รีวิวเครื่องเสียง NuPrime รุ่น Evolution DAC

นับวัน ชิป DAC รุ่นใหม่ๆ จะพัฒนาประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นชิป SABRE 32-bit เบอร์ ES9038PRO ซึ่งเป็น DAC ชิปรุ่นใหญ่สุดระดับ flagship ตัวล่าสุดของค่าย ESS Technology ซึ่งเป็นชิปที่มี 8 แชนเนลอยู่ในตัวเดียวกัน ให้ไดนามิกเร้นจ์ของแต่ละแชนเนลได้สูงถึง 132dB เมื่อใช้งานแยกเป็น 8 แชนเนล และจะให้ไดนามิกเร้นจ์ขึ้นไปสูงถึง 140dB ถ้าเอาทั้ง 8 แชนเนลมาต่อพ่วงกันเพื่อใช้งานในโหมด mono ส่วนสเปคฯ ทางด้าน THD+Noise ก็ต่ำมาก วัดได้แค่ -122dB เท่านั้น ซึ่งถือว่า ES9038PRO เป็นชิป DAC ที่ให้สเปคฯ สูงสุดในปัจจุบัน

ความสามารถในการตอบสนองไดนามิกเร้นจ์ที่สวิงได้สูง บวกกับ noise ที่ต่ำมาก ทำให้ชิป DAC ของ ESS Technology ตัวนี้สามารถเปิดรับสัญญาณดิจิตัลอินพุตได้สูงและแปลงมันออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกได้อย่างมีคุณภาพ สำหรับฟอร์แม็ต PCM สามารถรองรับแซมปลิ้งได้สูงถึง 768kHz ที่ความละเอียดของสัญญาณสูงสุดถึง 32-bit และสามารถรองรับสัญญาณ DSD ที่เป็นฟอร์แม็ต DoP ได้สูงถึงระดับ DSD256 แต่ถ้าเป็นสัญญาณ DSD ที่เข้ามาในโหมด native คือเป็นกระแสสัญญาณ DSD เพียวๆ ตรงๆ จะรองรับได้สูงถึง DSD1024 เลยทีเดียว.!!

NuPrime : Evolution DAC
external DAC ที่ยกมาตรฐานขึ้นไปอีกขั้น.!

แม้ว่า Evolution DAC ของ NuPrime ตัวนี้จะไม่ใช่ external DAC ตัวแรกที่ใช้ชิป ES9038 แต่พูดได้ว่า Evolution DAC เป็น external DAC ตัวแรกที่ใช้ชิป ES9038PRO และได้รับการออกแบบเพื่อดึงประสิทธิภาพจากชิป ES9038PRO ออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ชิป DAC ตัวนี้จะให้ได้.!

พิถีพิถันกันทุกจุด!

ความพิเศษในการออกแบบ Evolution DAC จะไม่ถูกบ่งบอกไว้ที่ด้านนอก แต่มันได้ถูกอัดแน่นอยู่ภายในตัวถังที่มีลักษณะบางๆ นั้น

เริ่มตั้งแต่ไฟเอซีที่จะดึงจากภายนอกเข้ามาเพื่อใช้หล่อเลี้ยงการทำงานของภาค DAC ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง เพราะมันส่งผลกับคุณภาพเสียงของภาค DAC อย่างมาก วิศวกรของทาง NuPrime ได้ออกแบบวงจรเอซี ฟิลเตอร์ (กรอบสีเหลือง) ขึ้นมาใช้เพื่อกรองสัญญาณรบกวนในย่านความถี่สูงที่ปนเข้ามากับไฟเอซี อย่างพวกสัญญาณคลื่น RFI และ EMI ซึ่งวงจร AC Filter ของ Evolution DAC ตัวนี้สามารถกรองสัญญาณรบกวนที่ความถี่สูงตั้งแต่ 100kHz ขึ้นไปถึง 5MHz ลงไปได้มากถึง 20dB เป็นอย่างต่ำ

หลังจากไฟเอซีถูกกรองจนสะอาดแล้ว มันจะถูกส่งไปเข้าสู่ภาค AC Power Supply (กรอบสีส้ม) ที่ออกแบบโดยใช้ทรานฟอร์เมอร์แบบแกนตัวซี (C-core) ซึ่งเป็นหม้อแปลงที่เกิดการสะสมของสนามแม่เหล็กขณะทำงาน น้อยกว่าทรานฟอร์เมอร์แบบวงแหวนที่มักจะใช้กันอยู่โดยทั่วไป นอกจากนั้น พวกเขายังใช้กล่องสแตนเลสครอบวงจรของภาคเพาเวอร์ซัพพลายเอาไว้ด้วย เพื่อชีลด์ป้องกันสัญญาณรบกวนที่เกิดจากการทำงานของภาคเพาเวอร์ซัพพลายเอง ไม่ให้แพร่กระจายไปสร้างปัญหาให้กับวงจรส่วนอื่นๆ ตัวคาปาซิเตอร์ที่ใช้เก็บประจุก็เป็นแบบที่คัดมาพิเศษ มีความจุสูงถึง 70,000 ไมโครฟารัด (กรอบสีแดง) เพื่อสำรองไฟจ่ายให้กับวงจรอิเล็กทรอนิคที่ทำงานในส่วนของอะนาลอกและดิจิตัลได้อย่างเพียงพอและนิ่งที่สุด

ในส่วนของภาค analog output ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อคุณภาพเสียงของ DAC ทุกตัวก็ไม่ได้ถูกละเลย วิศวกรของ NuPrime เลือกใช้ทรานซิสเตอร์แบบ discrete แยกสองตัว (กรอบสีเขียว) ทำหน้าที่ขยายสัญญาณอะนาลอกที่รับมาจากชิป DAC เพื่อป้อนให้กับช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุต XLR และ RCA ของ Evolution DAC ซึ่งคนออกแบบ DAC ตัวนี้ได้ซ่อนความสนุกไว้อย่างหนึ่งเกี่ยวกับ Opamp เอ๊าต์พุต พวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ที่มีความสามารถเชิงช่างระดับพื้นฐานสามารถถอดเปลี่ยนอ๊อปแอมป์ที่ใช้ในภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตเพื่อเปลี่ยนโทนเสียงไปตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ด้วย (ถ้าไม่มีความสามารถเชิงช่างอิเล็กทรอนิคมาก่อน แนะนำให้ปรึกษาตัวแทนจำหน่ายก่อนลงมือ)

ES9038PRO ที่ใช้ใน Evolution DAC ตัวนี้ (กรอบสีฟ้า) เป็นหนึ่งในชิป DAC ที่มีความสามารถสูงมากที่สุดตัวหนึ่งในปัจจุบัน และพื้นฐานการออกแบบของมันก็เปิดช่องให้ผู้ออกแบบ DAC สามารถเจาะเข้าไปดึงความสามารถในแง่ต่างๆ ของมันออกมาใช้ได้หลากหลาย ทำให้วิศวกรของ NuPrime สามารถออกแบบฟังท์ชั่นพิเศษขึ้นมาใช้งานร่วมกับชิป DAC ตัวนี้ได้หลายฟังท์ชั่นที่ไม่ค่อยได้พบเห็นในอุปกรณ์ external DAC ตัวอื่น อาทิเช่น ฟังท์ชั่น PSRC ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับเลือกการทำ Over Sampling ให้กับสัญญาณดิจิตัลอินพุตได้ กับอีกฟังท์ชั่นที่ได้ประโยชน์มาก นั่นคือผู้ใช้สามารถเลือก gain ของภาค analog output ได้ แต่ก่อนจะไปดูในรายละเอียดและการใช้งานของฟังท์ชั่นเหล่านี้ เราไปดูรูปร่างหน้าตาของ Evolution DAC กันก่อนดีกว่า

แบนๆ แต่ทั้งหนักและแน่น.!

เพราะวงจรภายในถูกออกแบบให้เรียงตัวอยู่ในแนวระนาบทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนซ้อนทับกันในแนวดิ่งเลย ส่งผลให้ตัวถังเครื่องของ ext.DAC ตัวนี้มาในรูปทรงที่แบนบาง ความสูงของตัวเครื่องอยู่ที่ 55 .. (ประมาณ 2.2 นิ้ว) เท่านั้น แต่ความกว้างก็เท่ากับเครื่องมาตรฐานคือ 430 .. หรือประมาณ 17.2 นิ้ว ส่วนความลึกคือ 315 .. วัดเป็นหน่วยนิ้วก็ประมาณ 12.6 นิ้ว ก็ใกล้เคียงกับเครื่องมาตรฐานทั่วไปเหมือนกัน

แผงหน้าเรียบง่าย ดีไซน์เก๋

A & C = ปุ่มมัลติฟังท์ชั่น
B = จอแสดงผล

ดีไซน์หน้าตาของ Evolution DAC จัดว่าหล่อเหลาเอาการ มาในสไตล์ minimalist คือมีให้แค่เพียงพอกับการใช้งานจริง เมื่อมองหน้าตรงเข้าไปที่ตัวเครื่อง จะพบว่าบนแผงหน้าของ Evolution DAC ตัวนี้มีปุ่มรูปทรงกลมแบนอยู่ 2 ปุ่ม ขนาดเท่ากัน แยกกันไปติดตั้งอยู่เกือบจะสุดขอบทางด้านซ้ายและขวาของแผงหน้า ส่วนตรงกลางจะมีจอแสดงผลขนาดกว้าง 6 นิ้ว x สูง 1 นิ้ว ฝังตัวอยู่

เมื่อหันหน้ามองตรงเข้าไปที่ตัวเครื่อง ปุ่มทางซ้าย (A) จะทำหน้าที่ 3 หน้าที่ คือ (1) เปิด on เพื่อใช้งานและหยุดใช้งานเข้าโหมด standby > ด้วยการกดลงไปบนตัวปุ่มค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที เมื่อกดปิดเครื่องเข้าโหมด standby บนจอแสดงผลจะมีดวงไฟสีฟ้าสว่างขึ้นหนึ่งดวง เมื่อกดเปิดใช้งาน ไฟดวงนี้จะหายไปแล้วหน้าจอจะแสดงข้อมูลต่างๆ ขึ้นมา, (2) ใช้เลือกอินพุต > ด้วยการหมุนตามเข็มหรือทวนเข็มก็ได้ และ (3) เมื่ออยู่ในโหมดเมนู ปุ่มนี้ใช้เลือกหัวข้อเมนู > ด้วยการหมุนตามเข็ม หรือทวนเข็มก็ได้ ในขณะที่ปุ่มทางขวา (C) ก็มีหน้าที่ 3 อย่างเหมือนกัน คือ (1) หยุดเสียงชั่วคราวหรือ mute > ด้วยการกดลงไปบนตัวปุ่มค้างไว้ 2-3 วินาที และเมื่อต้องการปิดการทำงานของฟังท์ชั่น mute ก็กดซ้ำค้างไว้เหมือนตอนเปิด, (2) ใช้ปรับระดับวอลลุ่ม > ด้วยการหมุนตามเข็มเมื่อต้องการเพิ่มวอลลุ่ม และหมุนทวนเข็มเมื่อต้องการลดวอลลุ่ม และ (3) เปิดเข้าใช้เมนู > ด้วยการกดลงไปบนปุ่มเบาๆ เมื่อเลือกหัวข้อย่อยที่ต้องการในเมนูด้วยปุ่ม A แล้ว ให้กดลงไปบนปุ่ม C เพื่อยืนยันการเลือกอีกครั้ง

จอแสดงผล (B) ของ DAC ตัวนี้ใช้วิธีแสดงผลด้วย dot matrix สีฟ้าที่เรียงตัวกันขึ้นมาบนจอเป็นตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งข้อมูลที่แสดงผลมีอยู่ 3 ส่วน หลักๆ ส่วนแรกคือ อินพุตที่กำลังใช้งาน (กรอบสีแดง), ส่วนที่สองคือ ระดับวอลลุ่มที่กำลังใช้งาน (กรอบสีฟ้า) และส่วนที่สามคือ รายละเอียดของสัญญาณอินพุต” (กรอบสีเขียว) ซึ่งมีข้อมูลสองอย่างที่แสดงออกมาตรงนี้ อย่างแรกคือ ฟอร์แม็ตของสัญญาณเสียงที่ป้อนเข้ามาทางอินพุต ซึ่งมีอยู่ 3 ฟอร์แม็ตคือ PCM, DSD และ MQA กับอีกอย่างคืออัตรา sampling rate ของสัญญาณอินพุตนั้น อย่างเช่น PCM 44.1K หรือ DSD64 อย่างนี้เป็นต้น

บั้นท้าย.. แหล่งรวมของอินพุตและเอ๊าต์พุต

D = ขั้วต่อไฟเอซี และสวิทช์เมน
E = ส่วนของดิจิตัล อินพุต
F = ส่วนของอะนาลอก เอ๊าต์พุต

Evolution DAC ตัวนี้มีให้เลือกใช้เฉพาะอินพุต digital (E) ไม่มีอินพุตอะนาลอก นับรวมอินพุตทั้งหมดได้ 7 ช่อง ได้แก่ Optical กับ Coaxial อย่างละสองช่อง ที่เหลืออีกสามช่องคือ AES/EBU, I2S และ USB อย่างละหนึ่งช่อง ส่วนช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอก (F) มีมาให้เลือกใช้ 2 ชุด แยกเป็นช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์ ผ่านขั้วต่อ XLR หนึ่งชุด กับช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอก ซิงเกิ้ลเอ็นด์ ผ่านขั้วต่อ RCA อีกหนึ่งช่อง

ช่องเอ๊าต์พุตทั้งบาลานซ์และซิงเกิ้ลเอ็นด์จะมีสัญญาณออกตลอด ที่ช่องเอ๊าต์พุต XLR ทางผู้ผลิตทำการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงเข้ากับขั้วต่อ XLR ด้วยมาตรฐานที่ใช้ขา หรือ Pin หมายเลข 2 เชื่อมต่อกับสัญญาณเฟสบวก (+) และใช้ขา 3 เชื่อมต่อกับสัญญาณเฟสลบ () ส่วนกราวนด์ต่อกับขา 1 กรณีถ้าคุณนำ Evolution DAC ตัวนี้ไปใช้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้มาตรฐานของขั้วต่อ XLR เป็นแบบที่ใช้ขา 3 ต่อกับสัญญาณซีกบวก และใช้ขา 2 ต่อกับสัญญาณซีกลบ อย่างเช่นเครื่องที่ใช้การเชื่อมต่อตามมาตรฐานของญี่ปุ่น คุณสามารถปรับแก้ไขการเชื่อมต่อสัญญาณให้ตรงเฟสได้โดยไม่ต้องไปยุ่งกับสายสัญญาณ ให้เข้าไปทำการสลับการเชื่อมต่อระหว่างขา 2 กับขา 3 ได้ในเมนูของเครื่อง ที่หัวข้อ “Output Phaseโดยเลือกเป็น “Normalกรณีที่คุณต้องการเชื่อมต่อสัญญาณซีก + ที่ขา 2 หรือเลือกเป็น “Invertถ้าต้องการต่อสัญญาณ + ไปที่ขา 3

digital inputs

โดยปกติแล้ว ถ้าเป็น ext.DAC ตัวอื่นทั่วไป เกือบทั้ง 100% ที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้ ผู้ผลิต ext.DAC เหล่านั้นมักจะเลือกใช้ช่องดิจิตัล อินพุต USB เป็นช่องอินพุตระดับพรีเมี่ยมที่มีประสิทธิภาพในการรองรับกับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้สูงสุด คือตั้งใจทำออกมารองรับสัญญาณระดับ digital Hi-Res โดยเฉพาะ ส่วนช่องดิจิตัล อินพุตอื่นๆ อาทิเช่น AES/EBU, Coaxial และ Optical ก็จะให้มาเป็นตัวสำรองเพื่อรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตที่มีสเปคฯ ระดับต่ำลงไป

แต่ Evolution DAC ของ NuPrime ตัวนี้มันแหกกฏ.!! สมชื่อ Evolution จริงๆ คือแทนที่จะใช้ช่องอินพุต USB เป็นช่องที่มีความสามารถสูงสุดในการรองรับสัญญาณ แต่พวกเขากลับไปเลือกเอาช่อง Coaxial ให้ทำหน้าที่เป็น “premium inputแทน คืออัดประสิทธิภาพในการรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตให้กับช่อง Coaxial ทั้งสองช่องของ Evolution DAC แบบเต็มสูบ ให้มีความสามารถในการรองรับกับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้สูงสุด คือสูงกว่าอินพุตอื่นๆ ของมัน คือรองรับสัญญาณ PCM ได้ตั้งแต่ระดับ 44.1kHz ขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกขั้นจนถึงระดับสูงสุดที่ 768kHz และรองรับสัญญาณ DSD ได้ตั้งแต่ระดับ DSD2.8 (หรือ DSD64) ขึ้นไปเรื่อยๆ เรียงลำดับขึ้นไปทุกขั้นคือ DSD5.6, DSD11.2 และสูงสุดที่ DSD22.6 ในขณะที่อินพุต USB กับอินพุต I2S จะมีบทบาทรองลงไปจากช่อง Coaxial

ทำแบบนี้ต้องมีเหตุผล เพื่ออะไร จะไปเอาสัญญาณ Hi-Res สูงๆ ระดับนั้นมาจากไหน.? เดี๋ยวเราไปดูกันตอนทดสอบเสียงด้วยการทดลองเล่นจริง..

มี Analog Output ให้เลือก 3 รูปแบบ

สัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์ทางช่องบาลานซ์ XLR ของ Evolution DAC ตัวนี้มีความแรงของเกนสัญญาณสูงกว่าช่องเอ๊าต์พุต RCA อยู่ 2 เท่า และที่พิเศษมากคือ ทั้งสองช่องนี้มีอ๊อปชั่นให้คุณเลือกลักษณะของเกนสัญญาณได้ 3 รูปแบบ คือ

VARIABLE = สามารถปรับระดับความดังของสัญญาณเอ๊าต์พุตได้ ผ่านวอลลุ่มที่ควบคุมด้วยปุ่มหมุนตัวขวามือบนหน้าปัด หรือจากรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ ซึ่งมีระดับวอลลุ่มมาให้ปรับใช้ตั้งแต่ 0 คือเงียบสนิทขึ้นไปจนถึง 99 คือดังมากสุด ถ้าใช้อ๊อปชั่นนี้กับช่อง XLR ที่ระดับความแรงสูงสุดของสัญญาณที่ 99 จะอยู่ที่ 8V RMS ส่วนทางช่อง RCA เกนสูงสุดจะอยู่ที่ 4V RMS ซึ่งอ๊อปชั่นนี้เหมาะสำหรับใช้ต่อตรงเข้ากับเพาเวอร์แอมป์

FIX = ปล่อยสัญญาณเอ๊าต์พุตออกมาด้วยความแรงเต็มสูบ 100% แบบคงที่ คือถ้าใช้เอ๊าต์พุต XLR จะได้เกนสัญญาณออกมาสูงสุดที่ 8V RMS คงที่ตลอด ส่วนเอ๊าต์พุตทางช่อง RCA จะอยู่ที่ 4V RMS คงที่

HALF FIX = ปล่อยสัญญาณออกมาด้วยความแรงเท่ากับครึ่งหนึ่งของเกนสูงสุดของแต่ละช่อง คือถ้าใช้ช่อง XLR จะได้เกนสัญญาณออกมาเท่ากับ 4V RMS และได้ออกมาเท่ากับ 2V RMS ที่ช่อง RCA ซึ่งเทียบเป็นระดับวอลลุ่มอยู่ที่ 87 ซึ่งเป็นเกนเอ๊าต์พุตที่ DAC ส่วนใหญ่จะใช้กันอยู่

ฟังท์ชั่นนี้มีประโยชน์มากในการทำ เกนแม็ทชิ่ง” (gain matching) ระหว่างเอ๊าต์พุตของ Evolution DAC กับอินพุตของอินติเกรตแอมป์ หรือปรีแอมป์ คือช่องอินพุตของอินติเกรตแอมป์ และปรีแอมป์ระดับกลางลงไปล่างส่วนใหญ่จะออกแบบเกนอินพุต (input gain) มาในระดับกลางๆ คือรับเกนของสัญญาณอินพุตได้สูงสุดอยู่ระหว่าง 2 – 4V RMS บางตัวจะบอกไว้ในสเปคฯ แต่บางตัวก็ไม่ได้แจ้งไว้ เมื่อเจอกับเอ๊าต์พุตของ ext.DAC ที่มีความแรงของเกนมากกว่าหรือแม้แต่เท่ากับเกนสูงสุดที่อินติเกรตแอมป์ หรือปรีแอมป์รองรับได้ เวลาใช้งานจริงก็จะมีโอกาสที่จะเกิดปัญหา overload ได้ ทำให้ไดนามิกเร้นจ์ของเสียงหดแคบ สวิงได้ไม่กว้าง เสียงโดยรวมจะออกมาในลักษณะอั้น พุ่งๆ ดันๆ ไม่ผ่อนปรน กลายเป็นปัญหา mismatch ทางด้าน input sensitivity vs. gain output ถ้า ext.DAC ตัวนั้นไม่สามารถปรับเลือกระดับของเกนเอ๊าต์พุตได้ก็จบกัน

เอ๊าต์พุตจาก DAC สูงๆ มีประโยชน์อย่างไร.? เอ๊าต์พุตที่ออกมาจากอุปกรณ์เครื่องเล่น หรือเพลเยอร์ และ DAC ก็คือ หัวเชื้อของสัญญาณเสียงที่จะถูกนำไปขยายเพื่อขับออกลำโพง หน่วยที่ใช้วัดความเข้มข้นของหัวเชื้อที่ว่านี้ก็คือ Volt RMS ถ้าเอ๊าต์พุตมีโวลต์สูงๆ ก็แสดงว่า หัวเชื้อนั้นมีความเข้มข้นสูง เมื่อนำไปขยายด้วยแอมปลิฟายผ่านออกไปที่ลำโพง สัญญาณเสียงที่ออกมาก็จะมี ความเข้มข้นของเสียงมากกว่าเอ๊าต์พุตที่มีโวลต์ต่ำๆ นั่นเอง

ความเข้มข้นของเสียงที่ผมกล่าวถึงในย่อหน้าข้างบนนั้นก็คือ เนื้อมวลของเสียง” (S/N ratio) และ ไดนามิกเร้นจ์ของเสียง” (dynamic range) สรุปคือ เอ๊าต์พุตที่มีระดับโวลต์สูงๆ คือดี แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาดีจริงๆ ยังมีเรื่อง gain matching ระหว่างเอ๊าต์พุตของ DAC กับอินพุตของแอมป์ที่ต้องแม็ทฯ กันด้วย คือถ้าอินพุตของแอมป์รองรับโวลต์ได้สูงสุดแค่ไหน เอ๊าต์พุตของ DAC ก็ควรจะอยู่ในระดับที่เท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน และนั่นก็คือเหตุผลที่ DAC ของ NuPrime รุ่น Evolution DAC ตัวนี้จึงมีเกนเอาต์พุตให้เลือกถึง 3 แบบตามที่ให้ข้อมูลไว้ข้างต้นนั่นเอง

ยังมีประโยชน์ของเกนเอ๊าต์พุตสูงๆ อีกอย่าง คือโดยปกติแล้ว เกนสัญญาณของฟอร์แม็ตที่มีสเปคฯ bit/sampling rate สูงๆ อย่างพวก 32/352.8 จะมี “ความดังเฉลี่ย” ของเสียงโดยรวมที่ “เบากว่า” ความดังเฉลี่ยของเกนสัญญาณของฟอร์แม็ตที่มีสเปคฯ ต่ำกว่า อย่างเช่น 24/192 ลงไป คืออัพฯ ขึ้นไปยิ่งสูง เสียงก็จะยิ่งเบา เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าภาคเอ๊าต์พุตของตัว DAC มีเกนต่ำ ขณะที่อัพฯ สัญญาณขึ้นไปสูงๆ ก็จะทำให้ได้ “รายละเอียด” ดีขึ้น แต่มีผลข้างเคียงคือทำให้ “เนื้อของสัญญาณ” บางลงไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ ext.DAC ตัวอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นกันอยู่ ซึ่งสิ่งที่ Evolution DAC ตัวนี้ทำออกมาก็ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงจุด (*ดูรายละเอียดตัวอย่างเกี่ยวกับการแม็ทชิ่งเกนได้ในหัวข้อ ทดสอบ)

ฟังท์ชั่นพิเศษ – Sample Rate Adjust

ไม่ว่าคุณจะป้อนสัญญาณดิจิตัลเข้าที่อินพุตไหนของ Evolution DAC ตัวนี้ คุณมีทางเลือก 2 ทาง ที่จะจัดการกับสัญญาณดิจิตัลนั้นด้วยฟังท์ชั่น “Sample Rate Adjustก่อนที่สัญญาณนั้นจะถูกส่งเข้าไปที่ชิป DAC นั่นคือ

1. Sample Rate Adjust > Sample Rate Conversion : OFF
2. Sample Rate Adjust > Sample Rate Conversion : ON

ถ้าคุณเลือกอ๊อปชั่นของฟังท์ชั่น Sample Rate Adjust ไว้ที่ตำแหน่ง “OFFผลคือ สัญญาณดิจิตัลที่ป้อนเข้าไปในอินพุตของ Evolution DAC จะถูกส่งไปที่ชิป DAC โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นทั้งกับฟอร์แม็ตของสัญญาณและแซมปลิ้งเรตของสัญญาณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณป้อนเข้าไปเป็น 44.1kHz สัญญาณที่ไปถึงชิป DAC ก็จะเป็น 44.1kHz ตามเดิม แต่ถ้าคุณเลือกอ๊อปชั่นของฟังท์ชั่น Sample Rate Adjust ไว้ที่ตำแหน่ง “ON(คือตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่ OFF) ผลที่เกิดกับสัญญาณอินพุตนั้นจะถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมทั้งทางด้านฟอร์แม็ตของสัญญาณระหว่าง PCM กับ DSD และทางด้านแซมปลิ้งเรต ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณป้อนเข้าไปด้วยสัณญาณ PCM ที่มีแชมปลิ้งเรตเท่ากับ 44.1kHz คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้สัญญาณนั้นเปลี่ยนไปเป็นสัญญาณ PCM ที่มีแชมปลิ้งเรตสูงกว่า 44.1kHz ขึ้นไปเรื่อยๆ เท่าไรก็ได้จนถึง PCM 384kHz หรือจะเป็นฟอร์แม็ตของสัญญาณเดิมที่เป็น PCM ให้ไปเป็นฟอร์แม็ต DSD ที่มีสเปคฯ เท่าไรก็ได้ระหว่าง DSD2.8 ไปจนถึง DSD24.6

ตัวอย่างข้างต้นก็คือการปรับเปลี่ยนสัญญาณอินพุตไปทางด้าน “Upsamplingคือเป็นการปรับแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตไปทางขาขึ้นขาเดียว เนื่องจาก 44.1kHz เป็นระดับอินพุต ต่ำสุดนั่นเอง แต่ถ้าสมมุติว่าคุณป้อนสัญญาณ PCM ที่มีแซมปลิ้งเรตเท่ากับ 96kHz เข้าไป ถ้าต้องการส่งสัญญาณ 96kHz นี้เข้าไปที่ชิป DAC โดยตรง คุณก็สามารถทำได้โดยปรับฟังท์ชั่น Sample Rate Adjust ไปที่ตำแหน่ง “OFF” แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงสัญญาณอินพุตก่อนป้อนเข้าชิป DAC ในกรณีนี้คุณสามารถเลือกได้ 2 ทางในการเปลี่ยนแปลง คือจะเปลี่ยนไปในทาง Upsampling คือเลือกไปในทิศทางที่เพิ่มอัตราแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตให้สูงขึ้นซึ่งมีอ๊อปชั่นให้เลือกเยอะ คือตั้งแต่ 176.4kHz ขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดปลายทางที่ DSD24.6 กับอีกแนวทางคือ Downsampling เป็นการเลือกไปในทิศทางที่ลดอัตราแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตลง ซึ่งกรณีที่ป้อนเข้าไปเป็น 24/96 คุณก็มีสิทธิ์เลือกค่าที่ต่ำลงไปได้ 3 ระดับคือ 88.2, 48 หรือ 44.1kHz

แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนฟอร์แม็ต และแซมปลิ้งเรตแต่ละค่าจะมีผลทำให้เสียงแตกต่างกันไป ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงฟอร์แม็ตและแซมปลิ้งเรตนี้จะยังไม่ใช่ปลายทางสุดท้าย ยังมีอีกอ๊อปชั่นที่ส่งผลกับเสียง และคุณก็สามารถเลือกปรับตั้งได้อีกอย่าง นั่นคือ “Digital Filter

ฟังท์ชั่นพิเศษ – Digital Filter

ดิจิตัล ฟิลเตอร์ (digital filter) เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นอะนาลอก ซึ่ง “DFหรือ Digital Filter จะทำหน้าที่กรองสัญญาณดิจิตัลในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะคลอดจากชิป DAC ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ DF ส่งผลถึงลักษณะเสียงของ DAC โดยตรง

ในเมนู “Digital Filterของ Evolution DAC ตัวนี้มีประเภทของดิจิตัล ฟิลเตอร์ไว้ให้เลือกใช้ทั้งหมด 7 รูปแบบ (ตามภาพข้างบน) ซึ่งแน่นอนว่า DF แต่ละรูปแบบจะให้เสียงออกมาต่างกัน แต่.. ความแตกต่างของเสียงที่ได้จากการใช้ DF แต่ละรูปแบบนั้นไม่ได้มีปริมาณมากมายถึงขนาดที่จะตัดสินได้ชัดๆ ว่ารูปแบบไหนดี.. และรูปแบบไหนไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่า คุณซึ่งเป็นคนฟังจะให้ความสำคัญกับคุณสมบัติข้อไหนของเสียงมากกว่ากัน.! และขึ้นอยู่กับว่า ซิสเต็มของคุณโดยเฉพาะวงจรเน็ทเวิร์คในลำโพงของคุณกำหนดจุดตัดและสโลปเอาไว้แบบไหน ซึ่งลักษณะการทำงานของวงจร DF ของ Evolution DAC ตัวนี้ (รวมถึง ext.DAC ทั่วไป) ก็จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับวงจรอะนาลอก ฟิลเตอร์ที่ใช้ในวงจรเน็ทเวิร์คนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นจุดตัดและออเดอร์ของสโลป ซึ่งหากว่าวงจร DF ที่คุณเลือกที่ตัว Evolution DAC มันไปสอดคล้องกับวงจรอะนาลอก ฟิลเตอร์ของวงจรเน็ทเวิร์คพอดีๆ เสียงก็จะออกมาดี นั่นคือต้องทดลองเลือกใช้และฟังไปทีละรูปแบบ

ถ้าลองฟังแล้วมึน ไปต่อไม่ถูก แนะนำให้จอดที่ป้าย “Minimum Phase Slowไว้ก่อน เพราะเป็นรูปแบบของวงจร DF ที่ หูทองส่วนใหญ่ในวงการเครื่องเสียงทั่วโลกให้การยอมรับว่าเป็นรูปแบบของวงจร DF ที่ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาดีที่สุด ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ Minimum Phase Slow ตัวนี้จะไม่มีปัญหา pre/post ringing เกิดขึ้น จึงทำให้รายละเอียดของเสียงออกมาดี เพราะเจ้าตัว pre/post ringing ที่ว่านี้มันจะเข้าไปทำให้คุณสมบัติของเสียงที่เรียกว่า micro dynamic เสียหายไป ซึ่งเจ้าไมโครไดนามิกตัวนี้ก็คือ อิมแพ็คของหัวโน๊ต ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของตัวเสียงนั่นเอง ถ้าขาดคุณสมบัติทางด้านไมโครไดนามิกไป จะมีผลให้คุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของตัวเสียงด้อยลงไปด้วย ส่งผลทำให้เสียงต่างๆ หลอมรวมกันไปเป็นพืด ไม่แยกแยะออกจากกัน

ระหว่าง “Minimum Phase Slowกับ “Minimum Phase Fastความแตกต่างจะอยู่ที่ตัว Fast จะให้โฟกัสของเสียงที่ชัดเจนมากกว่า แต่หางเสียงสั้น ในขณะที่ตัว Slow จะกลับกัน ความชัดเจนของโฟกัสตัวเสียงจะด้อยลงมานิดนึง ทว่าได้หางเสียงที่ทอดตัวออกไปดีกว่า ฟังรวมๆ แล้วโทนเสียงจะออกมาอบอุ่นน่าฟังกว่า (อย่างไรก็ตาม อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น ผลลัพธ์สุดท้ายอาจจะต่างกันออกไปได้ ขึ้นอยู่กับแอมป์+ลำโพงของแต่ละคน รวมถึงรสนิยมกับแนวเพลงที่ฟังด้วย ดังนั้น แนะนำให้ทดลองฟังเปรียบเทียบด้วยตัวเองแล้วเลือกรูปแบบฟิลเตอร์ที่ถูกหูมากที่สุด)

ทดสอบ

หลังจากทดลองใช้งาน Evolution DAC และเบิร์นไปด้วยมานานแรมเดือน Ext.DAC ตัวนี้ได้ผ่านการทดลองฟังร่วมกับแอมป์และลำโพงหลากหลายซิสเต็ม

ส่วนใหญ่แล้วผมจะใช้ roon รุ่น nucleus เป็นทรานสปอร์ตในการสตรีมไฟล์มาเล่นแล้วส่งสัญญาณ digital ไปให้ Evolution DAC ผ่านทางอินพุต USB จากนั้นก็ใช้วิธีเชื่อมต่อเอ๊าต์พุตของ Evolution DAC ไปเข้าที่อินพุตของปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์บ้าง (Ayre Acoustics : K-5 evo + V-3, Dan D’Agostino : Progression Preamp + Progression S350) สลับกับบางครั้งก็ใช้เป็นอินติเกรตแอมป์บ้าง (Nagra : Classic INT (REVIEW), Dan D’Agostino : Progression Integrated (REVIEW), Boulder : 866) ขับลำโพงหลายคู่ อาทิ Wilson Audio : Sabrina X (REVIEW), TAD : Evolution One และ Rockport Technologies : Atria II

การปรับตั้งค่าต่างๆ ในเมนู ก่อนทดสอบ

ต้องขอย้ำเลยว่า การปรับตั้งค่าต่างๆ ในเมนูมีผลกับเสียงของ Evolution DAC ค่อนข้างชัดเจน ด้านล่างนี้คือขั้นตอนของการปรับตั้งค่าต่างๆ และเนื่องจากการปรับตั้งแต่ละค่าจะส่งผลกระทบกับค่าอื่นๆ ด้วย ดังนั้น ควรต้องเรียงไปตามลำดับ

หัวข้อ “Channel Settingกับ “Output Phaseเป็นการปรับตั้งเพื่อความถูกต้องของ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ต้องปรับตั้งให้ถูกต้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ส่วนหัวข้อ “Output Levelเอาไว้ใช้แม็ทชิ่งระหว่างเอ๊าต์พุตของ Evolution DAC กับอินพุตของแอมป์ ซึ่งสามารถดูจากตัวเลข “Maximum Input Levelหรือ “Input Sensitivityจากสเปคฯ ของแอมป์มาใช้ในการพิจารณาก็ได้ หรือจะใช้วิธีทดลองฟังระหว่าง Fix กับ Half Fix เทียบกัน หรือจะเลือกใช้เอ๊าต์พุต Variable แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่ม/ลดเกน แล้วฟังหาจุดที่แม็ทชิ่งที่สุดก็ได้ หลังจากนั้นก็เลือกรูปแบบของ “Digital Filterที่คุณชอบเสียงของมันมากที่สุด ส่วนหัวข้อ “Sample Rate Adjustแนะนำให้เอาไว้ใช้กับสัญญาณอินพุตที่มีสเปคฯ ต่ำๆ อย่างเช่น 44.1kHz หรือ 48kHz โดยลองปรับ Upsampling แต่ละค่าแล้วลองฟังผลของมัน และเลือกอ๊อปชั่นที่ชอบ ถ้าเล่นไฟล์ที่มีความละเอียดสูงๆ แนะนำให้เลือกหัวข้อ “Sample Rate Adjustไว้ที่ตำแหน่ง Offไว้ก่อน ฟังให้ชินแล้วค่อยทดลองปรับ Upsampling แล้วฟังเทียบกัน

ทดสอบฟังท์ชั่น “Sample Rate Adjust

สาเหตุที่ NuPrime ใช้คำว่า “Adjustเป็นชื่อของฟังท์ชั่นนี้ก็เพราะว่า นี่ไม่ใช่ฟังท์ชั่น Upsampling เหมือนที่ DAC ทั่วไปมีอยู่ แต่เนื่องจาก DAC ตัวนี้ทำได้ทั้ง Upsampling และ Downsampling นั่นเอง ทางผู้ผลิตรายนี้จึงต้องเลี่ยงมาใช้คำว่า “Adjustก็คือ การปรับตั้งที่ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าต้องการจะ Up หรือ Downsampling นั่นเอง

จากการทดลองฟังของผมกับการทำ Upsampling กับสัญญาณ PCM 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดี และไฟล์ที่สตรีมมาจาก TIDAL ผมพบว่า การปรับอัพฯ ไปฟอร์แม็ตเดียวกันคือ PCM ที่มีแซมปลิ้งเรตมากขึ้นไปจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแปลงข้ามฟอร์แม็ตไปเป็น DSD

ผมทดลอง Upsampling จาก 44.1kHz ขึ้นไปเรื่อยๆ ผมพบว่า ยิ่งอัพฯ ขึ้นไปสูงๆ อย่างเช่นอัพขึ้นไปที่ระดับ 352.8kHz หรือ 705.6kHz เสียงจะโปร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่บางลงแบบแห้งๆ นะ ต้องยอมรับว่า วงจร Upsampling ของDAC ตัวนี้ทำได้ดีกว่าหลายๆ ตัวที่ผมเคยทดลองฟังมา และด้วยพลานุภาพของชิป ES9038PRO มีส่วนช่วยด้วย ถ้าใช้ลำโพงขนาดใหญ่ที่สามารถให้เสียงทุ้มได้ด้วยตัวมันเอง ไม่ต้องใช้เสียงที่พอกตัวหนาๆ ของแหล่งต้นทางเข้ามาช่วยเสริมด้านเบส เมื่อลองอัพฯ ขึ้นไปสูงๆ อย่างเช่นขึ้นไปที่ระดับ 705.6kHz จะเห็นได้ชัดว่า โดยรวมแล้วจะมีข้อดีเกิดขึ้นกับเสียงในบางแง่ ที่ชัดเจนมากๆ ก็คือมันทำให้ม่านหมอกในย่านเสียงต่ำๆ ลดลง เสียงทุ้มจะมีหัวโน๊ตที่คมชัดมากขึ้น กลางแหลมลอยตัวออกมามากขึ้น โฟกัสชัดขึ้น การไล่ระดับความดังของเสียงในย่านกลางจะดีขึ้น คือจริงๆ แล้ว การไล่ระดับความดังของเสียง หรือคอนทราสน์ไดนามิกจะดีขึ้นในทุกย่านความถี่ แต่ในย่านกลางมีเสียงร้องที่เราสังเกตได้ง่ายจึงรู้สึกได้ชัดกว่าความถี่ย่านอื่น แต่ถ้าใช้ลำโพงขนาดเล็ก เสียงทุ้มก็จะหายไปบางส่วนมีผลให้โทนัลบาลานซ์ที่เอียงไปทางกลางแหลมมากกว่าทุ้มได้

สรุปแล้ว สำหรับเพลงที่มีลักษณะทึบๆ เบสฟุ้งๆ หนาๆ ฟังแล้วเหมือนโยนกระสอบทรายลงพื้น เบสไม่เด้ง ลองอัพฯ ขึ้นไปเรื่อยๆ อาการทึบๆ ด้านๆ จะลดน้อยลง ฟังแล้วมีความพลิ้ว ความโปร่งมากขึ้น แนะนำให้ใช้การอัพแซมปลิ้งคู่กับดิจิตัลฟิลเตอร์ตัว “Minimum Phase Slowจะได้เสียงที่น่าฟัง อย่าลืมว่า ถ้าอัพฯ ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่าเสียงบางเกินไปก็ลดระดับลงมา ฟังไปจนชิน แล้วเลือกระดับที่ชอบ ฟังท์ชั่นนี้จะทำงานแบบ on-the-fly คือสามารถหมุนเปลี่ยนแซมปลิ้งเรตได้เลยขณะที่เพลงกำลังเล่น ไม่ต้องหยุดเพลง ทำให้คุณสามารถฟังเปรียบเทียบความแตกต่างได้ง่าย ถ้าไม่ชอบก็เลือกตั้งไว้ที่ OFF คือปิดฟังท์ชั่นนี้

ทดสอบการเล่นไฟล์ DSD

ภาค DAC ในตัว Evolution DAC ตัวนี้รองรับการแปลงสัญญาณ DSD ได้สูงถึงระดับ DSD256 ในฟอร์แม็ต DoP (DSD over PCM) แต่ถ้าเป็นสัญญาณ DSD ที่เข้ามาในโหมด native คือเป็นกระแสสัญญาณ DSD เพียวๆ ตรงๆ จะรองรับได้สูงถึง DSD1024 เลยทีเดียว.!! (เล่นด้วยคอมฯ ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows)

ผมลองเล่นไฟล์ระดับพื้นฐานของ DSD คือ DSD64 กับ Evolution DAC ผ่าน roon nucleus พบว่า Evolution DAC ตัวนี้ให้เสียง DSD64 ออกมาได้ดีมาก ผมไม่พบอาการอืดช้าของไทมิ่งและอาการน่วมๆ มนๆ ของอิมแพ็คจากไฟล์เสียง DSD64 ที่ผมมีอยู่ ซึ่งอาการข้างต้นนั้นมักจะเกิดกับ DAC ที่จัดการกับสัญญาณ DSD ไม่ดี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในภาครับของสัญญาณดิจิตัลอินพุตมีความแรงไม่มากพอจัดการกับสัญญาณ DSD ที่มีแซมปลิ้งเรตสูงมากระดับเมกกะเฮิร์ต ถ้าโปรเซสเซอร์ที่จัดการกับสัญญาณที่มีแซมปลิ้งเรตสูงระดับนี้มีความแรงไม่มากพอ เสียงจะมีอาการหน่วง อืด ทรานเชี้ยนต์ตก เสียงโดยรวมจะออกมาหม่นๆ อืดๆ หน่วงๆ ไม่น่าฟัง ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่มีให้ได้ยินผ่าน Evolution DAC ออกมาเลย

อย่างอัลบั้มชุด Forget About It ของ Alison Krauss ชุดที่ผมเลือกมาทดสอบประเด็นนี้คือตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ได้ยินผลค่อนข้างชัด ที่ผ่านมาถ้า DAC เล่นไฟล์ DSD ได้ไม่ดี เสียงของอัลบั้มนี้จะออกมาบาง เบสมัว เสียงร้องจะวูบวาบเดี๋ยวบางเดี๋ยวหนา ไม่น่าฟัง เมื่อฟังผ่าน Evolution DAC ตัวนี้ เสียงที่ออกมาใส ลอย กังวาน และนิ่ง โทนัลบาลานซ์ก็ออกมาดี เบสนุ่มตามสไตล์เพลง เสียงร้องลอยชัด คอนทราสน์ลื่นไหล แหลมมีประกาย ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้ว เพลงในอัลบั้มนี้มีความอ่อนพลิ้วน่าฟัง ไม่เย็นชืดน่าเบื่อ

ตามสเปคฯ ของ Evolution DAC แจ้งไว้ว่า อินพุต USB ของ Evolution DAC สามารถรองรับสัญญาณ DSD ได้ถึงระดับ DSD128 (DSD5.6MHz) ในฟอร์แม็ต DoP จากการทดลองฟังไฟล์ DSD128 ที่ผมมีอยู่จำนวนหนึ่ง พบว่า Evolution DAC ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ สามารถเล่นไฟล์ DSD128 ได้โดยไม่มีอาการสะดุด เสียงที่ออกมาดก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก พื้นเสียงออกมาใสปิ๊ง ตัวเสียงลอยขึ้นมาในอากาศด้วยความเข้มข้นของตัวเสียงที่มีมวลเนื้อกระชับแน่น มีแอมเบี้ยนต์ล้อมรอบ สนามเสียงโอ่โถง ไดนามิกไหลลื่น จังหวะของดนตรีดำเนินไปอย่างต่อเนื่องภายใต้ความรู้สึกของบรรยากาศที่สงบนิ่ง แทบจะไม่มีอาการฟุ้งของความถี่ใดๆ ซ่านออกมาให้ได้ยิน นี่คือความต่างระหว่างไฟล์ที่มีความละเอียดสูง ยิ่งสูง บรรยากาศจะยิ่งสงบ ปราศจาก ฝุ่นเสียงออกมารบกวนประสาทหู ทำให้ประสาทการได้ยินและสัมผัสของผมสามารถแตะกับอารมณ์ของเพลงได้ใกล้ชิดมากขึ้น ลึกมากขึ้น รับรู้ได้แม้ในโน๊ตเสียงที่เบามากๆ

ทดสอบความสามารถในการถอดรหัส MQA

ในคู่มือของ Evolution DAC ระบุไว้ชัดว่ามันรองรับการถอดรหัสไฟล์ MQA ได้สุดซอยและคลี่ไฟล์ออกมาได้เต็มสูบ พร้อมทั้งมีคำอธิบายถึงลักษณะการถอดรหัสแบบต่างๆ ไว้ด้วย

ผมเริ่มต้นทดสอบความสามารถในการรับมือกับไฟล์ MQA ของ Evolution DAC ด้วยการทดลองเล่นไฟล์ MQA ผ่าน DAC ตัวนี้ด้วยการสตรีมไฟล์เพลง MQA ชุด “Crime Of The Centuryของศิลปิน Supertramp จาก TIDAL ผ่าน roon nucleus โดยปรับตั้งที่หัวข้อ ‘MQA Capabilitiesบนโปรแกรม roon ไว้ที่ ‘Decoder and rendererคือยกหน้าที่ในการคลี่สัญญาณเสียงออกมาจากไฟล์ MQA ทั้ง 3 พับให้กับ Evolution DAC ทั้งหมด โปรแกรม roon จะทำหน้าที่แค่แตกไฟล์ MQA ออกมาเป็นสัญญาณพาหะ PCM 44.1, 48kHz + MQA signal แล้วจัดส่งทั้งหมดนั้นออกไปทางเอ๊าต์พุต USB ให้กับ Evolution DAC โดยไม่แตะต้อง MQA เลย

บนหน้าจอของ Evolution DAC โชว์ว่า “MQA Studio 192kHzตามภาพด้านบน ซึ่งหมายความว่า ภาคถอดรหัส MQA ในตัว Evolution DAC ตรวจพบว่าไฟล์ที่มันได้รับมาจาก roon เป็นไฟล์ MQA ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นสัญญาณ PCM 192kHz ที่ออกมาจากสตูดิโอจริงๆ

แต่เมื่อลองกดเข้าไปดู signal path บนโปรแกรม roon กลับพบว่า โปรแกรม roon ระบุ signal path ออกมาเป็น “Losslessไม่ได้ระบุเป็น “Enhancedซึ่งตรงนี้น่าแปลก.? คือแปลกกว่ากรณีอื่นที่ผมเคยพบมา คือถ้าไฟล์ MQA เป็นไฟล์สตูดิโอจริงๆ และดีโค๊ดเดอร์ในตัว DAC ตรวจพบและทำการถอดรหัสออกมาได้สุดซอยจริงๆ ตรงหัวข้อ Signal Path ของโปรแกรม roon ควรจะโชว์ขึ้นมาเป็น “Enhancedไม่ใช่ “Lossless” (*ตอนทดสอบออลอินวันของ Cambridge Audio รุ่น EVO 75 (REVIEWก็โชว์ออกมาเป็น “Enhancedนะ..??)

น่าแปลก..?? แต่เสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก รายละเอียดที่ระดับไมโครดีเทลปรากฏออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน คอนทราสน์ไดนามิกก็ดี ผมได้ยินการไต่ระดับดังเบาของเสียงร้องที่มีความลื่นไหล การสื่อสารทางอารมณ์ให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งน่าฟัง

ทำไมเป็นแบบนั้น.? ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่าเคยสตรีมไฟล์ MQA จาก TIDAL ไปเล่นที่ Evolution DAC มันก็ถอดรหัส MQA ไปได้สุดซอย/เต็มสูบออกไปถึงระดับ “Enhancedวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น.?? หลังจากทำการตรวจสอบระบบอยู่พักใหญ่ ผมก็พบสาเหตุ เป็นเพราะว่า iPad Mini2 ที่ผมใช้ลงแอพ roon remote มันยังไม่ได้อัพฯ เป็น iOS15 ผมจึงทำการอัพฯ และหลังจากอัพฯ เสร็จ ต้องปิดและเปิด roon nucleus ขึ้นมาใหม่ จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติตามที่เห็นในภาพข้างบน สรุปคือ ตัว iPad มันเอ๋อ แสดงผลไม่ถูกเพราะยังไม่ได้อัพฯ เป็น iOS15 นั่นเอง

นอกจากสตรีมไฟล์ MQA จาก TIDAL แล้ว ผมก็ได้ทดลองดึงไฟล์ MQA งานเพลงของวง Roxy Music ชุด Avalon จาก NAS เข้ามาเล่นผ่าน roon เพื่อส่งให้กับ Evolution DAC ด้วย เป็นไฟล์ WAV ที่ผมริปออกมาจากแผ่น MQA-CD เมื่อส่งไปที่ Evolution DAC พบว่า ext.DAC ของ NuPrime ตัวนี้สามารถถอดรหัสไฟล์ MQA จากแผ่น MQA-CD ออกมาได้สุดซอยตามที่ระบุไว้ที่ปกหลังของแผ่นคือ 352.8kHz ไม่มีขาด.. ไม่มีเกิน.!!! ส่วนคุณภาพเสียงก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ดีกว่าที่เคยได้ยินจาก ext.DAC หลายๆ ตัวที่เคยฟังมา เสียงโดยรวมเปิดกระจ่าง แต่ไม่มีอาการ push หรือรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่ถูกดันออกมาจากลำโพง รายละเอียดระดับไมโครดีเทลพร่างพรายออกมาเต็มไปหมด รู้สึกได้ว่าแต่ละเสียงลอยอยู่ในห้วงบรรยากาศที่มีแอมเบี้ยนต์ห่อหุ้ม ทำให้ฟังแล้วไม่รู้สึกแห้ง มีความฉ่ำหล่อเลี้ยงอยู่ มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับคุณภาพการบันทึกเสียงของอัลบั้มนั้นๆ

บางอัลบั้มที่สตรีมมาจาก TIDAL ผมพบว่า หน้าจอของ Evolution DAC มันแจ้งแค่ว่าเป็นสัญญาณ MQA พร้อมระบุแซมปลิ้งเรต แต่ไม่มีคำว่า “Studioกำกับมาด้วย ซึ่งไม่ได้มีอะไรผิดพลาด ในคู่มือของ Evolution DAC ให้ความหมายไว้คือไฟล์ MQA นั้นผ่านการเข้ารหัสมาโดยได้รับการรับรองจากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือเจ้าของเพลง ไม่ใช่การรับรองจากสตูดิโอนั่นเอง ซึ่งไม่ได้หมายความแบบไหนจะเสียงดีกว่ากัน ต่างกันแค่ว่าการรับรองจะมาจากแหล่งไหนเท่านั้น ส่วนตัวไฟล์ก็คือ MQA ของแท้แน่นอน เพราะแอพฯ roon แจ้งว่าได้ทำการถอดรหัสออกมาอย่างสมบูรณ์แล้ว (MQA full decoder)

ผมทดลองเข้าไปปรับตั้งที่หัวข้อ “MQA Capabilitiesบนโปรแกรม roon เพื่อให้โปรแกรม roon ทำหน้าที่เป็น core decoder ถอดรหัส MQA ชั้นที่หนึ่งออกมาก่อนคือ 96kHz แล้วค่อยส่งสัญญาณ 96kHz ที่ถอดออกมาได้พร้อมกับข้อมูลกำกับสัญญาณ MQA signal ที่มาจากสตูดิโอไปให้ Evolution DAC ทำการ render ออกมาเป็นสัญญาณเสียงขั้นสุดท้าย

หน้าจอของ Evolution DAC โชว์ตัวอักษร “OFSขึ้นมาบนจอพร้อมแซมปลิ้งเรตของสัญญาณที่ระดับสูงสุดของไฟล์ ซึ่งตัวอักษร OFS มาจากคำว่า “Original Frequency Spectrumซึ่งเป็นการแจ้งให้ทราบว่า สัญญาณที่ Evolution DAC ได้รับเข้ามาเป็นสัญญาณที่ผ่านการถอดรหัสมาจากต้นทางแล้วครึ่งหนึ่ง และตัวมัน (Evolution DAC) ได้ทำการถอดรหัสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งออกมาให้ ผลลัพธ์สุดท้ายจึงเป็นแซมปลิ้งเรตสูงสุดที่ถูกเข้ารหัสอยู่ในไฟล์ MQA นั้นนั่นเอง แต่จากการทดลองฟังผมพบว่า แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะออกมาเป็น 192kHz เหมือนกัน แต่จากการปรับตั้งที่ตัว roon ไว้ต่างกัน ระหว่าง “Decoder and renderer” = คือยกหน้าที่ถอดรหัสทั้งหมดให้กับ Evolution DAC กับ “Renderer Only” = คือ roon ถอดให้ก่อนครึ่งนึง แล้วส่งให้ Evolution DAC ถอดอีกครึ่งที่เหลือ ปรากฏว่าเสียงที่ออกมาต่างกัน กรณีตั้งเป็น “Decoder and rendererให้เสียงออกมาดีกว่า..

สรุปคือ Evolution DAC ตัวนี้รองรับการถอดรหัส MQA ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ และเสียงที่ออกมาก็ดีด้วย ดีกว่า ext.DAC ที่ถอด MQA ได้ยุคแรกๆ มาก.!!

ทดสอบภาควอลลุ่มในตัว

เมื่อคุณเข้าไปในเมนูเครื่อง และทำการเลือกปรับตั้งที่หัวข้อ “Output Levelไปที่ “VARIABLEคุณจะสามารถเชื่อมต่อเอ๊าต์พุตของ ext.DAC ตัวนี้ตรงเข้าอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ได้เลย โดยใช้วอลลุ่มในตัว Evolution DAC ในการปรับเพิ่ม/ลดระดับความดัง

ผมใช้เพาเวอร์แอมป์ 2 ตัวคือ Ayre Acoustics รุ่น V-3 กับ Dan D’Agostino รุ่น Progression S350 ต่อตรงเข้ากับเอ๊าต์พุตของ Evolution DAC ทดลองขับลำโพง TAD รุ่น Evolution One TX โดยใช้สายสัญญาณ XLR รุ่น Gold MK II กับสายลำโพงรุ่น 5th Anniversary Edition ของ Life Audio ในการเชื่อมต่อสัญญาณ

เรื่องแรกที่ต้องพิจารณาในการต่อ DAC ตรงเข้ากับเพาเวอร์แอมป์ก็คือ gain matching ซึ่งโดยมากจะพบว่าเกนเอ๊าต์พุตของ DAC มีไม่พอสำหรับอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ ทำให้อัตราขยายตก เร่งวอลลุ่มขึ้นไปเท่าไรก็ไม่มีแรงดันลำโพง เสียงจะป้อแป้ไร้พลัง แต่ด้วยเอ๊าต์พุตที่มีอยู่มากถึง 8Vrms ของ Evolution DAC ทำให้ไม่มีปัญหา gain matching กับเพาเวอร์แอมป์ทั้งสองตัวที่ผมเอามาทดสอบร่วมกัน เพราะใช้สเกลของวอลลุ่มจาก Evolution DAC อยู่ในช่วง 50 – 65 เท่านั้นเสียงที่ได้ก็แผ่ออกมาเต็มห้องแล้ว (สเกลสูงสุดของวอลลุ่มอยู่ที่ 99) ผมไม่พบปัญหา mismatch ทางด้าน gain เลยแม้จะลองเล่นอัลบั้มที่บันทึกมาเบามากๆ ก็ยังได้ความดังออกมามากเกินพอ แม้จะเล่นไฟล์ DSD หรือถอด MQA ก็ไม่มีปัญหา ยิ่งออกมาดีเพราะรายละเอียดเบาๆ ของไฟล์ไฮเรซฯ พวกนั้นมันถูกเผยออกมาหมด ไม่ถูกทำให้เบลอไปเหมือนต่อผ่านปรีแอมป์ภายนอก เพราะสัญญาณต้องไปผ่านปรีแอมป์ภายนอกซึ่งเป็นการเพิ่มตัวแปร เสียงที่ได้ออกมาจากการต่อตรงจาก Evolution DAC ไปที่เพาเวอร์แอมป์จะให้ความเข้มข้นของมวลสูง คือตัวเสียงจะมีความควบแน่นสูง การขยับเคลื่อนที่มีพลังแฝง แม้จะเป็นโน๊ตเบาๆ ขอเสียงอะคูสติกเบส ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังแฝงของมัน แอมเบี้ยนต์ก็ดีขึ้นมาก อะไรที่ไม่เคยได้ยิน หรือไม่ค่อยได้ยินก็ถูกเผยออกมาชัดขึ้นมาก เสียงโดยรวมมีความสดมากขึ้นเพราะไทมิ่งมันเป๊ะมากขึ้น อาการเบลอๆ วูบๆ วาบๆ แทบจะไม่มี โฟกัสคมและนิ่ง ติดตามลีลาการบรรเลงไปได้ตลอด.. เจ๋งมาก..!!

สรุป

เห็นหน้าตาเรียบๆ ตัวเครื่องแบนๆ นึกว่าจะไม่มีอะไร ต้องลองเล่นถึงได้รู้ว่า Evolution DAC ตัวนี้ซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ในตัวมันมากมายกว่าที่คิด แต่ละฟังท์ชั่นที่คิดค้นขึ้นมาใส่ไว้ให้ใช้ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น ที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษก็คือความสามารถในการเล่นไฟล์เพลงกับการถอดรหัส MQA รวมถึงฟังท์ชั่น Output Level กับการต่อตรงเข้าเพาเวอร์แอมป์ที่ให้ผลลัพธ์น่าพอใจมาก

หลังจากได้ทดลองเล่นจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ผมต้องยอมรับว่า NuPrime ตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้ตรงกับความเป็นจริงมาก.! มันเป็น ext.DAC ที่แสดงถึงวิวัฒนาการที่ล้ำหน้า ext.DAC ตัวอื่นๆ ไปอีกขั้นจริงๆ เป็น ext.DAC ที่สามารถดึงความสามารถของชิป ES9038PRO ออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จริงๆ ใครตั้งงบสำหรับอัพเกรด ext.DAC เอาไว้ไม่เกินสองแสน ผมว่า Evolution DAC ตัวนี้น่าจะเป็นตัวเลือกตัวแรกๆ ที่คุณต้องทดลองสัมผัสให้ได้ก่อนตัดสินใจ..!! /

***********************
ราคา : 139,800 บาท / ตัว
***********************
สนใจสอบถามได้ที่ :
Alpha Audio powered by Wysiwyg Thailand
โทร. 086-985-5252
facebook: AlphaAudioTH

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า