้ แต่เมื่อถูกขับด้วยกำลังขับ 75W ต่อข้างของ CA-151 คู่นี้ ก็พอจะคาดหวังได้ว่าคุณภาพเสียงควรจะออกมาในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
และจากที่ได้ยินวันนั้นก็พอจะสรุปได้ว่า CA-151 สามารถขับดัน Response 1D ออกมาได้เต็มที่พอสมควร (มีเกนขยายของปรีฯ เข้ามาช่วยด้วย) แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะห้องใหญ่มาก (เมื่อเทียบกับขนาดของลำโพง) แต่โดยรวมที่ออกมาก็น่าพอใจมากแล้ว ถ้าห้องฟังลดขนาดลงมาอีกหน่อย ประมาณสัก 3.8 x 5 x 2.8 ล.บ.ม เสียงโดยรวมน่าจะออกมาดีกว่านี้ได้อีก
ตัวคุมไฟ – ปัจจัยสำคัญสำหรับห้องฟังต่างจังหวัด
ในเวลาไล่เลี่ยกันไม่กี่เดือน ผมเจอตัวคุมไฟรุ่น IRG-600 ของยี่ห้อ Magnet ในห้องฟังที่ผมไปทำ Training@Home มาแล้วถึง 2 ห้องฟังด้วยกัน ห้องแรกก็เป็นห้องของคุณโจ้ บางบัวทอง วันนี้ก็มาเจอที่ห้องของคุณสุรัสที่ขอนแก่นอีกแล้ว ทราบว่าได้มาจากร้านปิยะนัส สาขาโคราชนั่นเอง
โดยทฤษฎีแล้ว ตัวคุมไฟ (Power Line Stabilizer) จะทำหน้าที่ในการ ควบคุมแรงดัน (voltage) ของไฟฟ้าให้มีความคงที่ก่อนจะป้อนให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียง แม้ว่าวงจรภายในอุปกรณ์เครื่องเสียงจะใช้ไฟ DC ที่ได้จากภาคจ่ายไฟที่อยู่ภายในตัวเครื่องเสียง ซึ่งภาคจ่ายไฟในอุปกรณ์เครื่องเสียงทุกตัวจะต้องทำหน้าที่ในการแปลงไฟเอซีที่รับเข้าไปจากภายนอกให้ออกมาเป็นไฟดีซีก่อนป้อนให้วงจรภายในตัวเครื่อง แต่ถ้าไฟเอซีมีอาการสวิง ไม่คงที่ ก็จะทำให้วงจรอิเล็กทรอนิคของภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่ทำหน้าที่แปลงไป AC > DC ทำงานไม่ราบลื่น ส่งผลให้ไฟดีซีที่ส่งไปเลี้ยงวงจรภายในเกิดความไม่สม่ำเสมอ การทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิคภายในตัวเครื่องก็จะด้อยประสิทธิภาพลง และแน่นอนว่า ส่งผลเสียต่อคุณภาพเสียงโดยรวม เป็นลำดับไป
ทว่า จากประสบการณ์พบว่า การออกแบบตัวคุมไฟที่มีคุณภาพสูงก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เพราะโดยมากแล้ว อุปกรณ์ประเภทนี้มักจะส่งผลต่อเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงเสมอ ทั้งแง่ดีและแง่ร้าย ในแง่ดีคือ การควบคุมแรงดันไฟให้นิ่งจะช่วยทำให้เสียงนิ่งไม่วูบวาบ กำลังไม่ตก แต่ขณะเดียวกัน ถ้าผู้ออกแบบไม่เก่งพอ ทำให้ตัวกรองไฟมีบุคลิกเสียงของมันเอง (ซึ่งแน่นอนว่ามักจะมี..) และเข้าไปผสมกับเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงในซิสเต็ม แบบนี้ก็ถือว่าเป็นแง่ร้าย ซึ่งตัวคุมไฟในอุดมคติที่ถือว่าดีจริงๆ ต้องไม่มีบุคลิกเสียงของมันเอง
ในบางสถานะการณ์ อย่างเช่น ต่างจังหวัดที่ระบบไฟฟ้าไม่เสถียร มีการสวิงของโวลเตจเสมอ การมีตัวคุมไฟเอาไว้ก็ช่วยแก้ปัญหาได้ แม้ว่าตัวคุมไฟอาจจะมีบุคลิกเสียงบางอย่างเข้าไปผสมปนกับเสียงของซิสเต็มบ้าง บวก–ลบ–คูณ–หาร แล้ว ก็อาจจะยังดีกว่าปล่อยให้ซิสเต็มต้องเสี่ยงกับปัญหาไฟตกและสวิง ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียงแย่ลงแล้ว อาจจะถึงขั้นทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์เครื่องเสียงได้อีกด้วย
ในซิสเต็มของคุณสุรัสก็มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสวิง ซึ่งจากการสังเกต ผมพบว่า เสียงเพลงที่ฟังค่อนข้างนิ่ง แม้ว่าบนหน้าจอของ IRG-600 แสดงให้เห็นว่า ไฟฟ้าขาเข้าสวิงขึ้นลงตลอดเวลา แต่ตัวคุมไฟตัวนั้นก็สามารถทำหน้าที่ของมันได้ดี จัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปรากฏปัญหาเรื่องไฟฟ้าใดๆ เลยตลอดการทดลองฟัง
ผมไม่ได้ทดลองค้นหาบุคลิกเสียงของตัวคุมไฟตัวนั้น เพราะไม่อยากเสี่ยงกับไฟฟ้าที่สวิงตลอดเวลา อาจทำให้เครื่องเสียหายได้ สำหรับคนที่ต้องการพิสูจน์บุคลิกเสียงของตัวคุมไฟก็สามารถทำได้ง่ายๆ แค่ทดลองสลับเสียบอุปกรณ์เครื่องเสียงเข้ากับตัวคุมไฟและเปลี่ยนไปเสียบที่เต้าผนังห้องฟังเทียบกันก็รู้แล้ว
เซ็ตอัพ ตามสูตร 1/3
เมื่อใดก็ตามที่คุณมีความเชี่ยวชาญมากๆ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณจะมีสิ่งที่เรียกว่า “สัญชาตญาณ” เกิดขึ้นมาในตัว คนที่ผ่านการเซ็ตอัพระบบเสียงมามากๆ ก็เช่นกัน เมื่อเข้าไปในห้องฟังใดๆ ก็ตาม แม้ว่าจะไม่เคยฟังเสียงของห้องนั้นมาก่อน แต่คุณก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงปัญหาของเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นได้ง่ายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์
เมื่อใดก็ตามที่ภายในห้องฟังมีปัญหาเสียงก้อง ผมจะรู้สึกได้ง่าย ซึ่งในห้องของคุณสุรัสก็มีอาการก้องสะท้อนของความถี่อยู่ย่านหนึ่งที่คอยรบกวนประสาทหูของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มเปิดเพลงลองฟังกัน แสดงถึงสภาวะที่ลำโพงยังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ลงตัวกับห้อง หลังจากลงมือวัดระยะของตำแหน่งวางลำโพงทั้งสองข้างแล้ว พบว่า ลำโพงทั้งสองข้างถูกวางห่างจากผนังด้านหลังเท่ากับ 1.55 เมตร ห่างจากกันระหว่างข้างซ้ายและข้างขวาไม่ถึงสองเมตร แม้ว่าภายในห้องจะมีอุปกรณ์ปรับอะคูสติกแบบ standalone ที่ไม่ได้ยึดตายตัวอยู่หลายชิ้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นมีส่วนช่วยซึมซับและฟุ้งกระจายพลังงานความถี่เสียงได้มาก แต่เนื่องจากผนังห้องเป็นปูน และความสูงของอุปกรณ์อะคูสติกแต่ละชิ้นมีความสูงเพียงแค่เมตรกว่าๆ ไม่ได้สูงขึ้นไปถึงเพดาน ทำให้มีพื้นที่ของผนังห้องส่วนที่สูงเลยความสูงของอุปกรณ์ปรับอะคูสติกเหล่านั้นสะท้อนความถี่เสียงบางส่วนออกมา เมื่อทดลองฟังด้วยการยืนขึ้นตรงๆ และย่อตัวลงมาใกล้พื้นจะรับรู้ได้ว่า ตอนยืนกับตัวย่อตัวเสียงไม่เหมือนกัน
เมื่อห้องมีปัญหาเสียงบางความถี่ก้องสะท้อน ตำแหน่งการวางลำโพงที่หลบเลี่ยง roommode ด้วยสูตร “1/3 x ความยาว หรือความลึกของห้อง” ก็ยิ่งมีความจำเป็นมาก คุณสามารถวางลำโพงขยับชิดผนังหลังเพื่อจูนเสียงเบสให้มากขึ้นได้ ถ้าห้องฟังถูกปรับแก้ปัญหาอะคูสติกไว้ทั่วทั้งห้อง ซึ่งในกรณีของห้องคุณสุรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะพื้นที่ผนังด้านบนของห้องมีผลกับเสียง ผมจึงคำนวนระยะ 1/3 x ความยาวของห้อง ซึ่งได้เท่ากับ 5.6 หารด้วย 3 ออกมาเท่ากับ 1.86 เมตร แล้วลงมือดึงลำโพงทั้งสองข้างให้ห่างออกมาจากผนังด้านหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมจนถึงระยะ 1.86 เมตร ส่วนระยะนั่งฟังเดิมอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกับจุด sweet spot หลังจากทดลองฟังและขยับระยะห่างซ้าย–ขวาอีกนิด รวมถึงขยับตำแแหน่งของแผงไม้ดิฟฟิวเซอร์ด้านข้างซ้าย–ขวาของตำแแหน่งนั่งฟังอีกหน่อย ทุกอย่างก็ลงตัว เสียงที่ได้แผ่ขยายอาณาเขตออกไปทุกด้าน กว้างขึ้น ลึกมากขึ้น และลอยสูงขึ้นด้วย อีกทั้งยังได้ dynamic range ที่สวิงได้กว้างมากขึ้นด้วย ซึ่งตำแหน่งลำโพงเดิมที่คุณสุรัสเซ็ตอัพเอาไว้ให้เสียงที่สวิงไดนามิดได้ไม่กว้างมาก ลักษณะโดยรวมของเสียงจึงขาดความสด กระจ่าง ขาดพลังเสียงที่เปิดเผยและทะลุทลวง และที่รู้สึกได้ชัดขึ้นมากคือ Low Level Resolution ที่ดีขึ้น เนื่องจากตำแหน่งของลำโพงตำแหน่งใหม่อยู่ในจุดที่ไปกระตุ้น roommode น้อยลง ทำให้เสียงก้องที่สะท้อนจากผนังออกมารบกวนลดน้อยลง เปรียบเหมือนหมอกควันจางลง ทำให้ได้ยินรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงปรากฏตัวออกมามากขึ้น ส่งผลให้การทอดตัวของเสียงยืดยาวออกไปได้มากขึ้น อิมเมจของเสียงแต่ละชิ้นก็ลอยตัวออกมาจากม่านหมอกได้มากขึ้น ความชัดเจนทั้งหมดก็ตามมา
หลังจากเซ็ตอัพเสร็จแล้ว เราก็ได้ข้อสรุปโดยรวมว่า ลำโพง ProAc Response 1D คู่นี้เป็นลำโพงเล็กที่ “อึดมาก” เป็นพิเศษ มันสามารถแผ่ขยายเสียงออกมาครอบคลุมพื้นที่ห้องขนาดกลางได้เต็ม แม้ว่าในย่านความถี่ต่ำจะออกมาได้ไม่ครบทั้งหมด แต่เท่าที่มันให้ออกมานั้นก็ถือว่าน่าพอใจมากแล้ว และอีกประสบการณ์หนึ่งที่พวกเราได้จากห้องนี้ ก็คือเสียงของไฟล์เพลงออกมาดีมาก ดีกว่าเล่นจากแผ่นซีดีอย่างชัดเจน.. /
***********************
ไปดูห้องอื่นๆ กัน