รีวิวเครื่องเสียง TAGA Harmony รุ่น Platinum B-40 V.3 ลำโพงสองทางวางขาตั้ง

มีความจริงอยู่เรื่องหนึ่งในวงการเครื่องเสียง เรื่องนั้นก็คือ ถ้าคุณอยากได้ ของดีที่มีชื่อแบรนด์ดังๆ ติดอยู่บนโปรดักซ์ตัวนั้น คุณก็ต้องยอมจ่าย ค่าแบรนด์รวมไปกับราคาของสินค้าตัวนั้นด้วย หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่ยึดติดกับ ยี่ห้อไม่ต้องแบรนด์ดัง แต่ขอให้เสียงดี กรณีนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะได้ ของดี ราคาถูก (กว่า)ถ้ารู้จักค้นหาและเปิดใจ

TAGA Harmony
ของดี ราคาถูกจากประเทศโปแลนด์

จริงๆ แล้ว ชื่อแบรนด์ TAGA Harmony ไม่ถือว่าโนเนม เพราะเป็นแบรนด์ที่นักเล่นฯ ที่ชอบค้นหาของดีราคาถูกรู้จักกันดีมาตั้งแต่ต้นทศวรรต ’90 ตัวอักษร 4 ตัวที่อยู่หน้าคำว่า Harmony คือ TAGA นั้นเอามาจากอักษรนำจากสโลแกนของแบรนด์ที่ว่า “To Achieve Glorious Acousticsซึ่งมีความหมายถึงความพยายามที่จะทำให้ได้เสียงที่ดีเลิศ.. อะไรประมาณนั้น และนั่นสะท้อนถึงเจตนารมย์ของผู้คนที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์นี้ สะท้อนถึงปรัชญาในการออกแบบและผลิต ส่วนคำว่า “Harmonyที่ต่อท้ายก็เป็นการสะท้อนถึงความคล้องจองไปกับธรรมชาตินั่นเอง

ผู้ก่อตั้งแบรนด์ TAGA Harmony ก็คือ P.Kokocinski กับ K. Richard ซึ่งเป็นคนที่ชอบฟังเพลงและเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอยู่ในวงการเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ของโปแลนด์ สาเหตุที่ทำให้เขาทั้งสองต้องร่วมมือกันก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นมาก็เพราะพวกเขามีความเห็นว่า ลำโพงที่อวดอ้างสรรพคุณว่าให้เสียงที่ดีเลิศมักจะมาพร้อมกับราคาที่สูงโด่งเสมอ นั่นทำให้คุณภาพเสียงที่ลำโพงเหล่านั้นให้ออกมา แม้ว่าจะดีจริง แต่ไม่อยู่ในข่ายคุ้มค่ากับเงินที่ผู้ซื้อต้องจ่ายออกไป

ช่วงแรกนั้น TAGA Harmony มุ่งเน้นไปทางให้บริการด้าน sound engineering services กับทางด้าน products enhancement และต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าที่พวกเขาจะพัฒนาต้นแบบของลำโพงรุ่นแรกของพวกเขาออกมาสำเร็จ ซึ่งเป็นลำโพงที่มีคุณภาพเสียงเข้าขั้นมาตรฐานสำหรับนักเล่นเครื่องเสียงที่พิถีพิถันในคุณภาพเสียงสูงสุด ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ TAGA Harmony มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะลำโพงมีครบทุกเซคเม้นต์ ตั้งแต่ไฮไฟฯ, ไฮเอ็นด์ ไปจนถึงโฮมเธียเตอร์ นอกจากนั้นก็ยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค, ออดิโอ เคเบิ้ล และแอคเซสซอรี่ให้บริการไปพร้อมๆ กันทั้งในวงการไฮไฟฯ และวงการโปรเฟสชั่นแนล

Platinum B-40 V.3

เป็นลำโพงสองทางวางขาตั้ง ตัวเก่งของ TAGA Harmony จัดอยู่ในอนุกรม “Platinumที่ทางผู้ผลิตให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ* ซึ่งรุ่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ผ่านการพัฒนามาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว มีการปรับปรุงเพิ่มเติมขึ้นมาจากรุ่น B-40 V.2 หลายจุด มีแค่ไม่กี่อย่างที่ยังคงใช้เหมือนรุ่น B-40 V.2 นั่นคือ รูปทรงของตัวตู้, ท่อระบายอากาศแบบ BOM, ตัวบอดี้ของทวีตเตอร์ (Tweeter top plate) และขั้วต่อสายลำโพง

* TAGA Harmony มีลำโพงอยู่ทั้งหมด 6 ซีรี่ย์ เริ่มจากใหญ่ไปหาเล็กคือ Diamond, Platinum, Coral, Azure, TAV และ Inmove นอกจากนั้นแบรนด์นี้ยังมีลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์อีกหลายรุ่น

เมื่อมองจากด้านบนลงมา (top view) จะเห็นว่าตัวตู้ของ B-40 V.3 ถูกออกแบบให้มีรูปทรงเหมือนหยดน้ำ เพราะผนังด้านข้างของตัวตู้มีลักษณะโค้งตรงกลางป่อง หน้าหลังแคบ โดยที่แผงหน้ากว้างกว่าแผงหลังนิดหน่อย ตัวมิด/วูฟเฟอร์ติดตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางความสูงของตัวตู้ เยื้องไปด้านบนเล็กน้อย ชิดขึ้นไปทางทวีตเตอร์ ตัวทวีตเตอร์ที่ติดตั้งอยู่ในบอดี้ทรงกระสุนปืนฝ่าครึ่งฝังอยู่ด้านบนของตัวตู้เยื้องมาทางแผงหน้า เป็นลักษณะดีไซน์คล้ายๆ ลำโพงแบรนด์ B&W ของอังกฤษ ต่างกันที่ของ B&W จะแยกตู้ของทวีตเตอร์ขึ้นไปอยู่เหนือตัวตู้มิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์อย่างชัดเจน

ตัวตู้ของ B-40 V.3 ไม่ธรรมดานะครับ มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่ทางผู้ผลิตตั้งชื่อเรียกว่า TLIE-I ซึ่งพัฒนามาถึงเจนเนอเรชั่นที่สองแล้ว TLIE มาจากคำว่า “Taga Low Interference Enclosuresความหมายก็คือ เป็นตัวตู้ที่มีการรบกวนต่ำนั่นเอง ผนังตู้ทำด้วยไม้ MDF ที่มีความหนาถึง 15 .. และด้วยลักษณะของผนังข้างซ้ายขวาที่ไม่ขนานกัน ทำให้ช่วยลดต้นเหตุของเรโซแนนซ์ภายในตัวตู้ลงไปได้มาก มีการใช้วัสดุแด้มปิ้งแบบใหม่กรุด้านในตู้เพื่อลดแรงกระแทกของคลื่นเสียงด้วย

ผนวกกับใช้ท่อระบายอากาศขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 5 .. จึงช่วยให้การถ่ายเทมวลอากาศภายในตัวตู้ออกมาภายนอกเป็นไปด้วยความสะดวกมากขึ้นขณะที่ไดเวอร์ทำงาน จึงช่วยลดอาการอื้ออึงของมวลอากาศภายในตัวตู้ลงไปได้มาก ซึ่งตรงนี้มีผลกับคุณภาพเสียงมากพอสมควร เนื่องจากปากท่อระบายอากาศของลำโพงคู่นี้ถูกออกแบบมาพิเศษ โดยมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Bassreflex Omnidirectional Module (BOM) ติดตั้งอยู่บริเวณปากท่อระบายอากาศ ซึ่งถูกทำให้มีลักษณะผายโค้งออกและทำผิวให้เป็นหลุมเล็กๆ เพื่อลดแรงเสียดสีของมวลอากาศขณะเคลื่อนที่ผ่านเข้าออกซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียงรบกวนลงไปได้มาก อีกทั้งยังช่วยขยายมุมกระจายเสียงความถี่ต่ำให้เปิดกว้างออกไปมากขึ้นด้วย

ไดเวอร์ และ ครอสโอเวอร์

B-40 V.3 เป็นลำโพงสองทางที่ใช้ไดรเวอร์ขับเสียงทำงานร่วมกัน 2 ตัว

A = T-yoke ส่วนฐานที่ติดตั้งแม่เหล็ก
B = วงแหวนทองแดง
C = แม่เหล็กเฟอร์ไร้ท์
D = แผ่นแพลทประกบทับแม่เหล็ก
E = โดมไตตาเนี่ยม
F = ส่วนฐานของตัว wave guide ของตัวทวีตเตอร์
G = ตะแกรงโลหะ
H = ตัว wave guide ของทวีตเตอร์

การตอบสนองความถี่ด้านสูงของ B-40 V.3 ไปได้ไกลถึง 40kHz ซึ่งต้องยกเครดิตความสามารถนี้ให้กับทวีตเตอร์โดมไตตาเนี่ยมรุ่น TPTTD-I (Taga Pure Titanium Tweeter) ที่ใช้ในลำโพงรุ่นนี้ เป็นทวีตเตอร์ที่ทาง TAGA Harmony พัฒนาขึ้นมาเอง ตัวที่ใช้ในรุ่นนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ผ่านการพัฒนามาถึงเจเนอเรชั่นที่สองแล้ว ตัวโดมของทวีตเตอร์ตัวนี้ทำมาจากไตตาเนี่ยมบริสุทธิ์ที่มีความบางเป็นพิเศษ ผ่านการปรับรูปทรงของโดมแบบใหม่ และได้เพิ่มวงแหวนทองแดงไว้ที่ส่วนฐาน (T-yoke) ที่ติดตั้งแม่เหล็กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ได้ความดังสูงขึ้น และช่วบลดความเพี้ยนไปด้วยในตัว อีกทั้งทำให้ไดอะแฟรมทรงโดมของทวีตเตอร์ขยับตัวได้เร็วขึ้น ให้การตอบสนองกับสัญญาณได้แม่นยำมากขึ้น ทำให้ได้รายละเอียดของเสียงในย่านสูงที่ดีขึ้น ผู้ฟังจะรับรู้ได้จากลักษณะของเสียงแหลมที่มีมวลอากาศ (airy) มากขึ้นนั่นเอง

จากภาพด้านบน ให้สังเกตว่าตัวโดมทวีตเตอร์จะร่นลงไปอยู่ในเบ้าโดยมี Wave Guide (TWG-I) ที่ทำจากพลาสติกแผ่โค้งคล้ายปากแตรล้อมรอบเหนือโดมขึ้นมาเล็กน้อย สังเกตบนผิวของ wave guide จะถูกทำเป็นหลุมเล็กๆ กระจายอยู่โดยรอบอย่างเป็นระเบียบคล้ายผิวของลูกกอล์ฟ ซึ่งหลุมเล็กๆ เหล่านี้ทำหน้าที่กระจายแรงเสียดทานของมวลอากาศที่อัดผ่านผิว wave guide ออกไป ช่วยทำให้ไดอะแฟรมทรงโดมของทวีตเตอร์ขยับตัวเข้าออกได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และลดเสียงรบกวนที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของมวลอากาศจากหน้าโดมทวีตเตอร์ปะทะกับขอบข้างๆ ลงไปด้วย คลื่นเสียงที่เคลื่อนตัวออกไปจากโดมทวีตเตอร์จะมีลักษณะการตอบสนองความถี่ที่ราบเรียบมากขึ้นทั้งในแนวแกน (on axis) และนอกแนวแกน (off axis)

I = ฐานติดตั้งแม่เหล็ก
J = แม่เหล็กเฟอร์ไร้ท์
K = แผ่นทับบนแม่เหล็ก
L = โครงอะลูมิเนียม
M = สไปเดอร์
N = วอยซ์คอยทองแดงเส้นแบน
O = กรวยอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ TPACD-I (Taga Pure Aluminum Cone) กับวงแหวนยาง
P = ดัสแค็ปอะลูมิเนียมบริสุทธิ์

ในรุ่น B-40 เวอร์ชั่นแรกและเวอร์ชั่นที่สอง ไดอะแฟรมของตัวไดเวอร์มิดวูฟเฟอร์ที่ใช้ในสองเวอร์ชั่นนั้นเป็นกรวยอโลหะ ทีมออกแบบของ TAGA Harmony เพิ่งจะมาเปลี่ยนมาใช้ไดเวอร์มิดวูฟเฟอร์ที่ไดอะแฟรมทำมาจากอะลูมิเนียมในเวอร์ชั่นที่สามนี่เอง และตัวไดเวอร์มิดวูฟเฟอร์กรวยอะลูมิเนียมที่ใช้ในลำโพง B-40 V.3 ตัวนี้ก็เป็นไดเวอร์ที่ผ่านการปรับปรุงมาถึงเจนเนอเรชั่นที่สองแล้ว

เหตุผลที่ทีมออกแบบลำโพงรุ่นนี้เลือกใช้กรวยอะลูมิเนียมสำหรับไดเวอร์มิดวูฟเฟอร์ก็เพื่อให้มันมีความสามารถในการผลักดันมวลอากาศได้มากขึ้น เพื่อให้ได้เสียงเสียงกลางที่มีมวลอิ่มแน่นมากขึ้น มีรายละเอียดที่เป็นธรรมชาติสูงขึ้น และให้ได้เสียงทุ้มที่ลงลึกและได้รายละเอียดในย่านทุ้มที่ดีขึ้นไปพร้อมกัน การใช้วอยซ์คอยที่พันด้วยทองแดงเส้นแบนๆ ก็เพื่อให้กระบอกวอยซ์คอยสามารถทนรับกับกระแสได้สูงขึ้น และทนความร้อนได้มากขึ้น ส่วนวงแหวนยางที่ติดอยู่รอบๆ ไดอะแฟรมของกรวยอะลูมิเนียมซึ่งมีลักษณะโค้งเข้าด้านใน (reversed) ช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการขยับตัวของกรวย ทำให้ได้คลื่นเสียงที่นิ่ง ไม่วูบวาบ

Ogrodnik crossovers
ครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค

นักออกแบบลำโพงรู้ดีว่า นอกจากไดเวอร์กับตัวตู้แล้ว วงจรตัดแบ่งความถี่หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า crossover network เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ ลักษณะเสียงของลำโพงแต่ละตัว พูดได้เลยว่า วงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คของลำโพงแต่ละรุ่นก็คือ ตัวตนของนักออกแบบคนนั้นที่สะท้อนผ่านลำโพงรุ่นนั้นออกมา

วงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คทำหน้าที่กำหนดลักษณะของความถี่เสียงที่ลำโพงแต่ละคู่ถ่ายทอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นย่านความถี่ทั้งหมดที่ลำโพงคู่นั้นถ่ายทอดออกมาไปจนถึงลักษณะการทอดตัวของความถี่ด้านบน (เสียงแหลม) และด้านล่าง (เสียงทุ้ม) รวมถึงกำหนดอัตราสวิงความดัง (ไดนามิกเร้นจ์) ของแต่ละย่านความถี่เสียงด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นรวมกันเป็น โทนเสียงหรือ บุคลิกเสียงของลำโพงคู่นั้น

วงจรเน็ทเวิร์คฯ ที่ใช้อยู่ใน B-40 V.3 มีชื่อว่า “Ogrodnik crossoversตั้งชื่อเรียกตามชื่อของผู้ออกแบบคือมิสเตอร์ Arek Ogrodnik ซึ่งเป็นนักออกแบบลำโพงชื่อดังและเป็นนักทดสอบวิจารณ์เครื่องเสียงชาวโปแลนด์ ซึ่งแนวทางที่เขาใช้ในการออกแบบก็คือเลือกใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงจำนวนน้อยชิ้นที่ผ่านการคัดสรรอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติของสัญญาณเสียงไว้ให้ได้มากที่สุด และรักษาเกนสัญญาณไม่ให้สูญเสียไปกับอุปกรณ์โดยไม่จำเป็น พวกเขาให้ความใส่ใจมากถึงขนาดว่าจ้างให้ผู้ผลิตสายชั้นนำของอเมริกาชื่อแบรนด์ XLO ทำการออกแบบและผลิตสายสัญญาณที่ใช้เชื่อมต่อในตัวไดเวอร์เข้ากับวงจรเน็ทเวิร์ค ซึ่งในรุ่น B-40 V.3 ตัวนี้ใช้เป็นเส้นทองแดง OFC แบบฝอยขนาด 14AWG ในการเชื่อมต่อระหว่างไดเวอร์ทั้งหมดกับวงจรเน็ทเวิร์คฯ (ถ้าใช้สายลำโพงของ XLO กับลำโพงคู่นี้น่าจะแม็ทฯ กัน เสียดายผมไม่มีสายลำโพงของแบรนด์นี้เลย)

แม็ทชิ่งเพื่อการทดสอบ

ในคู่มือของ B-40 V.3 ระบุความไวอยู่ที่ 89dB ที่โหลด 6 โอห์ม ก็ถือว่าค่อนข้างไว และแนะนำกำลังขับของแอมป์ที่เหมาะสมกับลำโพงคู่นี้อยู่ระหว่าง 20 – 150 วัตต์ต่อข้าง ในขณะที่ตัวลำโพงรองรับกำลังขับแบบต่อเนื่อง (RMS) ได้ 110 วัตต์ต่อข้าง

ผมทดลองใช้ลำโพงคู่นี้ทั้งในห้องรับแขกและในห้องฟัง พบว่า มันให้เสียงที่ไปกันได้ดีทั้งในสภาพแวดล้อมที่มีการจัดการสภาพอะคูสติกอย่างดี และในสภาพแวดล้อมที่สภาพอะคูสติกไม่เอื้ออำนวยอย่างในห้องรับแขก เพียงแค่จับกับแอมปลิฟายที่มีกำลังขับเหมาะสมกับมัน และเลือกใช้สายลำโพงที่มีคุณภาพดีพอสมควรเท่านั้นคุณก็สามารถเอนจอยกับเสียงของลำโพงคู่นี้ได้แล้ว

ผมทดลองใช้ B-40 V.3 ในห้องรับแขกโดยจับกับ all-in-one ของ QUAD รุ่น Artera Solus Play ที่มีกำลังขับข้างละ 75 วัตต์ ที่โหลด 8 โอห์ม ซึ่งหากวัดที่โหลด 6 โอห์มก็ได้ประมาณ 112.5 วัตต์ต่อข้าง ใกล้เคียงกับตัวเลข power handling หรือความสามารถในการรองรับกำลังขับแบบต่อเนื่องของลำโพงคู่นี้ ซึ่งผลลัพธ์ของเสียงที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจมาก ผมใช้สายลำโพง Nordost รุ่น SuperFlatline (REVIEWพบว่ามันไปด้วยกันได้ดี โทนเสียงออกมาในแนวเปิดกระจ่าง รายละเอียดดี สมดุลเสียงเอียงไปทางกลางแหลมมากกว่าทุ้มนิดๆ แต่ทุ้มก็ไม่ถึงกับบาง แต่เป็นทุ้มที่ฉับไว กระชับและตัดตอนเร็ว ไม่ทอดหุ่ยอยู่นาน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเบสน้อยไปหน่อย แต่สำหรับคนที่ฟังเพลงหลากหลายแนวแบบผมแค่นี้ถือว่ากำลังดีแล้ว เพราะเป็นทุ้มที่มีหัวโน๊ตคมชัดไม่ใช่ทุ้มที่เบลอมัว

หลังจากทดลองฟังแบบไม่ซีเรียสในห้องรับแขกไปแล้ว ผมก็ยก B-40 V.3 เข้าห้องฟังเพื่อทดสอบแบบเอาจริงเอาจัง โดยเริ่มกับอินติเกรตแอมป์หลอดของ Cary Audio Design รุ่น SLI-80HS ที่ให้กำลังขับ 40 วัตต์ต่อข้าง ในโหมด Triode และ 80 วัตต์ต่อข้าง ในโหมด Ultra-Linear (UL) โดยใช้สายลำโพง Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aureus ในการเชื่อมต่อ ซึ่งเสียงที่ได้ออกมาต้องบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเสียงของลำโพงที่มีราคาแค่ 20,000 บาท (+/-10%) เท่านั้น.! แม้ว่าในโลกความเป็นจริงอาจจะไม่มีใครกล้าแม็ทชิ่งแบบนี้ แต่เสียงที่ได้ยินออกมาก็เป็นเครื่องยืนยันได้ถึงสมรรถนะของลำโพงคู่นี้ว่ามันสามารถไต่ระดับไปกับแอมปลิฟายที่มีราคาสูงกว่าราคาค่าตัวของมันไปได้หลายเท่า..!!

หลังจากทดลองจับคู่แอมปลิฟายกับลำโพงคู่นี้มาหลายชุดในช่วงเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ผมพบว่า คู่ขาที่แม็ทชิ่งเข้ากับลำโพง B-40 V.3 คู่นี้มากที่สุดก็คือ all-in-one รุ่น EVO150 ของค่าย Cambridge Audio นี่เอง ซึ่งจริงๆ แล้ว ตอนจับคู่กับ QUAD Artera Solus Play ก็ได้เสียงที่น่าพอใจมากแล้ว แต่เนื่องจาก EVO150 มีอ๊อปชั่นพิเศษอย่างหนึ่งที่ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของลำโพง B-40 V.3 คู่นี้ออกมาได้มากกว่าแอมป์ตัวอื่นๆ นั่นคืออ๊อปชั่นการเชื่อมต่อระหว่าง EVO150 กับ B-40 V.3 ด้วยการใช้เอ๊าต์พุต Speaker ชุด A + Speaker ชุด B พร้อมกันนั่นเอง (ปรับตั้งที่ EVO150 เลือก Speaker A+B)

ผมใช้สายลำโพง Furutech รุ่น FS-301 จำนวน 2 คู่ (4 เส้น) ในการเชื่อมต่อระหว่างขั้วต่อสายลำโพงของตัวลำโพงกับขั้วต่อสายลำโพงของแอมป์ โดยถอดแถบโลหะที่จั๊มอยู่ที่ขั้วต่อทั้งสองชุดของลำโพงออกไป เป็นการต่อไบไวร์จากขั้วต่อของแอมป์มาที่ขั้วต่อของลำโพงด้วยสายลำโพงที่แยกขาดจากกัน ซึ่งต่างจากการเชื่อมต่อด้วยสายไบไวร์แบบ 2 > 4 จากขั้วต่อสายลำโพงของแอมป์ชุดเดียว

ข้อดีของเสียงที่ได้จากการเชื่อมต่อสายลำโพงลักษณะนี้ก็คือ ทำให้ได้เสียงที่เปิดกว้าง แผ่ใหญ่ ลอยและนิ่ง เสียงโดยรวมจะมีลักษณะที่ผ่อนปรน ไม่มีอาการบีบ ไม่เครียด

เซ็ตอัพตำแหน่งเพื่อการทดสอบ

ผมวาง B-40 V.3 บนขาตั้งของ Atacama รุ่น MOSECO XL600 (REVIEW) ที่มีความสูง 24 นิ้ว ซึ่งมันไปด้วยกันได้ดี แพลทบนของขาตั้งกับฐานล่างของตัวลำโพงมันมีขนาดพอๆ กัน วางได้พอดี

ตอนเอา B-40 V.3 ไปทดลองใช้งานในห้องรับแขก อัพเกรดเสียงจากทีวีและใช้ฟังเพลงไปด้วยในตัว ผมพบว่า ระยะโฟกัสลงตัวระหว่างข้างซ้ายกับข้างขวาของลำโพงคู่นี้อยู่ที่ 188 .. ซึ่งกว้างกว่าความกว้างของทีวีจอ 65 นิ้ว (144 ..) พอสมควรจึงไม่มีปัญหาลำโพงบังหน้าจอ ส่วนระยะห่างผนังด้านหลังอยู่ที่ 86 .. เป็นจุดที่ได้สมดุลของเสียงในย่านทุ้มที่กลมกลืนกับปริมาณของเสียงหลางแหลมพอดีๆ ซึ่งต้องขอบคุณการออกแบบของลำโพงคู่นี้ที่เอาท่อระบายเบสมายิงออกทางด้านหน้าทำให้สามารถร่นระยะห่างผนังหลังเข้าไปได้มากกว่าปกตินิดหน่อย

เมื่อเอา B-40 V.3 เข้าไปทดลองฟังในห้องฟังของผม ผมพบว่า มันชอบระยะวางห่างผนังหลังอยู่ที่ตำแหน่ง ความลึกของห้อง หารด้วย 5” (ที่ระยะห่างผนังหลัง 132 ..) มากว่าที่ตำแหน่ง ความลึกของห้อง หารด้วย 3” (ที่ระยะห่างผนังหลัง 220 ..) คือถ้าดึงลำโพงห่างผนังหลังออกมา มากกว่า132 .. คุณจะได้เสียงกลางแหลมจากลำโพงคู่นี้ที่เปิดโปร่งมากขึ้น เวทีเสียงด้านลึกจะถอยร่นลงไปด้านหลังระนาบลำโพงมากขึ้น แต่ต้องแลกกับมวลของเสียงที่เบาบางลง จากการทดลองเซ็ตอัพที่ห้องฟังของผมพบว่า ระยะห่างผนังหลังที่อยู่ในเกรฑ์ยอมรับได้สำหรับผมจะอยู่ระหว่าง 132 – 145 .. คือถ้าใช้แอมป์ที่มีกำลังขับสูงหน่อยคือตั้งแต่ 100 วัตต์ต่อข้างขึ้นไป จะสามารถดึงลำโพงห่างผนังหลังออกมาได้มากกว่า 132 .. โดยที่เสียงทุ้มยังคงมีมวลแน่นในขณะที่เสียงกลางแหลมก็ไม่บางจนเกินไป แต่ถ้าใช้แอมป์ที่มีกำลังขับต่ำกว่า 100 วัตต์ต่อข้างลงไป ก็ควรรักษาระยะห่างผนังหลังไว้ใกล้ๆ 132 .. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็แล้วแต่รสนิยมในการฟังของคุณเองด้วย คือถ้าคุณชอบฟังเสียงที่ออกไปทางโปร่ง ชอบหางเสียงกลางแหลมที่กังวานและทอดปลายเสียงไปยาวๆ ก็สามารถดึงลำโพงออกห่างนังหลังขึ้นมามากกว่าที่ผมแนะนำไว้ได้อีกหน่อย แต่ถ้าชอบสไตล์เสียงหนาๆ แน่นๆ ก็สามารถดันลำโพงทั้งสองข้างลงไปชิดผนังหลังได้มากกว่า 132 ..

ส่วนระยะห่างซ้ายขวาของลำโพงคู่นี้ผมพบว่ามันอยู่ระหว่าง 172 – 186 .. คือในระยะห่างระหว่างสองค่านี้จะให้โฟกัสของเสียงกลางที่ใกล้เคียงกัน ดึงห่างออกไปใกล้ 186 .. มากหน่อยจะได้เสียงในย่านกลางสูงที่มีโฟกัสดีขึ้น ถ้าบีบให้ชิดกันมาทาง 172 .. ก็จะได้โฟกัสของย่านกลางต่ำที่ดีขึ้น ซึ่งแอมปลิฟายที่ใช้มีส่วนกับการบีบถ่างระยะห่างซ้ายขวาของลำโพงคู่นี้เหมือนกัน ถ้าเปลี่ยนแอมป์หรือสายลำโพง หรือแม้แต่อุปกรณ์แหล่งต้นทาง ผมแนะนำว่าควรจะตรวจเช็คระยะห่างซ้ายขวาของลำโพงคู่นี้ด้วย ระยะโฟกัสของเสียงกลางมันมีโอกาสที่จะเคลื่อนได้นิดหน่อย ที่ต้องแนะนำไว้แบบนี้เพราะตอนที่ผมทดลองใช้แอมป์หลอด Cary Audio Design รุ่น SLI-80HS มาขับลำโพงคู่นี้ ผมพบว่าเสียงของลำโพงคู่นี้มันแผ่กว้างออกไปมากขึ้นเยอะ ตัวเสียงขยายใหญ่ ส่วนโฟกัสไม่ได้คมเป๊ะ แต่ก็ไม่ถึงกับเบลอ ซึ่งเป็นไปตามบุคลิกของแอมป์หลอดที่ให้มวลเนื้ออิ่มใหญ่ แสดงว่าลำโพงคู่นี้ก็สามารถไปกับแนวเสียงของแอมป์หลอดได้

เสียงของ TAGA Harmony Platinum B-40 V.3

ในแง่ของโทนัลบาลานซ์ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ให้ความถี่ในย่านกลางแหลมออกมามากกว่าย่านทุ้มอยู่เล็กน้อย เทียบสัดส่วนประมาณ 60:40 เป็นผลให้บุคลิกเสียงโดยรวมของ B-40 V.3 ออกไปทางเปิดกระจ่าง แต่เนื่องจากมันให้ bandwidth ที่กว้างมาก จึงเปิดโอกาสให้สามารถแม็ทชิ่งสายลำโพงเพื่อปรับโทนัลบาลานซ์ได้ตามที่ใจชอบ ถ้าไม่ชอบให้มีปริมาณเสียงแหลมเยอะ แนะนำให้หาสายลำโพงที่ให้ปริมาณเสียงในย่านกลางและทุ้มมากกว่าแหลม อย่างเช่นยี่ห้อ Transparent Cable หรือ Purist Audio Design มาแม็ทชิ่ง แต่ถ้าชอบแนวเสียงที่ให้รายละเอียดในย่านแหลมเยอะหน่อย มีปลายเสียงที่ทอดยาว กังวาน ก็ให้ลองหาสายลำโพงที่ให้บุคลิกเสียงไปในทิศทางนั้นมาแม็ทฯ อย่างเช่นของยี่ห้อ Nordost หรือ Kimber Kable เป็นต้น

อัลบั้ม : Best Audiophile Voices Vol.V (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Premium Records

ผมเริ่มต้นทดลองฟังด้วยเพลงร้องที่ใครๆ ก็ฟังได้ ซึ่งเพลงในอัลบั้มชุดนี้เป็นเพลงที่ค่าย Premium Records ไปตัดจากหลายๆ อัลบั้มมารวมกัน มีการนำเอาต้นฉบับมาผ่านกระบวนการ Digital Remastered ด้วยการแปลงสัญญาณต้นฉบับ ซึ่งไม่ได้ระบุว่าเอามาจากมาสเตอร์เทป จึงเข้าใจว่าน่าจะเป็นมาสเตอร์ดิจิตัล (ซึ่งอาจจะเอามาจากแผ่นซีดีซะด้วยซ้ำ!) แล้วเอามายกระดับด้วยการ upsampling & upsample ให้เป็นสัญญาณ 24/192 ก่อนจะนำไปผ่านกระบวนการ downsampling อีกรอบให้กลับมาเป็นสัญญาณ 16/44.1 เพื่อตัดแผ่นซีดีออกมาจำหน่าย ซึ่งในขั้นตอนอัพแซมปลิ้งนั้น ก่อนจะปรับกลับลงมาที่ 16/44.1 น่าจะมีการปรับแต่งเสียงด้วย DSP หรือ EQ เนื่องจากเมื่อเทียบกับต้นฉบับที่อยู่ในอัลบั้มเต็มของศิลปินนั้นๆ แล้ว เสียงจะต่างกัน คือเวอร์ชั่นที่อยู่ในอัลบั้มรวมเพลงของค่าย Premium Records จะให้เกนแรงกว่า เสียงกลางแหลมจะมีปริมาณมากกว่าต้นฉบับ ทำให้บุคลิกเสียงโดยรวมออกไปทางสว่าง บางแทรคนั้นสว่างมากจนเกือบถึงจุดวิกฤตก็มี แต่ก็มีบางแทรคที่ทำออกมาได้ดี คือออกมากระจ่างชัดกว่าต้นฉบับที่ติดทึบขุ่น

ผมชอบใช้อัลบั้มรวมเพลงเหล่านี้ (ของค่ายนี้ทำออกมาหลายชุด ตั้งแต่ Best Audiophile Voices Vol.1 ไปจนถึง Vol.VII) เปิดทดลองฟังกับลำโพงที่ทดสอบเพื่อตรวจเช็คประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสัญญาณเสียงในย่านกลางแหลม โดยเฉพาะลำโพงที่ใช้ทวีตเตอร์โดมโลหะ เพราะถ้าออกแบบมาไม่ดี เสียงแหลมของอัลบั้มนี้จะแสดงอาการเจิดจ้าจนเกินไปออกมาให้ได้ยินทันที ซึ่งผมพบว่า B-40 V.3 สามารถควบคุมเสียงแหลมในอัลบั้มนี้ให้อยู่ในร่องในรอยได้อย่างน่าทึ่ง เสียงแหลมของลำโพงคู่นี้มันไม่มีอาการจ้าออกมาเลยเมื่อทดลองฟังในห้องรับแขกด้วยระดับความดังปานกลาง และมันจะเริ่มมีอาการจ้าของเสียงแหลมขึ้นมานิดๆ เมื่อผมยกเข้าไปลองฟังในห้องฟังขนาดใหญ่และเร่งวอลลุ่มจนดังเต็มห้อง ซึ่งเป็นสถานะการณ์ปกติของลำโพงขนาดเล็กในห้องฟังขนาดใหญ่ ที่ผ่านๆ มา ลำโพงเล็กที่สามารถเปล่งเสียงออกมาเต็มห้องนี้ได้โดยเสียงแหลมไม่จ้าล้วนเป็นลำโพงที่มีราคาเฉียดแสนขึ้นไปทั้งนั้น

หลังจากยก B-40 V.3 เข้ามาลองฟังในห้องฟังและพบว่ามันมีอาการเสียงแหลมจ้าขึ้นมานิดๆ ตอนเปิดดังๆ ผมก็เลยพยายามค้นหาสาเหตุ จนพบว่า เมื่อสลับสายลำโพง Nordost รุ่น SuperFlatline ที่เสียบเข้าทางขั้วต่อสายลำโพงชุดล่าง ย้ายขึ้นมาต่อเข้าที่ขั้วลำโพงชุดบน ปรากฏว่า ดุลเสียงเปลี่ยนไป อาการเสียงแหลมจ้าๆ ตอนเปิดดังๆ ลดลงไปเยอะ เสียงแหลมลงมาถึงเสียงกลางมีความต่อเนื่องที่ดีขึ้นและสะอาดเนียนมากขึ้น แต่บุคลิกโดยรวมที่เปิดโปร่งก็ยังคงอยู่

เมื่อผมทดลองเปลี่ยนมาใช้สายลำโพง Purist Audio Design รุ่น Aqueous Aureus ปรากฏว่าแนวเสียงเปลี่ยนไปเยอะมาก โดยเฉพาะสมดุลเสียงที่สลับไปเด่นทางย่านกลางลงไปทุ้มมากกว่าแหลม เนื้อมวลของเสียงกลางและทุ้มมีความหนาแน่นมากขึ้น เกลี้ยงเกลามากขึ้น ในขณะที่เสียงแหลมลดปริมาณลงไปนิดนึง ปลายเสียงแหลมเก็บตัวมากกว่าเดิม มีผลให้ปลายเสียงแหลมมีลักษณะที่สะอาดมากขึ้น ฟังง่ายขึ้นแม้ว่าจะรายละเอียดตรงปลายเสียงแหลมจะลดน้อยลงไปนิดนึง แต่ก็ไม่ถึงกับทึบ

เมื่อผมทดลองเปลี่ยนแอมป์จาก QUAD รุ่น Artera Solus Play มาใช้ EVO150 ของ Cambridge Audio ซึ่งมีกำลังมากกว่าลองขับลำโพงคู่นี้ด้วยการเชื่อมต่อสายลำโพงแบบไบไวร์ด้วยสายลำโพงซิงเกิ้ลของ Furutech รุ่น FS-301 สองชุด ผมพบว่า เสียงโดยรวมมีลักษณะเปิดโปร่งมากขึ้น อาการจ้าของเสียงแหลมตอนที่เปิดดังมากๆ มีปริมาณลดลง ซึ่งผมเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะกำลังขับที่มากขึ้นทำให้แอมป์สามารถควบคุมไดเวอร์ของลำโพงได้เด็ดขาดมากขึ้น ช่วยลดอาการริ้งกิ้งของไดอะแฟรมลงไปได้ส่วนหนึ่ง ข้อดีที่ได้จากการเชื่อมต่อสายลำโพงแบบนี้คือเวทีเสียงที่เปิดโล่งทุกมิติ เวทีใหญ่ แต่เนื้อเสียงบางลงกว่าตอนใช้สายลำโพง Purist Audio Design ซึ่งคงจะเป็นเพราะคุณภาพของสายลำโพงมันต่างชั้นกันมาก ถ้าได้สายลำโพงของ Purist Audio Design หรือของ Transparent Cable รุ่นเล็กๆ สองชุดมาเชื่อมต่อแทน Furutech ก็น่าจะได้มวลเสียงที่อิ่มเข้มมากขึ้นในขณะที่เวทีเสียงก็จะออกมาเปิดโล่งคล้ายกัน น่าเสียดายที่ผมไม่มีสายลำโพงเหล่านั้นอยู่ในมือ

ลักษณะของเพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงร้องที่โชว์เสียงนักร้องหญิง ซึ่ง B-40 V.3 ก็สามารถแสดงความแตกต่างในน้ำเสียงของนักร้องแต่ละคนออกมาให้รับรู้ได้อย่างชัดเจน คุณภาพเสียงที่ออกมาจะสวิงกันไปในแต่ละเพลง แต่โดยรวมๆ ก็ไปทางเปิดเผย กระจ่างชัด โดยเฉพาะเสียงร้องที่อยู่ในย่านความถี่กลางขึ้นไปถึงสูงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเป็นอิสระ วรรณะของเสียงเปล่งปลั่ง สดใส ไม่มีอาการขุ่นหรือทึบหม่น เสียงร้องลอยออกมาจากฉากหลังแสดงตัวตนที่เด่นชัด เมื่อเทียบกับเสียงกลางของลำโพงที่มีราคาสูงกว่านี้เป็นเท่าตัว B-40 V.3 จะด้อยกว่าในแง่ของมวลเนื้อที่หนาแน่นและขึ้นรูปเป็นสามมิติมากกว่า แต่ความแตกต่างที่ว่านั้นก็ไม่ได้มากเป็นเท่าตัว

เสียงแหลมที่ B-40 V.3 ให้ออกมามันดีกว่าลำโพงในระดับราคาพอๆ กันอย่างเห็นได้ชัด คือโดยปกติแล้ว ลำโพงที่มีราคาไม่ถึงสามหมื่นบาทมักจะให้เสียงแหลมออกมาทางใดทางหนึ่งระหว่าง มีเนื้อแต่ปลายกุดกับ ทอดปลายยาวแต่เนื้อบางจ๋อยแต่เสียงแหลมที่ B-40 V.3 ให้ออกมามันออกไปทางลำโพงแพงๆ คือเป็นเสียงแหลมที่มีบอดี้ เมื่อเล่นไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง เสียงแหลมที่ B-40 V.3 ให้ออกมาจะมีตัวเสียที่ขึ้นรูปเป็นเม็ดที่มีขนาดต่างกัน ไม่ใช่เสียงแหลมที่ย่อยจนเป็นผงเหมือนกับลำโพงราคาถูกส่วนใหญ่ แถมยังมีพลังดีดตัวที่แตกเป็นประกายและให้หางเสียงที่ทอดยาวออกมาได้ด้วย.!

อัลบั้ม : Time Out! (DSF64)
ศิลปิน : Dave Brubeck Quartet
สังกัด : SME Records

เสียงเคาะฉาบด้วยปลายไม้กลองในแทรคแรก Blue Rondo A La Turk ที่ลอยอยู่เหนือทวีตเตอร์ของลำโพง B-40 V.3 ข้างซ้ายปรากฏตัวออกมาชัดเป็นเม็ดๆ มันมีทั้งความชัด ใส และกังวานเบาๆ อยู่ในตัว ถ้าไม่รู้มาก่อนจะไม่เชื่อเลยว่าเสียงนี้จะดังออกมาจากลำโพงคู่ละสองหมื่นนิดๆ.!

อย่างที่เกริ่นมาข้างต้น เสียงกลางสูงขึ้นไปถึงแหลมของ B-40 V.3 ออกไปทางเปิดเผย จะแจ้ง ซึ่งเป็นไปตามบุคลิกธรรมชาติของไดอะแฟรมที่ทำมาจากอะลูมิเนียม ซึ่งคนที่ชอบฟังเสียงแหลมที่เปิดเผยรายละเอียดออกมาแบบไม่ปิดบังอย่างนี้ก็ถือว่าเข้าทาง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในบางครั้งคุณอาจจะได้ยินเสียงแหลมที่มีลักษณะแห้งหรือหยาบกระด้างออกมาจากลำโพงคู่นี้ ซึ่งนั่นเป็นไปตามลักษณะที่เปิดเผยของมันที่ไม่กลบเกลื่อนให้กับสัญญาณต้นทางคุณภาพต่ำ ถ้าแนวเพลงที่คุณชอบฟังเป็นเพลงคอมเมอร์เชี่ยลจากค่ายเพลงทั่วไปที่ไม่ได้พิถีพิถันในการบันทึกเสียงมากนัก คุณอาจจะต้องเลือกแอมป์กับสายลำโพงที่ช่วยไกล่เกลี่ยเสียงแหลมของลำโพงคู่นี้ให้ลดความกระจ่างชัดลงบ้าง ซึ่งแอมป์หลอดอาจจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับกรณีนี้ จากการทดลองขับด้วยแอมป์หลอด Cary Audio Design รุ่น SLI-80HS ผมพบว่ามันช่วยทำให้เสียงแหลมของเพลงตลาดทั่วไปมีความกลมกล่อม เป็นมิตรกับหูมากขึ้นเมื่อเล่นผ่านลำโพงคู่นี้ นอกจากนั้น เสียงกลางของลำโพงคู่นี้ก็จะได้มรรคผลจากแอมป์หลอดเข้ามาช่วยเพิ่มสีสันความฉ่ำหวานให้มากขึ้นด้วย

อัลบั้ม : Monkey Hip Gumbo … & Mothball Stew (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Brent Lewis
สังกัด : Brent Lewis Productions

ตัวตู้ที่มีผนังโค้งน่าจะมีส่วนช่วยทางด้านมิติเสียงได้จริง เพราะเสียงเพอร์คัสชั่นที่ผมได้ยินจากอัลบั้มนี้มันลอยหลุดออกไปจากตัวตู้อย่างชัดเจน แม้ว่าเสียงเคาะที่โน๊ตต่ำๆ จะมีลักษณะคลุมเครือนิดๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะตัวตู้ยังไม่ถูกทำให้มีลักษณะที่ dead มากเท่าที่ควร ตอนเปิดอัลบั้มนี้ดังๆ ผมลองเอาผ่ามือไปทาบบนตัวตู้ด้านข้าง พบว่ามันมีอาการสั่นกระพรือมากอยู่ น่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงทุ้มต่ำๆ ที่มีอาการมัวๆ อยูบ้าง แต่จากประสบการณ์ผมว่าที่ทำออกมาได้ขนาดนี้กับราคาขายแค่นี้ผมก็แฮ้ปปี้แล้ว เพราะรู้ดีว่า การทำให้ตัวตู้มีความแน่นหนามากๆ มันคือต้นทุนก้อนใหญ่ในการออกแบบลำโพง ซึ่งถ้าทำได้จริงก็คงจะทำให้ได้เสียงที่ดีกว่านี้แน่ๆ แต่เชื่อว่าต้นทุนในการแด้มป์ตัวตู้ก็คงส่งให้ราคาขายพุ่งขึ้นไปหลายอยู่ ซึ่งอาการขุ่นๆ มัวๆ ที่ย่านเสียงต่ำตอนเล่นเพลงที่มีเพอร์คัสชั่นหนักๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ได้กระทบกับความเป็นดนตรีของเพลงมากนัก ถือว่ายอมรับได้

สรุป

ผมไม่กล้าปกปิดความจริงว่าผมรู้สึกชอบลำโพงคู่นี้มาก.. ในการทดสอบผมพยายามมองมันแบบตรงไปตรงมาโดยไม่เอาความรู้สึกชอบส่วนตัวเข้าไปช่วยเหลือมัน แน่นอนว่าหลังจากทดสอบไปในแทบทุกแง่มุมแล้ว ผมพบว่าลำโพงคู่นี้ก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่จุดอ่อนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในพิสัยที่จะทำให้คุณภาพเสียงโดยรวมของมันแย่ลงมากขนาดที่จะยอมรับไม่ได้

เหตุผลที่ผมชอบลำโพงคู่นี้ไม่ใช่เพราะว่ามันให้เสียงดีที่สุด แต่ผมชอบที่มันให้คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาดีมากในขณะที่ราคาขายของมันอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ยากต่อการตัดสินใจ..!!

ถ้าคุณกำลังมองหาลำโพงในงบประมาณสองหมื่นบวก/ลบที่ให้เสียงดีเกินราคา.. คุณไม่ควรรอช้าที่จะไปลองฟังเสียงของลำโพงคู่นี้ ไปลองฟังให้แน่ใจว่าคุณชอบบุคลิกเสียงของมันหรือไม่เท่านั้นพอ.. ข้อดีที่เหลือมันจะค่อยๆ เผยออกมาให้คุณสัมผัสไปเรื่อยๆ หลังจากที่คุณใช้ชีวิตอยู่กับมันนานขึ้น.!! /

**********************
ราคา : 20,900 บาท / คู่
**********************
จัดจำหน่ายโดย
HDhifi
———-
สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่


mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า