‘A Saucerful of Secrets’ [End] – จุติอย่างแท้จริงในนาม พิงค์ ฟลอยด์

ความแตกต่างในรอยทางเดียวกันที่พยายามค้นหาเส้นทางแตกแยกสายออกไป เพื่อจะทำให้เกิดรูปแบบหรือสไตล์สำหรับปัจจุบันและอนาคต ไม่ใช่การทิ้งอดีตแต่เป็นการเลือนจางเพื่อไปสู่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

A Saucerful of Secretsจึงเป็นคำตอบปลายเปิดของการเกิดขึ้นในมโนคติทางดนตรีแบบใหม่ แต่เชื่อมรอยต่อของอัลบั้มชุดแรกอย่างไม่ตัดขาดกัน ถือเป็นการเริ่มการเดินทางเข้าไปสู่ความไม่มีกฎตายตัวทางดนตรี คืบเคลื่อนสู่พลังขับเคลื่อนทางดนตรีของสมาชิกทั้งหมดในวงไม่ผูกติดไว้ที่ใครเพียงหนึ่งเดียว

ผลที่ออกมาก็คือ ซาวด์ดนตรีที่คล้ายการปะติดปะต่อ แต่กลับสมบูรณ์ในฐานะนวัตกรรมทางเสียงของบทเพลงในดนตรีร๊อคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อย่างที่ว่าการตัดสายทางบทเพลงของ ซิด บาร์เร็ตต์ เพื่อบรรลุสู่ก้าวย่างใหม่ บทเพลงที่บันทึกเสียงกันเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นฝีมือของซิด โดยส่วนใหญ่จะถูกละเว้นหรือคัดออกไป แต่ก็ยังนำมาตัดเป็นซิงเกิลวางจำหน่ายในนามของวงในปี 1968 (..2511) อย่างบทเพลง ‘Apples and Orangesกับ ‘Paint Boxและมีบทเพลงอื่นๆ ที่ถูกเก็บแช่แข็งเอาไว้ตลอดกาล

อัลบั้มชุดที่ 2 ของวงพิงค์ ฟลอยด์ ก็เสมือนการจุติ ซึ่งเป็นคำกริยา แปลว่า เปลี่ยนสภาพจากกำเนิดหนึ่งไปเป็นอีกกำเนิดหนึ่ง เสมือนการกลายร่างแปลงมาปรากฏในร่างดนตรีแบบใหม่อย่างน่าทึ่ง และเปิดเส้นทางต่อยอดสู่เสียงใหม่อย่างสำเร็จด้วยดี โดยเฉพาะการเขียนเพลงและการขับร้อง

ความน่าสนใจของความบังเอิญคือ วัตถุดิบในการทำเพลงมีไม่เพียงพอในอัลบั้ม ทำให้เกิดการขยายเพลงหนึ่งเพลงถึง 12 นาที เป็นการบังคับไปในตัวของการทำเพลง ซึ่งจะเห็นถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ทำให้ไปสู่ความสดใหม่อย่างไม่คาดคิด และเป็นการทดลองทางดนตรีที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ได้อย่างสมบูรณ์สง่างาม

การบันทึกเสียงกันที่สตูดิโอ แอ๊บบีย์ โรด ของอีเอ็มไอ ซึ่งเป็นต้นสังกัด และเป็นเหมือนกับบทสรุปของการขับเคลื่อนดนตรีไซเคเดลิค ร๊อค ในห้วงเวลาที่ลงตัวเหมาะสม และการสร้างสรรค์เขียนเพลงกระจายไปสู่สมาชิกคนอื่นๆ โดยเฉพาะ โรเจอร์ วอเตอร์ส ที่เข้ามามีบทบาทเป็นหลักใหญ่

หากกลับไปเลาะตะเข็บหารายละเอียดของงานอัลบั้มชุดแรก จะรู้สึกได้ถึงความเป็นใต้ดินหรืออันเดอร์กราวด์ ที่ดิบเด็ดและฟุ้งพล่าน พอมาสู่อัลบั้มชุดที่ 2 ภาพรวมมวลรวมจะจับได้ถึงริฟฟ์เบสที่โดดเด้งมีชีวิตชีวาที่แผ่ซ่านกับการทำงานเชิงสัญญะที่สวยงามของ นิค เมสัน ในซาวด์กลอง และเสียงออร์แกนของ ริค ไรต์ ที่เป็นแรงผลักกระตุ้นด้านสว่างให้ออกมา กลายเป็นแรงเหวี่ยงทางโมเมนตัมดนตรีที่เป็นการเปิดสู่อีกเส้นทางหนึ่ง

ในตอนที่แล้วได้เขียนถึงบทเพลงนำอัลบั้ม ‘A Saucerful of Secretsที่วางอยู่ในลำดับที่ 5 ไว้อย่างละเอียดยิบเรียบร้อบแล้ว

เริ่มต้นบทเพลงลำดับแรก

มาฟัง ’Let There Be More Lightซึ่งเป็นบทเพลงปิดหัวเริ่มต้นของอัลบั้มชุดนี้ ซึ่งโดยภาพรวมจะแบ่งเป็น 3 ส่วนในแบบ mini-suite โดยในพาร์ตหรือส่วนแรกเดินท่วงทำนองด้วยริฟฟ์เบสอุ้มเสียงหนาและคมดุของโรเจอร์ วอเตอร์ส แล้วค่อยๆ ตัดเข้ามาสู่ความมีชีวิตชีวาของกลุ่มดนตรีหลักอย่างยั่วเย้า สลับผลัดเปลี่ยนระหว่างการร้องแบบมาร์ชิ่งที่กลมกลืนกับท่อนดนตรี และแทรกด้วยการร้องที่หนักแน่นกว่าของ เดวิด กิลมอร์ และปิดด้วยด้วยเสียงริฟฟ์กีตาร์ที่มากทบทวีในเวลาเดียวกัน

เริ่มต้นด้วยไลน์เบสที่ย้ำซ้ำก่อนที่เสียงขับร้องจะเริ่มต้น ในท่อนแรกจะขับร้องอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนโดย ริค ไรต์ กับเสียงกระซิบแผ่วเบาของโรเจอร์ วอเตอร์ส และตามมาด้วยการร้องที่หนักหน่วงกว่ามาตัดของ เดวิด กิลมอร์

ในสองนาทีสุดท้ายของเพลงจะมีหมุดหมายที่สำคัญที่แสดงถึงตัวตนของ เดวิด กิลมอร์ ในวงพิงค์ ฟลอยด์ คือท่อนโซโล่กีตาร์ยาวยืดย้วยจนจบเพลง

สำหรับใจความหลักและความหมายของเนื้อร้อง พรรณนาถึงมโนภาพถึงการโจมตีอย่างไม่น่าเชื่อของยานอวกาศที่ฐานทัพอากาศ รอยัล แอร์ ฟอร์ซ มิลเดนฮอลล์ (RAF Mildenhall) ในซัฟโฟล์ค อังกฤษ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคมบริดจ์ ซึ่งเป็นเมืองเกิดของ โรเจอร์ วอเตอร์ส

จากปี 1950 (..2493) เป็นต้นมา ฐานทัพอากาศรอยัล แอร์ ฟอร์ซ มิลเดนฮอลล์ แห่งนี้ เป็นฐานทัพสำคัญในการสนับสนุนปฏิบัติการของกองทัพอากาศสหรัฐในยุโรป รวมถึงเป็นที่บัญชาการยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ

บทเพลงนี้ได้นำแนวคิดส่วนหนึ่งของเรื่องราวจากภาพยนตร์ ‘The Day the Earth Stood Stillในปี 1951 (..2494) เป็นภาพยนตร์แนวไซไฟ ขาวดำ ผลงานกำกับการแสดงของ โรเบิร์ต ไวส์ (Robert Wise) นำรากฐานเรื่องราวมาจากเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ที่ชื่อ Farewell to the Masteของ แฮร์รี่ เบตส์ (Harry Bates) ซึ่งออกมาในปี 1940 (..2483)

เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ คลาตู (Klaatu) เดินทางมายังโลกมนุษย์ โดยเปลี่ยนร่างตัวเองใกล้เคียงมนุษย์ และมาพร้อมกับ โกร์ต (Gort) หุ่นยนต์ขนาดมหึมา โดยมีจุดประสงค์คือการประกาศทวงคืนดาวเคราะห์ที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของ ซึ่งมนุษย์ผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันเรียกว่า “โลก” กลิ่นอายของภาพยนตร์เรื่องนี้ สะท้อนภาวะของสงครามเย็น ซึ่งเป็นผลพลอยมาจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมแนวคิดของนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ ‘Childhood’s Endเป็นเรื่องราวการบุกมาสู่โลกของมนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า แต่มาโดยสันติ เพื่อช่วยสร้างอนาคตของมนุษยชาติ มนุษย์ต่างดาวจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น มาควบคุมปรับแต่งให้มนุษย์พ้นจากจุดจบจากภัยทั้งหลายที่พวกมนุษย์เองเป็นผู้ก่อมันขึ้นมา จนสามารถมีวิวัฒนาการไปสู่สิ่งที่เหนือกว่าขึ้นไปสู่สังคมยูโทเปีย แต่ลึกๆ ลงไปนั้น จุดมุ่งหมายของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจของมนุษย์จำนวนหนึ่ง ว่าจริงๆ แล้วมีวัตถุประสงค์อะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่?

นวนิยายไซไฟเรื่องนี้ประพันธ์โดย อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ซึ่งเป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผลงานของเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่นิยายชุด ‘จอมจักรวาล(Space Odyssey) และชุด ‘ดุจดั่งอวตาร(Rendezvous with Rama)

ผลงานเขียนนวนิยายของคลาร์ก มีความริเริ่มสร้างสรรค์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน สิ่งประดิษฐ์จำนวนมากได้แรงบันดาลใจจากนิยายของคลาร์ก เช่น ดาวเทียม การสำรวจอวกาศ ลิฟต์อวกาศ

จุดสำคัญที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับบทเพลงนี้ ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากภาพยนตร์ไซไฟและนวนิยายวิทยาศาสตร์ 2 เรื่องข้างต้น ก็ยังมีรหัสนัยการซ่อนเร้นอย่างคลุมเครือเกี่ยวกับกับเหตุการณ์ ‘Hereward the Wakeการก่อขบถครั้งสำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ของอังกฤษ ซึ่งชาวพื้นเมืองแองโกลแซกซัน ลุกขึ้นมาต่อต้านผู้ครอบครองคือชาวนอร์มัน เพื่อปลดแอกการปกครอง นับเป็นการแสดงความคิดเกี่ยวกับการเมืองผ่านบทเพลงที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมาของ โรเจอร์ วอเตอร์ส รวมถึงมีความพยายามบอกว่าบทเพลงนี้เลียนอย่างบทเพลง ‘Lucy in the Sky with Diamondsของวง เดอะ บีเทิลส์ (the Beatles)

บทเพลงลำดับที่ 2

Remember a Dayซึ่งเขียนเพลงและขับร้องโดยมือคีย์บอร์ด ริค ไรต์ ซึ่งมี ซิด บาร์เร็ตต์ มาร่วมร้องเล่นกีตาร์ ทั้งสไลด์และลีดกีตาร์ รวมถึงเอฟเฟ็คต์ต่างๆ มีท่วงทำนองที่ไพเราะสละสลวยด้วยเสียงเปียโนสวยกังวานเหนือจังหวะที่เข้มแข็งผ่านการเดินเบสของโรเจอร์ วอเตอร์ส และกลองที่ตีโดย นิค เมสัน

เปิดด้วยการสไลด์ที่หลอนลอย ตามด้วยชิ้นเสียงเปียโนที่เศร้าโศกของ ริค ไรต์ กลองระรัวกระตุ้น และเสียงร้องที่พุ่งทะยานขึ้นมา การเขียนเนื้อร้องและการขับร้องดีพร้อมสมบูรณ์แบบ เสียงสไลด์กีตาร์พาใจลอยล่องผสมกับเสียงร้องที่แหบห้าวอย่างไม่แปลกปลอม ถือเป็นบทเพลงมาสเตอร์พีซ หรืองานชั้นเยี่ยมของยุคไซเคเดลิค

Remember a Dayเป็นบทเพลงที่ถูกนำมาแสดงสดในคอนเสิร์ตเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกในการอังกอร์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1968 (..2511) และอีก 40 ปีต่อมา ในเดือนกันยายน ปี 2008 (..2551) ด้วยความทรงจำของ เดวิด กิลมอร์ ที่มีต่อ ริค ไรต์ ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

บทเพลงที่ฟุ้งฝันงดงาม เนื้อร้องประดุจบทกวี ซึ่งสื่อความหมายเกี่ยวกับการถวิลหาวันชื่นคืนสุขของสรวงสวรรค์ช่วงต้นวัยเด็กที่สูญหายไปหมดแล้วโดยสิ้นเชิง เป็นความสุขที่แสนเศร้า แต่ไม่ไร้ซึ่งความหวัง

ข้อที่น่าสังเกตคือบทเพลงนี้ไม่ค่อยถูกหยิบมาใช้แสดงสดของวงพิงค์ ฟลอยด์ เลย มันเหมือนกับการทำให้ถูกลืมไปอย่างแท้จริงจากยุคก่อน ที่วงต้องเลือกเอาระหว่างเส้นทางใหม่กับดนตรีในแบบบริติชพ๊อพ และไซเคเดลิค ซึ่งแน่นอนพวกเขาต้องเลือกและไม่สามารถเหยียบเรือสองแคมหรือกางสองขาได้ บทเพลงนี้จึงถูกลืมเลือนไว้ข้างหลังในเวลาต่อมา

………………..

บทเพลงลำดับที่ 3

Set the Controls for the Heart of the Sunบทเพลงลำดับที่ 3 ในอัลบั้ม และเป็นเพลงเดียวเดี่ยวโดดที่สมาชิกทั้งหมดของวงพิงค์ ฟลอยด์ ทั้ง 5 คน มีรายชื่อทำงานในบทเพลงนี้ เริ่มต้นด้วยการเล่นและบันทึกเสียงโดย ซิดบาร์เร็ตต์ในปี 1967 (..2510) ต่อมาเดวิด กิลมอร์ ก็มาอัดกีตาร์ทับซ้อนลงไป เขียนเนื้อร้องโดย โรเจอร์ วอเตอร์ส โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือบทกวีนิพนธ์ของจีนโบราณ

ริค ไรต์ ใช้ฟาร์ฟิซา ออร์แกน ของอิตาลี ซึ่งเป็นต้นแบบของซินธิไซเซอร์ในยุคต่อมา สามารถสร้างซาวด์ที่หนักแน่นและให้อารมณ์ความรู้สึกแบบตะวันออก รวมถึงเสียงระนาดเหล็กไวบราโฟน ที่ให้เสียงก้องกังวานที่โน้มเอียงนำไปสู่ความรู้สึกของเสียงสวดของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ

ว่าไปแล้วเป็นบทเพลงที่คล้ายกับนำพาสู่ความเคลิบเคลิ้มของภวังค์แห่งการสะกดจิตสู่ดวงสุริยะ ชื่อเพลงเหมือนจะเป็นชื่อนวนิยายวิทยาสาสตร์ แต่ความเป็นจริงแล้วมีแรงบันดาลใจมาจากกวีนิพนธ์จีนโบราณ คำร้องที่เขียนขึ้นของ โรเจอร์ วอเตอร์ส นั้นน่าทึ่งและอธิบายยาก ประดุจจังหวะเต้นของหัวใจและเกือบจะอธิบายไม่ได้

ในหนังสือ ‘Pink Floyd – through the eyes ofซึ่งเขียนโดย บรูโน แมคโดนัลด์ (Bruno McDonald) ได้ให้ข้อมูลถึงบทเพลงนี้ว่า โรเจอร์ วอเตอร์ส ยอมรับว่าได้นำบทกวีนิพนธ์จากหนังสือรวมบทกวีนิพนธ์จีนในสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งแปลโดย เอ.ซี.แกรห์ม (A.C. Graham) ทราบทีหลังว่าเป็นบทกวีในช่วงปลายราชวงศ์ ของกวีที่ชื่อ Li He กับ Li Shangyin ซึ่งในความหมายของบทเพลงต้องการที่จะสื่อความเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายของนักบินอวกาศ ด้วยการนำยานอวกาศบินเข้าสู่ดวงอาทิตย์และถูกเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่าน

………………..

บทเพลงลำดับที่ 4

บทเพลงลำดับที่ 4 ‘Corporal Cleggถือว่าเป็นบทเพลงแรกของพิงค์ ฟลอยด์ ที่วางธีมเกี่ยวกับสงคราม ซึ่งโรเจอร์ วอเตอร์ส เขียนขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพ่อของเขา ในชั้นเชิงทางดนตรี เป็นบทเพลงลักษณะเฉพาะของเสียงกีตาร์ที่ใช้เอฟเฟ็คต์วาห์วาห์ได้อย่างดีเยี่ยม และต่อเนื่องด้วยความไพเราะสละสลวยของเสียงออร์แกนก่อนที่มาตัดด้วยกลุ่มเสียงของ คาซู เครื่องเป่าที่ให้ความเพลิดเพลินโสตอย่างผ่อนคลาย เสียงร้องนำของ นิค เมสัน โดดเด่นด้วยความฟุ้งฝันล่องลอยและไม่ต่อเนื่อง

เนื้อร้องในบทเพลงนี้สื่อถึงโรคเครียดจากการรบในสงคราม หรือโรคประสาทเนื่องจากประสบการณ์เลวร้ายในสงครามของทหารที่สูญเสียขาของเขาในสงครามโลกครั้งที่ 2 และภรรยาซึ่งเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยเนื้อเพลงพรรณนาถึงเหรียญที่มีแถบริ้วสีส้ม แดง และน้ำเงิน ซึ่งอาจจะหมายถึง the Burma Star เหรียญตราเชิดชูเกียรติของกองทัพสหราชอาณาจักรที่มอบให้ทหารในเดือนพฤษภาคม ปี 1945 (..2488) เพื่อเป็นรางวัลและขวัญกำลังใจกองทัพเครือจักรภพหรือคอมมอนเวลธ์ และอังกฤษ ซึ่งรับใช้ชาติในปฏิบัติการทางทหารในพม่าจากปี 1941-1945 (..2484-2488) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

โรเจอร์ วอเตอร์ส บอกกับนิตยสาร Mojo ว่า บทเพลงนี้คืออัตชีวประวัติของเขาเอง เขาอธิบายว่า ‘Corporal Cleggเกี่ยวพันเชื่อมโยงถึงพ่อของเขาในการที่ต้องเสียสละช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันค่อนข้างจะเสียดสี แนวความคิดหรือไอเดียที่เป็นขาไม้ก็หมายถึงบางสิ่งที่ได้รับมาจากสงครามที่ชนะมา เหมือนถ้วยรางวัล

เนื้อร้องในเพลงนี้ค่อนข้างที่จะดำมืดและขันขื่นผ่านโทนเสียงร้องที่แหบห้าว และการประสานเสียงหลอนลอย และมีการหาที่มาของชื่อเพลงที่มีคำว่า Clegg อาจจะเป็นการนำชื่อของ ธาดดีอุส ฟอน เคล็กก์ (Thaddeus von Clegg) ช่างทำนาฬิกาชาวเยอรมันที่ประดิษฐ์เครื่องดนตรีคาซู ในช่วงทศวรรษที่ 1840 และเสียงจากคาซูถูกนำมาใช้ในเพลงนี้ และทีสำคัญเป็นเพลงเดียวที่มือกลอง นิค เมสัน เป็นคนร้องนำ

………………..

คงไม่ต้องกล่าวถึงบทเพลงนำอัลบั้มในลำดับที่ 5 มากมายนักเพราะร่ายรายละเอียดในตอนที่ 2 ไปเต็มที่แล้ว ‘A Saucerful of Secretsแสดงให้เห็นถึงการทดลองทางดนตรีในรูปแบบอวองต์การ์ด เกือบ 12 นาที โดยแยกเป็น 4 พาร์ต ซึ่งจะค่อยๆ คืบคลานลากเรื่อยไปสู่ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างน่าขนลุก แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาการเข้าสู่การทดลองทางดนตรีที่มากที่สุดและยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน คลุมเครือเหมือนเดินอยู่ในหมอกควันทั้งตัวงานและคนฟัง

………………..

บทเพลงลำดับที่ 6

See-Sawเป็นเพลงที่ 2 ที่เขียนและร้องโดย ริค ไรต์ และเสริมเพิ่มด้วยธีมเสียงคล้ายเด็ก บทเพลงที่บอกเล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากเป็นทุกข์ของพี่ชายกับน้องสาว การเล่นกีตาร์อคูสติคที่ก้องดัง และเสียงกีตาร์ไฟฟ้าที่เนิบอิ่มสบายอารมณ์ กับการร้องประสานที่หนักแน่น เคียงคู่ไปเสียงสะท้อนล้อไล่ของไวบราโฟน ระนาดโลหะขนาดใหญ่ และไซโลโฟน หรือระนาดไม้ขนาดเล็กของเครื่องดนตรีตะวันตก เสียงเมลโลโทรนที่แน่นหนา ถ่ายเทอารมณ์ความรู้สึกที่พองโต

………………..

บทเพลงปิดท้าย

Jugband Bluesเป็นเพลงเดียวที่เขียนและร้องโดย ซิด บาร์เร็ตต์ ที่ถูกนำมาบรรจุไว้เป็นเพลงสุดท้ายเพื่อการอำลาทิ้งท้าย บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ยังอยู่ในความทรงจำมากที่สุดของเขา ซึ่งแสดงถึงตัวตนที่เด่นชัดและร้องถึงจุดที่สิ้นสุดสูญสิ้นของตัวเขาเอง

เนื้อร้องท่อนหนึ่งของบทเพลงนี้ ซิด บาร์เร็ตต์ อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาได้อย่างถ่องแท้ “ฉันถูกบังคับอย่างมากที่สุด เธอทำให้มันชัดเจน นั่นคือฉันไม่อยู่ที่นี่ และฉันงงงวยว่าใครกำลังเขียนเพลงนี้” ดังคำจารึกบนแผ่นหินหน้าหลุมฝังศพของเขาที่เขียนว่า “and I’m wondering who could be writing this song…

เหมือนช่วงสั้นๆ ที่เขาครอบงำทุกอย่างภายในวง กับฐานะผู้นำในการเขียนเพลงและดนตรี นี่คือลายเซ็นดนตรีของวงที่กำลังเลือนจางหายไปอย่างช้าๆ เสียงร้องเทเนอร์ของซิด พร้อมเสียงตีคอร์ดกีตาร์อคูสติคที่ค่อยๆ เบาเสียงลงไปและเข้าสู่ความเงียบงันในท้ายที่สุด เป็นการอำลาที่น่าขนลุก ความยุ่งเหยิงของเนื้อร้อง การขับร้องที่คล้ายสัตว์บาดเจ็บ

ปีเตอร์ เจนเนอร์ (Peter Jenner) ผู้จัดการวงพิงค์ ฟลอยด์ เรียกบทเพลง ‘Jugband Bluesนี้ว่า บทเพลงที่พิเศษเฉพาะ มันคือการวินิจฉัยสรุปตัวเองได้ดีที่สุดในสภาวการณ์ของการเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) หรือกลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของความคิด ทำให้ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เป็นภาพพอร์ตเทรตหรือภาพเหมือนครึ่งตัวของความประสาทแดกสติแตกกระจัดกระจาย

ผมคิดว่าจิตแพทย์ทุกคนควรฟังเพลงเหล่านี้ของ ซิด บาร์เร็ตต์ คือ ‘Jugband Blues’, ‘Scream Thy Last Screamและ ‘Vegetable Manซึ่งสามารถเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรของวิทยาลัยทางการแพทย์เหมือนกับการศึกษาอาการทางจิตของ วินเซนต์ ฟาน โก๊ะ ผ่านภาพฝูงอีกา (The Crows)

การที่ซิด บาร์เร็ตต์ จมดิ่งลงสู่เพ้อคลั่งในสภาพของจิตใจที่บิดเบือนเลอะเลือน ยิ่งหนักข้อรุนแรงขึ้นด้วยลักษณะแปลกแยกวิกลจริต รู้สึกว่าตัวเองเหินห่างเหมือนมาจากนอกโลก (alienation) แตกต่างจากเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ เนื้อร้องของบทเพลงเพลงถ้าตีความตามปกติก็หมายถึงภาวะสะท้อนกลับที่เกิดขึ้นกับอาการจิตเภทของเขา

แต่ก็มีข้อโต้แย้งจาก แอนดริว คิง (Andrew King) ผู้จัดการร่วมของวงพิงค์ ฟลอยด์ บอกถึงบทเพลงนี้ว่า มันเหมือนมาจากนอกโลกมากที่สุด เนื้อร้องมีความพิเศษจำเพาะ มันไม่ใช่บุคลิกลักษณะและที่ทางของวง มันคือเพลงที่มีที่ทางบนโลกใบนี้ทั้งหมด มันสมบูรณ์แบบจนไม่ถูกตัดออกไป

อย่างไรอะไรเกิดขึ้นก็ตามแต่ ทุกอย่างก็แค่สิ่งที่ผ่านพ้นมาจากอดีต แต่ที่แน่ๆ อัลบั้ม ‘A Saucerful of Secretsคืออัลบั้มที่เป็นรากฐานหรือรากเหง้า ซึ่งนำไปสู่ความเป็นดนตรีโปรเกรสสีฟ ร๊อค แบบพิงค์ฟลอยด์ อย่างดีเลิศเยี่ยมยุทธ์ในเวลาต่อมา…

พอล เฮง
paulheng_2000@yahoo.com

************
ย้อนกลับไปอ่าน
– ‘A Saucerful of Secrets’ [Part I] – เดินสู่ทางสองแพร่ง.. แผ้วถางทางสู่เสียงแห่ง Pink Floyd
– ‘A Saucerful of Secrets’ [Part II] – ส่งผ่านยุคไซเคเดลิค ร็อค สู่มโนคติใหม่ทางดนตรี

mm

About พอล เฮง

นักวิพากษ์-นักวิจารณ์ที่ชอบขุดคุ้ยสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเพลงออกมาตีแผ่

View all posts by พอล เฮง