ก็ต้องยอมรับว่า อุปกรณ์เสริมบางชนิดมันท้าทายความเชื่อของเราอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์เสริมประเภทที่เอาไปรองใต้ลำโพง, รองใต้ตัวเครื่อง หรือเอาไปวางทับอยู่บนตัวเครื่อง มันชวนให้น่าสงสัยว่า จริงๆ แล้ว อุปกรณ์เสริมเหล่านี้มันมีผลกับเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้จริงมั้ย.? เป็นผลทางด้านจิตวิทยา หรือมโนไปเองรึเปล่า.? ถ้ามีผลจริง.. จะมีเหตุผลทางหลักวิทยาศาสตร์แขนงไหนอธิบายได้บ้างว่า อุปกรณ์เสริมเหล่านี้มันเข้าไปทำให้เกิดอะไรขึ้น.? แบบไหน..? อย่างไร..???
จริงๆ แล้ว คำตอบสำหรับคำถามนี้ก็ไม่ได้มีอะไรยากถ้าเราจะทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า มีปรากฏการณ์ในโลกนี้อยู่อีกมากมายมหาศาลที่เรายังไม่สามารถหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าปรากฏการณ์นั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายๆ อย่างที่รู้ทั้งรู้ว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์แน่ๆ แต่สำหรับคนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ คงไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์เหล่านั้นออกมาได้อย่างกระจ่างชัด
ยกตัวอย่างเช่น เราเห็นกันอยู่ทนโท่ว่าเครื่องบินที่มีน้ำหนักมากเป็นตันๆ บรรทุกคนอีกสอง–สามร้อยคน แต่กลับขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศได้อย่างไรโดยไม่ตกลงมา.? เรารู้ว่ามันมีเหตุผลทางหลักวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายเรื่องนี้อยู่ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งมาทางด้านวิศวกรรมอากาศยานโดยตรงก็ยากที่จะอธิบายได้อย่างละเอียดละออ
อุปกรณ์เสริมที่สงสัยกันว่ามันทำให้เกิดผลกับเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงได้อย่างไร เพราะแค่เอามันเข้าไปรองใต้ หรือแค่วางทับลงไปบนอุปกรณ์เครื่องเสียงเท่านั้น สายไฟก็ไม่ได้ต่อ สายสัญญาณก็ไม่ได้ต่อ อุปกรณ์เสริมกับตัวเครื่องสัมผัสกันแค่ผิวนอกเท่านั้น ทำไมถึงมีผลกับเสียงได้.. อันนี้ก็ถือว่าเป็น “ปรากฏการณ์” หนึ่งที่สามารถ “สัมผัส” กับผลลัพธ์ของมันได้ แต่หาคำอธิบายที่ “มั่นใจ” ว่าถูกต้องตรงตามต้นเหตุปัจจัยจริงๆ ของมันได้ยากมากสำหรับคนเล่นเครื่องเสียงทั่วๆ ไปอย่างเราๆ ท่านๆ
ก็ต้องยอมรับว่า คนเล่นเครื่องเสียงอาศัย “ความสามารถในการฟัง” ของตัวเองในการฟังความแตกต่างของ “ผลลัพธ์” ที่ได้จากการทดลอง “ใช้ vs ไม่ใช้” อุปกรณ์เสริมเหล่านั้นเปรียบเทียบกัน โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาค้นหาคำอธิบายว่าอุปกรณ์เสริมเหล่านั้นมันเข้าไปทำให้เสียงของเครื่องเสียงชิ้นนั้นเปลี่ยนไปได้อย่างไร.? ความสนุกของการเล่นเครื่องเสียงมันอยู่ตรง “ลอง” แล้วก็ “ฟัง” โดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำไม และเพราะอะไร ประเด็นสำคัญมันอยู่แค่ว่า คุณต้อง “ฟังให้ออก” เท่านั้นพอ..!!!
Life Audio ‘Reference SE Mellow’
อุปกรณ์เสริมสำหรับรองใต้เดือยแหลมขาตั้งลำโพง หรือรองใต้เครื่องเสียง
จริงๆ แล้วอุปกรณ์เสริมประเภทนี้มีมานานแล้ว ในเมืองไทยก็มีผู้นำเข้ามาขายหลายยี่ห้อ ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้ คุณหน่อย เจ้าสำนัก Life Audio ที่มีส่วนผลักดันให้อุปกรณ์เสริมประเภทนี้ได้รับความนิยมจากนักเล่นเครื่องเสียงอย่างแพร่หลายมากขึ้น
ผมเคยทดสอบอุปกรณ์ประเภทนี้ของ Life Audio ที่เป็นรุ่นแรกคือรุ่น Mellow-E ไปเมื่อหกปีที่แล้ว (เดือนมิถุนายน ปี 2020)(REVIEW) หลังจากนั้น Life Audio ก็พัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ข้างบนนั้นเป็นอุปกรณ์เสริมประเภทเดียวกันของ Life Audio ที่ทำออกมาก่อนหน้ารุ่น Reference Se Mellow ที่ผมกำลังจะทำการทดสอบนี้ มีอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น รายละเอียดตามภาพข้างบน
หน้าตาและส่วนประกอบของ Reference SE Mellow

Reference SE Mellow ประกอบขึ้นด้วยวัสดุโลหะ 2 ชนิด ซ้อนกัน 3 ชั้น จากภาพข้างบน ชั้นล่างสุด (1) กับชั้นบน (3) ทำมาจากทองเหลืองชุบเคลือบสีเมทัลลิก ส่วนชั้นที่ (2) ทำมาจากทองแดงชุบผิวด้วยทอง 24K แต่ละชั้นมีความหนาอยู่ที่ 1 ซ.ม. ทุกชั้นมีการขัดจนเรียบก่อนชุบแล้วเซาะร่องด้านข้างโดยรอบเพื่อลดความเครียดของเนื้อมวล ด้านบนสุดชั้นที่ (4) ในภาพนั้นคือแผ่นยางแข็งที่ติดไว้กันลื่นและลดแรงกระแทกในกรณีที่คุณเอาไปรองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียง
“..ทองเหลืองจะช่วยเพิ่มมวลให้กับเสียง” คุณหน่อยให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ เหตุผลที่เลือกใช้วัสดุหลายชนิดเข้ามาประกอบกันก็เพื่ออาศัยความถี่เรโซแนนซ์ธรรมชาติของวัสดุต่างชนิดเหล่านั้น เข้ามาช่วยสลายพลังงานเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นบนตัวตู้ซึ่งครอบคลุมความถี่ต้นเหตุได้กว้างกว่าการใช้วัสดุชนิดเดียวนั่นเอง เส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 8 ซ.ม. นิดๆ สูง 4 ซ.ม. นิดๆ ตรงกลางที่อยู่ด้านบนเซาะเป็นร่องไว้รองรับส่วนปลายของเดือยแหลม
ชั้นบนสุด (3) มีเกลียวให้สามารถหมุนปรับระดับความสูง–ต่ำได้เล็กน้อย มีประโยชน์ในการปรับจูนระนาบของตัวลำโพงให้อยู่ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น ถ้าลองจับที่ชั้นกลางกับชั้นล่างขยับดูจะรู้สึกได้ว่ามันให้ตัวเล็กน้อย เนื่องจากด้านในของพื้นที่ระหว่างชั้น 2 กับชั้น 3 มี ลูกปืนเซรามิค จำนวน 8 ลูก แทรกตัวอยู่ ซึ่งลูกปืนที่ว่านี้จะทำหน้าที่ในการสลายแรงสั่นสะเทือน โดยมีทิศทางในการสลายแรงสั่นไปตามแนวระนาบที่ขนานไปกับพื้น จึงไม่มีแรงดันย้อนกลับขึ้นด้านบน ซึ่งต่างจากลักษณะการดูดซับของวัสดุประเภท suspension ที่มีมวลนุ่ม อย่างเช่นยางหรือสปริง ซึ่งจะดูดซับพลังงานในแนวตั้ง ในขณะทำงานมันจึงมีแรงดันที่เด้งย้อนกลับขึ้นไปด้านบน ส่งผ่านกลับไปถึงตัวเครื่องหรือลำโพง วนไปไม่สิ้นสุด

ส่วนด้านล่างของตัว Reference SE Mellow มีแผ่นสักกะหลาด สีเทาๆ ตัดเป็นวงกลม จำนวน 4 แผ่น แปะอยู่ จุดประสงค์ก็เพื่อลดแรงกระแทกกับพื้นและลดความฝืดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข็นลำโพงได้ง่ายขึ้น ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากในกรณีที่เป็นลำโพงขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักเยอะ ขณะไฟน์จูนเสียงด้วยการขยับตำแหน่งลำโพงทีละนิดก็สามารถทำได้ง่ายขึ้นเมื่อมี Reference SE Mellow รองอยู่ใต้เดือยแหลมของลำโพงทั้งสี่ตัว
ผลการทดลอง


คุณหน่อยบอกว่า นอกจากจะใช้รองใต้เดือยแหลมของลำโพง หรือขาตั้งของลำโพงแล้ว คุณยังสามารถนำเอา Reference SE Mellow ไปวางทับลงบนหลังอุปกรณ์เครื่องเสียงเพื่อจูนเสียงได้ด้วย ผมเลยทดลองวาง Reference SE Mellow ลงบนเพาเวอร์แอมป์ CH Precision ‘A1.5’ (REVIEW) กับวางทับบน DAC รุ่น QB-9 DSD Twenty ของผม (ภาพล่าง) ผมพบว่า เมื่อวาง Reference SE Mellow ลงไปบนตัวเครื่อง มันมีผลทำให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่กระชับขึ้น สังเกตชัดที่เสียงเบสมีความแน่นมากขึ้น โฟกัสของชิ้นดนตรีมีตำแหน่งตรึงอยู่กับที่มากขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน ความเปิดกว้างของสนามเสียงหดแคบลงเล็กน้อย ความกังวานของปลายเสียงหดสั้นลงเล็กน้อย ส่งผลให้ความรู้สึกผ่อนคลายของเสียงด้อยลงเล็กน้อย เพราะอัตราสวิงของไดนามิกคอนทราสน์หดแคบลง แลกมากับความเข้มข้นจริงจังของเสียงที่เพิ่มขึ้น สรุปว่าวางบนตัวเครื่องจะส่งผลกับเสียงในลักษณะที่มีได้–มีเสียตามที่กล่าวมาข้างต้น

การใช้งาน Reference SE Mellow อีกวิธีก็คือเอาไปรองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียง ซึ่งคุณหน่อยแนะนำให้ทดลองกับตัวสตรีมเมอร์ก่อนเลย เสร็จแล้วก็ลงมือเอา Reference SE Mellow สามตัวไปรองใต้ Innuos ‘PULSE’ (REVIEW) ซึ่งเป็นสตรีมเมอร์ที่ผมใช้อ้างอิงอยู่ อ๊ะ.. แบบนี้มีแววดี รู้สึกว่าเสียงโดยรวมมีความนิ่งมากขึ้น มูพเม้นต์ของเสียงมีลักษณะที่ลื่นไหลมากขึ้น การสวิงไดนามิกมีลักษณะที่ต่อเนื่องมากขึ้น ในขณะที่เวทีเสียงลอยตัวขึ้นเล็กน้อย
วันนั้นคุณหน่อยเอา Reference SE Mellow ติดตัวมา 8 ตัว แต่เนื่องจากวันที่คุณหน่อยมา ในห้องของผมเซ็ตอัพลำโพง Silent Pound ‘Challenger II‘ อยู่ (REVIEW) ซึ่งคุณหน่อยได้ทำที่รองขาตั้งของ Challenger II มาด้วย เราจึงทดลองใส่รองเท้าให้กับ Challenger II ก่อนเลย ซึ่งก็ได้เสียงโดยรวมที่ดีขึ้นชัดเจน หลังจากนั้นเราถึงเริ่มทดลองใช้ Reference SE Mellow รองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียงและวางทับบนอุปกรณ์เครื่องเสียง ซึ่งได้ทดลองแค่สองอย่าง ส่วนตัวของผมแล้ว ระหว่างใช้ตัว Reference SE Mellow วางทับบนอุปกรณ์เครื่องเสียง กับรองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียง ผมชอบรองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียงมากกว่า เสียงโดยรวมมันออกมาทางบวก ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงในทางลบ


หลังจากคุณวี ให้คนมายกลำโพง Silent Pound ‘Challenger II’ กลับไปแล้ว ก่อนที่ทางไฮไฟ ทาวเวอร์จะยกลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 5.4 เข้ามาให้ทดสอบ ผมก็ลองยกลำโพง Wharfedale รุ่น Super Linton (REVIEW) เข้ามาลองเซ็ตอัพเพื่อทดลองใช้ตัว Reference SE Mellow อยู่สองวัน ซึ่งลำโพง Super Linton เป็นลำโพงวางขาตั้งที่มีขาตั้งมาให้ด้วย โดยปกติแล้วทางผู้ผลิตจะแถมจานรองเดือยแหลมมาให้ด้วย เป็นจานโลหะทรงกลมแบน ขนาดประมาณเหรียญห้าบาท ที่ด้านล่างแปะด้วยสักกะหลาด ผมเคยทดลองใช้แล้วไม่ชอบใจเสียงของจานรองตัวนั้น มันทำให้ปลายเสียงขุ่น โดยรวมออกไปทางทึบไม่กังวาน เมื่อเอา Reference SE Mellow เข้าไปรองใต้เดือยแหลมของขาตั้งของ Super Linton พบว่ามันให้เสียงที่ก้าวกระโดดไปเลย.! ความเปลี่ยนแปลงของเสียงเกิดขึ้นทั้งทางด้านมหภาคและจุลภาคพร้อมกัน
ความเปลี่ยนแปลงทางด้านมหภาค หรือภาพรวมของเสียงหลังจากรอง Reference SE Mellow เข้าไปที่ใต้เดือยแหลมของขาตั้งลำโพง Super Linton พบว่าสนามเสียงลอยตัวขึ้นและแผ่ขยายออกไปรอบด้าน ชิ้นดนตรีภายในเวทีเสียงถูกเกลี่ยให้ฉีกห่างออกไปจากกันอย่างเป็นสัดเป็นส่วน แต่ละเสียงยึดฐานลงหลักปักตรึงอยู่กับตำแหน่งของตัวเองด้วยความมั่นคง แม้ในขณะที่ทุกชิ้นมีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวพร้อมๆ กัน ก็ไม่มีอาการตีรวนกันเลย แม้ว่าในขณะที่แต่ละชิ้นมีการขยับเคลื่อนไปด้วยสปีดช้า–เร็วที่ต่างกัน ก็ยังสามารถแยกแยะแต่ละชิ้นออกจากกันได้อย่างง่ายดาย การสวิงของไดนามิกก็รับรู้ได้ถึงความย้ำเน้นที่หนักแน่นมากขึ้น รวมถึงความเร็วของหัวเสียงที่ตอบสนองได้จะแจ้งมากขึ้น
ส่วนความเปลี่ยนแปลงทางด้านจุลภาคที่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดหลังจากสวมตัวรองลงไปที่ปลายเดือยแหลมของขาตั้งมันไปเกิดขึ้นกับ “ตัวเสียง” หรืออิมเมจของเสียงแต่ละเสียง ในลักษณะที่เข้าไปทำให้ “ขั้นตอน” ของ ADSR ในการเกิดขึ้น (Attack/Decay), คงอยู่ (Sustain) สลายไป (Release) ของแต่ละเสียงมีขั้นตอนที่ต่างกัน

จากภาพด้านบนนั้น กลุ่มวงกลมสีแดงทางซ้ายมือนั้น เป็นลักษณะของตัวเสียงตอนที่รองเดือยแหลมของลำโพง Super Linton ด้วยที่รองเดือยแหลมของ Audio Bastion รุ่น X-PAD Plus II (REVIEW) ที่ผมใช้อยู่เดิม ซึ่งถ้าเทียบกับแผ่นไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดที่ผมสลับใช้อยู่ด้วยกัน เจ้าตัว X-PAD Plus II ก็ให้เสียงที่ดีกว่ามาก จากเสียงที่อมๆ ทึมๆ ตอนใช้จานรองที่แถมมากับลำโพงเปลี่ยนไปทางเปิดกระจ่างมากขึ้น รายละเอียดที่เคยรกๆ หูก็ถูกจัดการให้ออกมาเป็นระเบียบมากขึ้น ถือว่า X-PAD Plus II เป็นตัวรองราคาประหยัดที่ให้ผลลัพธ์น่าพอใจมากๆ ตรงจุดสีแดงตรงกลาง (A) นั้นแทนที่ขนาด โฟกัส (แกนกลาง หรือนิวเครียส) ของตัวเสียงที่ได้จากการใช้ตัวรอง X-PAD Plus II ส่วนวงกลมที่อยู่รอบๆ ถัดไป (B – C – D) นั้นคือหางเสียงที่แผ่ออกไปจากตัวเสียงหลัก ส่วนกลุ่มวงกลมสีฟ้าที่อยู่ทางขวานั้น แสดงแทนลักษณะของตัวเสียงตอนที่ผมเปลี่ยนมาใช้ตัวรอง Reference SE Mellow ของ Life Audio โดยที่จุดสีฟ้าตรงกลาง (A) นั้นคือขนาดโฟกัส ซึ่งเป็นแกนกลางหรือนิวเครียสของตัวเสียง ซึ่งจะเห็นว่าตัวรอง Reference SE Mellow ให้โฟกัสของเสียงที่มีความควบแน่นมากเป็นพิเศษ
โฟกัสตัวเสียงของสีแดงวงใหญ่กว่า แสดงว่าให้ตัวเสียงที่มีขนาดใหญ่กว่าสีฟ้า.? ใช่ แต่โฟกัสจะเบลอ คือถ้าลำโพงยังมีอาการสั่นค้างอยู่ จะทำให้ตัวเสียงมีโฟกัสที่เบลอ เพราะเฟสจากลำโพงซ้าย-ขวาไม่ซ้อนทับกันสนิทตลอดเวลา เมื่อโฟกัสเบลอจึงทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเนื้อมวลจะบางเพราะขาดความกระชับและควบแน่น ในทางตรงข้าม ถ้าตู้ลำโพงไม่มีอาการสั่น โฟกัสของตัวเสียงก็จะนิ่งและคม ทำให้ได้มวลเสียงที่ควบแน่น ขนาดตัวเสียงจะดูเล็กกว่า แต่เนื้อเสียงแน่นกว่า เข้มข้นกว่า ไม่บางและแบน แต่มีทรวดทรงที่ขึ้นรูปเป็นสามมิติมากกว่า และมีพลังในการดีดหางเสียงให้กระจายตัวออกไปได้ไกลกว่า เมื่อทุกเสียงในเวทีเสียงมีลักษณะการเกิดขึ้นของเสียงแบบเดียวกันนี้ จะส่งผลทำให้สนามเสียงแผ่กว้างออกไปมากกว่าเพราะหางเสียงของแต่ละเสียงแผ่ออกไปได้ไกล
ทั้งๆ ที่ลำโพงทั้งสองข้างยังตั้งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมที่ผมเซ็ตอัพไว้ หลังจากเปลี่ยนตัวรอง Reference SE Mellow เข้าไป ผมพบว่า โฟกัสของตัวเสียงที่คมชัดมากอยู่แล้วกลับคมชัดมากขึ้นไปอีก เพราะบอดี้ของตัวเสียงมันมีลักษณะที่เข้มข้นมากขึ้น ขึ้นรูปชัดขึ้นและฉีกห่างจากส่วนของฮาร์มอนิกลำดับแรกออกมามากขึ้น ตัวเสียงจึงเด่นชัดมากขึ้น นอกจากนั้น ไทมิ่ง ของการเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงก็มีความแม่นยำมากขึ้นด้วย เป็นเพราะจุดสนใจในการฟังของเราพุ่งไปที่ตัวเสียงที่เป็นหัวโน๊ตโดยตรง จึงติดตามความเคลื่อนไหวของหัวโน๊ตได้ตลอดเวลา ไม่ถูกมวลฮาร์มอนิกที่วนอยู่รอบๆ ตัวเสียงดึงความสนใจไป หัวเสียงที่เป็นทรานเชี้ยนต์ก็มีความรวดเร็วและฉับพลันมากขึ้น ส่วนของหางเสียงที่เป็นเรโซแนนซ์ของเครื่องดนตรีที่แผ่กระจายออกไปก็มีลักษณะของการค่อยๆ แผ่วเบา และจางหายไปเป็นลำดับขั้น
อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจผลของตัวรอง Reference SE Mellow มากเป็นพิเศษ คือมันทำให้พื้นเสียงมีความใสขึ้น transparent มากขึ้น มีผลให้รายละเอียดของเสียงมีลักษณะที่ลอยเด่นขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วงมีเสียงเบาๆ ที่ไม่ค่อยจะได้ยินก่อนหน้านั้นถูกปลดปล่อยออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ใช่การ “ดัน” (push) เสียงให้พุ่งออกมาให้เราได้ยิน แต่เป็นการเคลียร์พื้นเสียงให้ใสลงไปจนได้ยินรายละเอียดเหล่านั้นซึ่งเคยฝัง “จม” อยู่ใต้แบ็คกราวนด์ที่ไม่มืดสนิท.. โอ้วว! ไม่น่าเชื่อว่าอุปกรณ์เสริมตัวนี้มันจะให้ผลลัพธ์ที่มากมายมหาศาลขนาดนี้..!!!
หรือผมจะฝันไป.! เอาให้ชัดอีกที..!!!


ก่อนหน้านี้ ผมโพสต์รูป Reference SE Mellow ที่ใช้งานกับลำโพง Wharfedale ‘EVO 5.4’ ลงไปในหน้าเพจเฟซบุ๊คของผม ก็มี FC ติดต่อมาว่าสนใจอยากลองแต่งบไม่ถึงรุ่น Reference SE Mellow ขอให้ผมลองทดสอบรุ่นที่มีราคาต่ำลงมาให้ด้วย ผมจึงขอตัวอย่างไปทางคุณหน่อย คุณหน่อยก็จัดส่งรุ่น Signature 2 มาให้ผมทดลองฟังเทียบกับรุ่น Reference SE Mellow ตัวนี้
รุ่น Signature 2 มีรูปลักษณ์คล้ายกับรุ่น Reference SE Mellow แต่มีขนาดเล็กกว่า ความสูงน้อยกว่าเพราะมีแค่ 2 ชั้น ผมทดลองใช้รองใต้เดือยแหลมของลำโพง Wharfedale ‘EVO 5.4’ ฟังเทียบกับรุ่น Reference SE Mellow แบบหมัดต่อหมัด (อุปกรณ์ในซิสเต็มเหมือนกันทุกชิ้น) พบว่า Signature 2 ก็ทำให้เสียงของซิสเต็มออกมาในทิศทางเดียวกับรุ่น Reference SE Mellow แต่ไม่มากเท่า

ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ผมมีอุปกรณ์ประเภทนี้ที่มักจะเอามาใช้รองใต้เดือยแหลมของชั้นวางเพาเวอร์แอมป์และขาตั้งลำโพงเพื่อปรับจูนเสียงของซิสเต็มอยู่ 2 ชุด ที่ใช้บ่อย ชุดแรกเป็นจานรองทองเหลืองกับก้อนไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ด ซึ่งผมจับแพะชนแกะขึ้นมาเอง ส่วนชุดที่สองเป็นจานรองเดือยแหลมรุ่น X-PAD Plus II เป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Audio Bastion ซึ่งผมยอมรับว่า อุปกรณ์ทั้งสองชิ้นนั้นมีส่วนช่วยจูน “โทนเสียง” ของซิสเต็มได้จริง และผมก็ใช้ในงานรีวิวมาโดยตลอด
เมื่อนำอุปกรณ์เสริมที่ผมใช้อยู่เหล่านั้นมาลองฟังเทียบกับ Signature 2 และ Reference SE Mellow โดยใช้ลำโพง Wharfedal ‘EVO 5.4‘ เป็นตัวอ้างอิง ผมพบว่า ตัวรองเดือยแหลมที่เป็นจานทองเหลือง+แผ่นไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดที่ผมประดิษฐ์ขึ้นมาเองนั้นมันมีคุณสมบัติในการทำให้ “โทนเสียง” ของซิสเต็มมีบุคลิกออกไปทางนุ่มนวล เสียงกลางจะอิ่มนวล ปลายแหลมโรยตัวไม่พุ่งเสียด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์ชิ้นนั้นก็มีผลข้างเคียงออกมาด้วย คือทำให้อัตราสวิงของไดนามิกหดแคบลงนิดนึง สปีดของทรานเชี้ยนต์ ไดนามิกช้าลงนิดนึง ซึ่งก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ได้โทนเสียงออกมาเป็นแบบนั้น เป็นสีสัน (colour) ที่หลายคนชอบ ในขณะที่ตัวรองเดือยแหลมของ X-PAD Plus II มีเจือสีสันน้อยกว่า ในขณะที่ผลของมันมุ่งไปทางปรับปรุงคุณภาพเสียงซะมากกว่า คือทำให้พื้นเสียงมีความใสมากขึ้น รายละเอียดเสียงลอยตัวขึ้นมามากขึ้น เวทีกว้างขึ้นและปลายเสียงไม่ตก ซึ่งตัว X-PAD Plus II ไม่มีผลข้างเคียงในลักษณะที่เจือสีสันแบบที่แผ่นทองเหลืองกับก้อนไม้ของผมมี แค่ว่ามีข้อจำกัดอยู่บ้างทางด้านความสามารถในการรองรับ “น้ำหนักกด” ได้ไม่มาก เนื่องจาก X-PAD Plus II ใช้วัสดุคล้ายยางที่หยุ่นตัวกับฐานอะลูมิเนียมในการสลายพลังงานสั่นสะเทือนในแนวตั้งเป็นหลัก (ทราบว่ารุ่นใหญ่ๆ ของ Audio Bastion มีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นในการสลายพลังงานสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้น แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบ)
เมื่อลองเอา X-PAD Plus II มาลองฟังเทียบกับ Signature 2 และ Reference SE Mellow ผมพบว่า อุปกรณ์เสริมทั้ง 3 ชิ้นนั้นมันส่งผลต่อเสียงของซิสเต็มไปในทิศทางเดียวกัน คือให้ผลลัพธ์ออกมาในเชิงปรับปรุงทางด้านคุณภาพเสียงโดยแทบจะไม่มีผลข้างเคียงเชิงลบออกมา ส่วนที่ต่างกันก็คือระดับของผลลัพธ์ ซึ่งพอจะทำความเข้าใจได้เมื่อพิจารณาจาก “เทคโนโลยี” ที่ใช้ในการออกแบบ กับ “ราคา” ค่าตัวของตัวอุปกรณ์ทั้งสามชิ้นนั้น
มีเรื่องน่าสังเกตอยู่ประเด็นนึ่ง ตอนที่ทดลองฟังรุ่น Signature 2 กับลำโพง Wharfedale ‘EVO 5.4’ คือตอนที่เปรียบเทียบระหว่างจานทองเหลือง+ก้อนไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดของผมกับรุ่น Signature 2 ผมพบว่า ตัว Signature 2 ให้ “โทนเสียง” ของซิสเต็มเปลี่ยนไปคนละทิศทางกับจานทองเหลือง+ก้อนไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดของผม ซึ่งแนวทางที่ Signature 2 ให้ออกมามันเป็นแนวทางที่ดีกว่ามาก เพราะว่ามันเข้าไปปรับปรุงทางด้าน “คุณภาพเสียง” มากกว่าที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงทางด้าน “โทนเสียง” ของซิสเต็ม สิ่งที่ได้ออกมาหลังจากทดลองใช้ตัว Signature 2 ก็คือเวทีเสียงลอยขึ้น ไดนามิกสวิงกว้าง ปลายเสียงแหลมแตกตัว หัวทุ้มขมวดตึง โฟกัสเข้มชัด หางเสียงแผ่กระจายไกล เป็นโทนเสียงที่เปลี่ยนไปในแนวทางที่สดกระจ่างโดยไม่มีอาการ “นุ่มเกินไป” ซึ่งถือว่าเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากก้อนไม้ที่ผมใช้ ถ้าจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความแตกต่างที่เกิดขึ้นผมว่าต้องมี 30% ขึ้นไป
เมื่อเอารุ่น Reference SE Mellow เข้าไปแทนที่รุ่น Signature 2 ผมพบว่า โทนเสียงที่ Reference SE Mellow ให้ออกมาก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับรุ่น Signature 2 แต่มี “บางอย่าง” ที่ถูกขยายขึ้นมาให้เห็นเพิ่มขึ้น ภาพรวมทางด้านเวทีเสียงต่างกันไม่เยอะ หลักๆ คือ Reference SE Mellow ให้สนามเสียงที่แผ่กว้างออกไปมากกว่า ให้พลังงานของเสียงที่แผ่ขยายมาถึงตัวมากกว่า แต่ความแตกต่างระหว่าง Reference SE Mellow กับ Signature 2 ที่เป็นสาระสำคัญจริงๆ จะอยู่ในรายละเอียดระดับ inner detail คือพอเจาะลงไปที่รายละเอียดของตัวเสียงแต่ละเสียงในเพลงที่ฟัง ผมพบว่า Reference SE Mellow มันเข้าไปคลี่คลายส่วนของ “หัวเสียง–บอดี้–หางเสียง” ของแต่ละเสียงให้มีช่องไฟของลำดับขั้นที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้การดำเนินไปของขบวนการ “เกิดขึ้น–คงอยู่–ดับไป” (ADSR) แต่ละขั้นตอนถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้ยินครบถ้วนมากขึ้น สามารถติดตามได้ทุกก้าวย่าง พูดได้ว่า Reference SE Mellow มีผลทำให้ timing ของซิสเต็มมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นนั่นเอง
สรุป
เมื่อใช้ร่วมกับลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 5.4 ผมพบว่า ตัวรองเดือยแหลมของ Life Audio รุ่น Signature 2 ให้เสียงออกมา “ดีกว่า” จานทองเหลือง+ก้อนไม้เอ็นจิเนียร์ วู๊ดของผมประมาณ 30% ส่วนรุ่น Reference SE Mellow ให้เสียง “ดีกว่า” รุ่น Signature 2 ขึ้นไปอีกประมาณ 20 – 30% ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบลักษณะเสียงที่อุปกรณ์เสริมทั้งสองตัวให้ออกมาตอนใช้มันรองใต้เดือยแหลมของลำโพงมากกว่ารองใต้อุปกรณ์เครื่องเสียงและวางทับบนหลังเครื่อง (ถ้ามีโอกาสคุณควรทดลองใช้งานและลองฟังในซิสเต็มของตัวเองด้วย)
ข้อสรุปจากการทดสอบข้างต้นผมยึดเอาที่ “คุณภาพเสียง” เป็นเกณฑ์ตัดสินโดยไม่สนใจเรื่องของ “ราคา” ขาย ถ้าตั้งคำถามว่ารุ่น Signature 2 เหมาะกับลำโพงที่มีราคาเท่าไหร่..? และรุ่น Reference SE Mellow เหมาะกับลำโพงที่มีราคาคู่ละเท่าไหร่.?? เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะมันขึ้นอยู่กับแนวคิดในการแม็ทชิ่งของแต่ละคน บางคนมีแนวคิดว่า อุปกรณ์เสริมไม่ควรมีราคาสูงกว่าอุปกรณ์หลักในซิสเต็ม ในขณะที่บางคนไม่มีกฏเกณฑ์ทางด้านราคาเข้ามาเกี่ยวข้อง อะไรที่ทำให้ได้เสียงที่ดีถูกใจทำหมด เพราะเน้นคุณภาพเสียงอย่างเดียว เรื่องนี้มันนานาจิตตังจริงๆ
แต่จากการที่ผมทดลองฟังเทียบกันโดยใช้ลำโพงคู่เดียวกัน พบว่ามีข้อเท็จจริงให้พิจารณาอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือรุ่น Reference SE Mellow ให้เสียง “ดีกว่า” รุ่น Signature 2 มากพอสมควร ซึ่งผมมีข้อแนะนำว่า ถ้าในซิสเต็มของคุณยังไม่มีอุปกรณ์เสริมชนิดนี้ใช้งานอยู่และอยากจะทดลองใช้ แนะนำว่าให้พิจารณาจากราคาของตัวรองฯ แต่ละรุ่น เทียบกับงบประมาณที่คุณจ่ายไหว เมื่อได้มาแล้ว ก็ให้มีความสุขกับเสียงโดยรวมของซิสเต็มที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องไปทดลองฟังเทียบกับรุ่นที่สูงกว่า นอกจากว่าคุณต้องการอัพเกรดตัวรองฯ นั้น
และต้องไม่ลืมว่า ก่อนจะเริ่มต้นซื้อหาอุปกรณ์เสริมใดๆ มาใช้ แนะนำให้ตรวจเช็คความ “แม็ทชิ่ง” ของอุปกรณ์ในซิสเต็มก่อน ถ้าห่วงโซ่ไหนยังไม่แม็ทฯ ยังเป็น weakest link อยู่ ก็ควรจะจัดการแม็ทชิ่งตรงจุดนั้นให้ลงตัวซะก่อน จากนั้นก็ให้ตรวจเช็คการ “เซ็ตอัพ” ปรับตั้งค่าต่างๆ รวมถึงปรับตำแหน่งวางลำโพงให้ลงตัวมากที่สุดก่อนจึงค่อยเอาอุปกรณ์เสริมเข้ามาใช้..
********************
ราคา :
รุ่น Signature 2 = 28,000 บาท / ชุด (4 ตัว)
รุ่น Reference SE Mellow = 90,000 บาท / ชุด (4 ตัว)
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Life Audio
โทร. 084-596-6262




