รีวิว KEF รุ่น Kube 10 MIE

หลังจากได้มีโอกาสทดสอบลำโพงซับวูฟเฟอร์ของ KEF รุ่น KC92 ไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (REVIEW) ผมก็เฝ้ารอลำโพงซับวูฟเฟอร์รุ่น Kube 10 MIE ของ KEF รุ่นนี้มาตลอด (ตอนนั้นทางบริษัทตัวแทนคือ Vgadz แจ้งว่าของไม่มี ต้องรอสั่งเข้ามา) เพราะหลังจากผมพิจารณาจากสเปคฯ และราคาขายของรุ่น Kube 10 MIE ตัวนี้ดูแล้ว ผมว่ามันอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมมากสำหรับคนที่อยากจะเพิ่มซับวูฟเฟอร์กับชุดฟังเพลงระดับกลางๆ ราคาทั้งชุดไม่เกิน 3 แสนบาท เพราะรุ่น Kube 10 MIE ราคาตัวละสามหมื่นนิดๆ เท่านั้น ใช้สองตัวก็ตกหกหมื่นนิดๆ ถือว่าไม่โหดเหมือนรุ่น KC92 ที่มีราคาสูงกว่าเยอะ ใช้สองตัวก็เกือบสองแสนเข้าไปแล้ว.!!

KC92 ไม่ดีเหรอ.? ดีครับ.. ดีมากด้วย แต่ก็อย่างที่ผมบอก เนื่องจากราคาของ KC92 มันโหดไปนิด ซึ่งผลที่ได้จากการทดสอบตัว KC92 ผมพบว่า ใช้ซับวูฟเฟอร์ 2 ตัวแยกซ้ายขวาให้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมาดีกว่าใช้ตัวเดียวอย่างมาก สมดุลของเสียงออกมาดีกว่าและปรับจูนให้ลงตัวได้ง่ายกว่าด้วย ซึ่งราคาของ KC92 รวมกันสองตัวประมาณสองแสน น่าจะเหมาะกับซิสเต็มที่ใช้ลำโพงหลักคู่ละ 3 – 5 แสนบาทขึ้นไป ในขณะที่ซิสเต็มระดับกลางๆ ที่ใช้ลำโพงหลักคู่ละ ไม่เกิน 2 แสนบาท ถ้าจะจับกับ KC92 สองตัวมันก็ดูจะสูงเกินลำโพงหลักไปหน่อย ซึ่งผมมองว่า ลำโพงหลักคู่ละไม่เกิน 2 แสนบาท จับกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่มีราคา ไม่เกิน 1 แสนบาท (สองตัว) ผมว่ากำลังดี.! (*แต่ถ้าคุณไม่ติดขัดเรื่องงบประมาณและไม่อยากคาใจจะกระโดดไป KC92 สองตัวก็ไม่ว่ากัน.!!)

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง..!!

ทางบริษัท Vgadz ซึ่งเป็นตัวแทนผู้นำเข้าลำโพงแบรนด์ KEF นำส่งลำโพงซับวูฟเฟอร์รุ่น Kube 10 MIE ถึงบ้านผมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผมรีบแกะกล่องและนำเข้าไปติดตั้งในห้องฟังทันที เพราะก่อนหน้านั้นผมได้ทำการเซ็ตอัพลำโพง KEF รุ่น Q Concerto Meta คู่ที่ผมทดสอบไปเมื่อต้นเดือนมกราคม 2025 ที่ผ่านมา (REVIEW) ไว้แล้วเพื่อรอจับคู่กับลำโพงซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE ในการทดสอบครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูลของ Kube 10 MIE ที่ผมเข้าไปดูมาก่อนหน้านี้พบว่า รุ่นนี้ใช้ไดเวอร์ขนาด 10 นิ้ว แค่ดอกเดียว ในขณะที่รุ่น KC92 ใช้ไดเวอร์ดีไซน์พิเศษที่เรียกว่า Uni-Core ซึ่งใช้ไดเวอร์ขนาด 9 นิ้ว จำนวนสองตัวติดตั้งหันหลังชนกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลักดันอากาศ ด้วยเหตุที่ KC92 และ Kube 10 MIE ใช้ไดเวอร์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ตัวตู้ของ KC92 กับ Kube 10 MIE มีขนาดสัดส่วนที่ไม่ต่างกันมาก ซึ่งผมว่ากำลังดีสำหรับการติดตั้ง 2 ตัวในห้องฟังขนาดกลางๆ วางลงไปแล้วดูไม่รกตามากและไม่เกะกะสนามเสียงด้วย

ส่วนสัดกำลังดี..

ตัวตู้ของ Kube 10 MIE มาในทรงลูกบาศน์แบบเดียวกับ KC92 ทว่าสัดส่วน กxxส ของรุ่น Kube 10 MIE จะใหญ่กว่าตัวตู้ของ KC92 อยู่นิดนึง

Kube 10 MIE เป็นลำโพงซับวูฟเฟอร์แบบ front-firing คือติดตั้งไดเวอร์ไว้บนแผงหน้าของตัวตู้ในลักษณะที่ยิงคลื่นเสียงขนานไปกับพื้นห้อง ซึ่งต่างจากรุ่น KC92 ที่เป็นแบบ side-firing คือยิงคลื่นเสียงออกทางด้านข้างซ้ายขวาของตัวตู้ ขนานไปกับพื้น เมื่อติดตั้งใช้งานตามสภาพปกติ ไดเวอร์ของรุ่น Kube 10 MIE จะยิงคลื่นความถี่ออกมาด้านหน้าเข้าหาตำแหน่งนั่งฟังลักษณะเดียวกับไดเวอร์ของลำโพงหลัก ในขณะที่ไดเวอร์ของรุ่น KC92 ยิงคลื่นความถี่อัดเข้าผนังห้องและยิงเข้าหากัน

รอบๆ ตัวตู้มีผ้ากรุบางสีดำหุ้มห่อไว้ทั้ง 4 ด้าน คือซ้ายขวา, หน้าหลัง ส่วนด้านบนของตัวตู้จะมีแผ่นกระจกสีดำแผ่นสี่เหลี่ยมที่มีสัดส่วน กว้างxลึก เท่ากับสัดส่วนของตัวตู้ปิดทับอยู่ซึ่งบนแผ่นกระจกมีโลโก้แบรนด์ KEF พิมพ์ไว้ด้วย ที่ฐานล่างของตัวตู้ทั้งสี่มุมมีจุกยางติดตั้งอยู่ (ศรชี้ในภาพข้างบน) ทำหน้าที่เป็นขาตั้งเตี้ยๆ เพื่อยกตัวตู้ให้ลอยขึ้นจากพื้น และขายางทั้งสี่ขานั้นยังมีหน้าที่ลดแรงสั่นที่เกิดขึ้นบนตัวตู้ไม่ให้ถ่ายเทลงบนพื้นห้อง แต่จะถูกดูดกลืนไว้กับตัวขาตั้งทั้งสี่ และในทางกลับกัน ขาตั้งยางทั้งสี่ยังทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้คลื่นความสั่นสะเทือนจากพื้นห้องย้อนขึ้นไปรบกวนการทำงานของตัวซับฯ อีกด้วย

ช่องต่อสัญญาณ กับปุ่มปรับตั้งค่าต่างๆ

ถูกติดตั้งอยู่ที่แผงด้านหลังของตัวตู้ทั้งหมด ซึ่งเป็นฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับด้านที่ติดตั้งไดเวอร์นั่นเอง..

1. Expansion port ช่องสำหรับติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณแบบไร้สาย (wireless adaptor)
2. ช่องรับสัญญาณ trigger 12V
3. สวิทช์เลือกโหมดที่ใช้ควบคุมการเปิดใช้งาน
4. สวิทช์เลือกเฟสสัญญาณ
5. สวิทช์เลือกรูปแบบ EQ
6. สวิทช์หมุนเพื่อปรับตั้งจุดตัดความถี่
7. สวิทช์หมุนเพื่อปรับตั้งวอลลุ่ม
8. เมนสวิทช์สำหรับเปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง
9. เต้ารับไฟเอซีจากภายนอก
10. ช่องเสียบสัญญาณอินพุตจากแอมป์ผ่านทางสายลำโพง (High Level)
11. ช่องเสียบสัญญาณอินพุตจากแอมป์ผ่านทางสายสัญญาณ (Line Level)

การเชื่อมต่อสัญญาณจากแอมปลิฟายมาที่ Kube 10 MIE ทำได้ 2 ทาง คือ ทางสายลำโพง (speaker input) กับทางสายสัญญาณ (Line input) ซึ่งช่องอินพุตที่ใช้เชื่อมต่อจะติดตั้งอยู่ที่มุมขวาล่างของแผงหลัง

การเชื่อมต่อผ่านทางสายลำโพงในกรณีที่แอมป์ของคุณไม่มีช่อง Pre-out หรือช่อง Sub-out มาให้ ซึ่งในการเชื่อมต่อต้องใช้อะแด๊ปเตอร์ (ศรชี้ในภาพข้างบน) ที่แถมมาให้ในกล่องเข้ามาช่วย ซึ่งการเชื่อมต่อจะมีความยุ่งยากอยู่หน่อย เพราะช่องต่อสายลำโพงค่อนข้างเล็ก ต้องใช้สายลำโพงเส้นเล็กๆ โดยเชื่อมต่อด้วยวิธีปลอกปลายสายให้เปลือยลงไปถึงเส้นทองแดง แล้วเสียบเส้นทองแดงลงไปในช่องบนตัวอะแด้ปเตอร์ ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบให้มั่นใจว่าสายลำโพง + กับ ติดตั้งไว้ถูกต้อง มิฉนั้นอาจจะเกิดปัญหาสัญญาณกลับเฟสได้

วิธีเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างแอมปลิฟายกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ของ KEF รุ่น Kube 10 MIE ที่ดีที่สุด ง่ายและให้ผลลัพธ์ของเสียงที่ดีก็คือการเชื่อมต่อผ่านทางอินพุตแบบ Line Level ด้วยขั้วต่อสัญญาณ RCA ซึ่ง Kube 10 MIE แต่ละตัวจะมีขั้วต่อสัญญาณ Line Level มาให้ 2 ช่อง ช่องแรกเป็นช่อง L สำหรับรองรับสัญญาณแชนเนลซ้าย (Left channel) กับช่อง R สำหรับรองรับสัญญาณแชนเนลขวา (Right channel) ในขณะเดียวกัน ที่ช่อง L ยังมีตัวหนังสือ LFEกำกับอยู่ด้านบนด้วย ซึ่งแสดงให้รู้ว่า ช่องอินพุต นี้ยังสามารถใช้รองรับสัญญาณ Low Frequency Effect (LFE) ที่มาจากเอ๊าต์พุต .1 ของปรีโปรเซสเซอร์ หรือเอวี เซอร์ราวนด์ของระบบโฮมเธียเตอร์ หรือมาจากเอ๊าต์พุตที่ผ่านวงจรโลวพาสฟิลเตอร์ (LPF) ของอุปกรณ์ประเภท active crossover ภายนอกได้ ส่วนช่อง R ที่ด้านบนจะมีตัวอักษรที่ทำเป็นโลโก้ ‘SmartConnectพิมพ์กำกับไว้ด้วย ซึ่งอินพุตนี้จะมีวงจรพิเศษที่ช่วยปรับ gain หรืออัตราขยายของภาคขยายของเพาเวอร์แอมป์ในตัว Kube 10 MIE ให้ทำงานอยู่ในระดับที่ เต็มที่ตลอดเวลา เสมือนกับว่ามีสัญญาณป้อนเข้าไปที่อินพุต Line Level ของ Kube 10 MIE ตลอดเวลาไม่ว่าจริงๆ แล้วสัญญาณขาเข้าจะเข้ามาแค่ช่องเดียว (L หรือ R) หรือสองช่อง (L + R) พร้อมกัน

กรณีที่ใช้ Kube 10 MIE สองตัวเชื่อมต่อกับแอมป์ฟังเพลงระบบ stereo โดยใช้เอ๊าต์พุต Pre-out ของแอมป์ผ่านสายสัญญาณ RCA ให้เชื่อมต่อสัญญาณจากช่อง Pre-out ของแอมป์เข้าทางอินพุต SmartConnect ของ Kube 10 MIE ทั้งสองตัวจะทำให้ได้ gain ของภาคขยายในตัว Kube 10 MIE ออกมาเต็มที่ตลอดเวลาเหมือนต่อสัญญาณเข้าที่ Kube 10 MIE ทั้งสองช่องพร้อมกันโดยไม่ต้องพึ่ง Y-adapter เลย แต่ถ้าแอมป์มีวงจร Low-pass filter สำหรับกำหนดจุดตัดของสัญญาณจากช่อง Pre-out กรณีนี้ให้เชื่อมต่อสัญญาณจากช่อง Pre-out ของแอมป์ตัวนั้นไปที่อินพุต LFE ของ Kube 10 MIE ตามตัวอย่างในภาพข้างบน

ภาพชาร์ตด้านบนนี้ แสดงให้เห็นถึงวิธีเชื่อมต่อสัญญาณจากแอมปลิฟายไปที่อินพุต Line Level ของ Kube 10 MIE ในกรณีที่ใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE ในระบบแค่ตัวเดียว ภาพทางซ้าย (A) เป็นการเชื่อมต่อสัญญาณจากช่องเอ๊าต์พุต LFE ของเอวี รีซีฟเวอร์ ซึ่งเป็นการใช้งาน Kube 10 MIE ในระบบเสียงของชุดโฮมเธียเตอร์ ส่วนภาพขวา (B) นั้นเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณจากแอมป์ฟังเพลงระบบสเตริโอที่มีช่องเอ๊าต์พุต Pre-out ที่แยกซ้ายขวามาให้ วิธีต่อเชื่อมที่ถูกต้องก็คือ ใช้สายสัญญาณ 2 เส้น แยกกันเชื่อมต่อระหว่างช่อง L / R ของ Pre-out ไปเข้าที่ช่อง L / R อินพุตของ Kube 10 MIE

ฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับแต่งเสียง

พื้นที่ส่วนบนของแผงหลังเป็นที่รวบรวมปุ่มหมุนและสวิทช์โยกสำหรับควบคุมการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ ที่ใช้ในการปรับแต่งเสียงของ Kube 10 MIE ตัวนี้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 ตำแหน่ง ตรงหมายเลข 1 ในภาพข้างบนเป็นตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์เสริมรุ่น KW1 Wireless Subwoofer Adapter Kit ซึ่งเป็นอ๊อปชั่นสำหรับการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างแอมป์กับ Kube 10 MIE ผ่านทางระบบไร้สาย ส่วนหมายเลข 2 นั้นให้ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับสัญญาณ trigger ที่ส่งมาจากแอมป์ ซึ่งเป็นอ๊อปชั่นที่ทำให้ตัว Kube 10 MIE ถูกกระตุ้นให้เปิดขึ้นมาทำงานหลังจากคุณเปิดแอมป์ ซึ่งฟังท์ชั่นนี้จะไปสัมพันธ์กับฟังท์ชั่น MODE ที่ตำแหน่ง 3 ซึ่งเป็นสวิทช์โยก 3 ตำแหน่ง ระหว่าง 1) Always ON คือเปิดตลอด, 2) Auto Wake Up คือ จะเปิดทำงานเมื่อมีสัญญาณเข้ามาที่อินพุต และ 3) 12V จะลิ้งค์กับแอมป์คือ Kube 10 MIE จะเปิดขึ้นมาทำงานหลังจากแอมป์เปิดทำงาน

ตำแหน่ง 47 จะเป็นฟังท์ชั่นที่ใช้ในการปรับแต่งเสียงโดยตรง เริ่มจากหมายเลข 4 คือ PHASE ซึ่งมีไว้ให้เลือกองศาเฟสของสัญญาณเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปจาก Kube 10 MIE ผ่านสวิทช์โยกอันเล็กๆ ที่มีอ๊อปชั่นให้เลือกสองอย่างระหว่าง 0 กับ 180 องศา

ฟังท์ชั่นปรับ EQ

ตรงตำแหน่งหมายเลข 5 คือฟังท์ชั่น EQ ที่ถูกปรับตั้งแบบสำเร็จรูปอยู่ในตัว Kube 10 MIE ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ 1) In-Room, 2) Wall / Cabinet และ 3) Corner

เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า การวางซับวูฟเฟอร์ไว้ในแต่ละตำแหน่งภายในห้องจะส่งผลให้เสียงทุ้มที่ออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์ตัวนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเอ็ฟเฟ็กต์ที่เกิดจาก response ของห้องที่ทำให้คลื่นเสียงจากลำโพงซับวูฟเฟอร์มีลักษณะที่เบี่ยงเบนไป วิธีแก้ปัญหานี้ก็คือการใช้ EQ เข้ามาช่วยปรับจูนเพื่อชดเชยปัญหาของเสียงที่เกิดขึ้นจาก response ของห้องที่เข้ามารบกวน

เพื่อเคลียร์ปัญหาข้างต้นนั้น วิศวกรของ KEF ได้ทำการติดตั้ง EQ ที่ผ่านการปรับตั้งมาจากโรงงานไว้ให้ผู้ใช้ Kube 10 MIE เลือกใช้ในสถานะการณ์ต่างๆ จำนวน 3 ตัวเลือก ตัวแรกคือ In-Roomซึ่งเป็น EQ ที่แนะนำให้ใช้ในกรณีที่คุณวาง Kube 10 MIE ไว้บริเวญกลางห้อง ห่างออกมาจากผนังแต่ละด้านและห่างออกมาจากมุมห้อง ส่วน EQ ตัวที่สองคือ ‘Wall / Cabinetตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อชดเชยกรณีที่คุณวาง Kube 10 MIE เข้าไปชิดผนังด้านใดด้านหนึ่งของห้อง หรือนำเอา Kube 10 MIE ไปฝังซ่อนไว้ในตู้ที่อยู่ในผนังห้อง และ EQ ตัวที่สามคือ ‘Cornerถูกออกแบบมาเพื่อชดเชยกรณีที่คุณวาง Kube 10 MIE ซุกไว้ที่มุมห้องหรือใกล้กับมุมห้อง

ฟังท์ชั่นปรับจุดตัด (crossover) และปรับวอลลุ่ม

ในสเปคฯ ระบุว่า Kube 10 MIE ให้เร้นจ์ของความถี่ตอบสนองอยู่ระหว่าง 24Hz – 140Hz (+/-3dB) ผ่านออกมาทางไดเวอร์ไดนามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่ในตัวตู้ที่ปิดมิดชิด (sealed cabinet) โดยมีวงจรโลวพาสฟิลเตอร์สำหรับให้ผู้ใช้เลือกจุดตัดความถี่ได้ตั้งแต่ 40Hz – 140Hz ผ่านปุ่มหมุนแบบลิเนียร์ (ปุ่มซ้ายมือในภาพข้างบน) ซึ่งถ้าหมุนปุ่มนี้ไปทางขวาในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเลยจุดตัด 140Hz ไปจนสุดสเกลตรงตำแหน่งที่มีตัวอักษร LFE กำกับไว้นั้นก็เท่ากับเป็นการปิดการทำงานของวงจรโลวพาสฟิลเตอร์ลง ซึ่งเป็นอ๊อปชั่นที่มีไว้สำหรับรองรับความถี่จากภายนอกที่ป้อนเข้ามาทางช่องอินพุต LFE ซึ่งจะไม่ผ่านวงจรตัดแบ่งความถี่ในตัว Kube 10 MIE

ถัดไปทางขวาคือปุ่มวอลลุ่ม ซึ่งจะถูกใช้เพื่อกำหนด ความดังของความถี่ต่ำที่ปล่อยออกไปทางเอ๊าต์พุตของ Kube 10 MIE

ดีไซน์ภายใน

นอกจากประสิทธิภาพของไดเวอร์ขนาด 10 นิ้วในตู้ปิดที่ผนึกมาอย่างแน่นหนาแล้ว บนแผงวงจรภายในตัวตู้ของ Kube 10 MIE ยังได้ฝังเทคโนโลยีพิเศษที่วิศวกรของ KEF ออกแบบขึ้นมาไว้ด้วย เป็นวงจรที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ของ KEF สามารถใช้งานร่วมกับลำโพงหลักของระบบเสียง stereo ได้อย่างกลมกลืนกันมากที่สุด ซึ่งประเด็นนี้คือปัญหาใหญ่ที่อยู่คู่วงการเครื่องเสียงมานาน เป็นอุปสรรคที่ทำให้การเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ากับลำโพงฟังเพลงในระบบ stereo ที่ผ่านๆ มาไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ทุกคนต้องการ

เทคโนโลยีพิเศษที่ว่านี้มีชื่อว่า Music Integrity Engine (MIE) ซึ่งเป็น software-base technology ที่วิศวกรของ KEF คิดค้นขึ้นมาในแล็ปและได้ทำการปรับจูนให้ลำโพงซับวูฟเฟอร์สามารถทำงานกลมกลืนไปกับลำโพงหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็นำเอาข้อมูลการปรับจูนทั้งหมดมาเขียนเป็นโค๊ดอัลกอริธึ่มแล้วฝังลงไปบน DSP (Digital Signal Processing) ซึ่งอัลกอริธึ่มบนชิป MIE ที่อยู่ในตัว Kube 10 MIE จะทำการวิเคราะห์สัญญาณอินพุตด้วยสปีดที่เร็วมากๆ จากนั้นก็ไปควบคุมการทำงานของวงจรขยายในภาคเพาเวอร์แอมป์ให้สนับสนุนสัญญาณอินพุตให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยเข้าไปปรับจูนในส่วนของ phase ด้วยฟีเจอร์ phase correction เพื่อจัดคุณสมบัติทางด้าน timing ของสัญญาณเอ๊าต์พุตให้ตรงกับเฟสของสัญญาณต้นทางเอาไว้ให้คงที่ตลอดเวลา

phaseและ ‘timingเป็นคุณสมบัติสำคัญ (นอกเหนือจากความถี่และความดัง) ที่ทำให้เสียงจากซับวูฟเฟอร์ผสมไปกับเสียงจากลำโพงหลักได้อย่างกลมกลืน ถ้าลำโพงซับวูฟเฟอร์ไม่มีตัวช่วย (ซอฟท์แวร์ MIE) ในเรื่องนี้ก็ยากที่จะสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้นระหว่างลำโพงซับวูฟเฟอร์และลำโพงหลัก เพราะระยะเวลาที่สัญญาณอินพุตต้องวิ่งผ่านวงจรปรับจุดตัด, วงจรปรับวอลลุ่ม และวงจรปรับเฟส ไปถึงเพาเวอร์แอมป์และต่อไปที่ไดเวอร์ มันค่อนข้างนาน กว่าสัญญาณเสียงจะออกมาจากไดเวอร์ของซับฯ ก็มีโอกาสที่เกิดปัญหา เฟสเคลื่อน” (phase shift) ไม่ตรงกับตอนที่เข้าไปทางอินพุตของซับฯ ซึ่งนั่นคือต้นตอของปัญหาเสียงที่ไม่กลืนกัน ถามว่า จะใช้วิธีแมนน่วลค่อยๆ ขยับหาตำแหน่งลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปทีละนิดเพื่อชดเชยเฟสจะสามารถทำได้มั้ย.? ก็ได้แต่บอกเลยว่ายาก.! ซึ่งหน้าที่ของซอฟท์แวร์ MIE ในตัว Kube 10 MIE คือช่วยจัดการให้คลื่นเสียงทุ้มที่ส่งออกไปมีเฟสที่ตรงกับสัญญาณอินพุตที่รับเข้ามามากที่สุดด้วยการ ชดเชยเฟสของสัญญาณช่วงที่ยังเดินทางอยู่ในวงจรต่างๆ ของซับฯ นั่นเอง ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำให้การขยับหาตำแหน่งเพื่อปรับจูนเสียงของ Kube 10 MIE ให้กลืนกับลำโพงหลักทำได้ง่ายมาก..

ส่วนภาคเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้อยู่ในตัว Kube 10 MIE เป็นแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D จึงวางใจได้ในแง่ของสปีดในการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตที่น่าจะฉับไวพอ แถมมีพลังมากถึง 300W ต่อตัวซะด้วย แทบจะไม่ต้องกังวลกับพลังเบสเลย..!

การเซ็ตอัพ Kube 10 MIE เข้ากับชุดฟังเพลงเพื่อการทดสอบ

คอนเซ็ปต์ของการ เพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาในชุดฟังเพลงที่ใช้ระบบเสียง stereo 2 ch ก็เพื่อ ขยายขีดความสามารถในการตอบสนองความถี่เสียงของชุดฟังเพลง stereo 2 ch เดิมให้เปิดกว้างออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านความถี่ต่ำ ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าทำสำเร็จ เราก็จะได้ชุดฟังเพลง stereo 2 ch ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เราได้ยินรายละเอียดของเสียงเปิดเผยออกมามากขึ้นโดยเฉพาะในย่านความถี่ต่ำ แต่ทว่า.. อุปสรรคที่จะทำให้การเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาในระบบฟังเพลงแล้วได้ผลลัพธ์ออกมา ไม่เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ที่ตั้งไว้ก็คือ ความไม่กลมกลืนกันระหว่างความถี่เสียงที่ออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่เพิ่มเข้ามากับความถี่จากลำโพงหลักที่มีอยู่เดิม

เรารู้มาว่า คุณสมบัติทางด้าน phase คือตัวการสำคัญที่จะทำให้เสียงที่มาจากสองแหล่งกำเนิด (ลำโพงหลักกับลำโพงซับวูฟเฟอร์) สามารถผสมกลมกลืนกันได้ดีแค่ไหน ซึ่งสัญญาณเสียงที่มาจากต้นกำเนิด (คือจาก source) เป็นสัญญาณ full range ที่มีแบนด์วิธเต็มตามเพลงที่บันทึกมาก เมื่อสัญญาณนั้นถูกส่งมาถึงแอมป์เพื่อขยายให้ใหญ่ขึ้นมันก็ยังคงเป็นสัญญาณ full range อยู่ แต่จะเริ่มถูก ตัดทอนให้หดแคบลงเมื่อถูกส่งไปที่วงจรเน็ทเวิร์คของลำโพง เพราะวงจรเน็ทเวิร์คของลำโพงถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่ในการจัดสรรความถี่ให้เหมาะสมกับความสามารถของไดเวอร์ที่อยู่บนตัวลำโพงนั้นๆ นั่นเอง (ยิ่งลำโพงหลักมีขนาดเล็ก ความถี่เสียงจากต้นทางก็จะยิ่งเหลือน้อยลง)

จากรูปข้างบนจะเห็นว่า ผมเลือกใช้อินติเกรตแอมป์ที่มีภาค Pre-out เป็นศูนย์กลางของระบบแทนที่จะเป็นชุดปรีแอมป์+เพาเวอร์แอมป์ ด้วยเหตุผลสนับสนุนที่ว่า ซิสเต็มที่มีความซับซ้อนมากจะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เฟสของสัญญาณต้นทางเกิดความเบี่ยงเบนไปได้มากกว่าซิสเต็มที่เรียบง่าย ซึ่งส่งผลต่อความไม่กลมกลืนของเสียงที่ออกมาจากลำโพงหลักและซับวูฟเฟอร์

ผมเลือกใช้อินติเกรตแอมป์ 9000A ที่มีกำลังขับข้างละ 100W ขับลำโพงหลักคือ Q Concerto Meta ของ KEF เพราะตอนทดสอบลำโพง Q Concerto Meta ผมก็เคยใช้อินติเกรตแอมป์ 9000A ตัวนี้ขับ Q Concerto Meta มาแล้ว จึงมั่นใจว่าแอมป์กับลำโพงคู่นี้ไปด้วยกันได้แน่นอน ส่วนเหตุผลที่ผมตั้งใจเลือกใช้ลำโพงของแบรนด์ KEF มาทำหน้าที่เป็นลำโพงหลักของระบบ ทั้งนี้ก็เพราะต้องการควบคุมตัวแปรที่มีโอกาสจะทำให้มีปัญหาเรื่อง phase ออกไปจากระบบให้มากที่สุด (ด้วยความคิดเชิงคอมม่อนเซ้นต์ที่ว่า ลำโพงหลักกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่เป็นแบรนด์เดียวกัน น่าจะมีปัญหาเรื่องเฟสน้อยกว่าลำโพงหลักกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่เป็นแบรนด์ต่างกัน)

จากนั้นก็ใช้สายสัญญาณ RCA ต่อสัญญาณ Line Level จากช่องเอ๊าต์พุต Pre-out ของตัว 9000A ไปเข้าที่ช่องอินพุต SmartConnect ของลำโพงซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE โดยเลือกใช้สายสัญญาณของ Nordost ที่มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการตอบสนองสปีดของเสียงที่รวดเร็ว ไม่หน่วงสัญญาณไว้ในตัวสาย ผมใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์แยกซ้ายขวาสองตัว ด้วยเหตุนี้ สัญญาณจากอินพุตของ 9000A ที่มาจากแหล่งต้นทาง Ayre AcousticQB-9 DSD Twentyหลังผ่านวงจรปรีแอมป์มาแล้วได้ถูกจัดการออกมาเป็น 2 ชุด ที่เหมือนกันทุกประการ ชุดแรกส่งไปให้กับภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว 9000A ที่มีกำลังขับ 100W ต่อข้างทำการขยายเพื่อส่งออกไปขับลำโพง KEFQ Concerto Metaส่วนสัญญาณชุดที่สองถูกส่งออกไปทางช่อง Pre-out นั่นเอง (*สัญญาณทั้งสองชุดยังคงถูกควบคุมความดังด้วยวอลลุ่มบนตัว 9000A)

การเชื่อมต่อข้างต้นเป็นวิธีที่เรียบง่าย จุดประสงค์เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดปัญหากับ phase ของสัญญาณต้นทางให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งจะทำให้คลื่นเสียงความถี่ต่ำที่ออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์มีเฟสที่ ใกล้เคียงกับความถี่เสียงที่ออกมาจากลำโพงหลัก แม้ว่าอาจจะมีเฟสเคลื่อนไปบ้างอันเนื่องจากสายสัญญาณที่ใช้เชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์, จากสายลำโพง และจากตำแหน่งการวางลำโพงหลักกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่อยู่คนละตำแหน่งกัน เหล่านี้ แต่ถ้ามีการแม็ทชิ่งสายเชื่อมต่อกับพยายามจัดตำแหน่งวางซับวูฟเฟอร์ไม่ให้ไกลไปจากตำแหน่งของลำโพงหลักมาก ความเหลื่อมของเฟสก็จะน้อยลง ไม่มากพอให้หูสามารถจับได้..

การปรับจูนระบบ

ภาคปฏิบัติในการปรับจูนระบบสำหรับการเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้าไปในชุดฟังเพลงสเตริโอ 2 แชนเนลมีอยู่ 2 ขั้นตอน หลักๆ ขั้นตอนแรก คือทำการเซ็ตอัพหาตำแหน่งของลำโพงหลักให้ลงตัวซะก่อน ซึ่งเป้าหมายหลักในการเซ็ตอัพก็คือ พยายามดึงประสิทธิภาพเสียงที่เป็นตัวตนของลำโพงหลักออกมาให้ได้มากที่สุด อย่างที่มันควรจะเป็นคือไม่ต้องเซ็ตแบบเน้นกลางแหลมแล้วปล่อยทุ้มบางๆ เผื่อเติมซับฯ พยายามทำให้ได้เสียงออกมาตามบุคลิกของลำโพงหลักให้มากที่สุด ซึ่งส่วนตัวผมใช้หลักการเซ็ตอัพที่ผมใช้ประจำคือเริ่มต้นด้วยการวางลำโพงทั้งสองข้างไว้ที่ตำแหน่งซ้ายขวาห่างกันเท่ากับ 180 .. โดยวัดจากกึ่งกลางของห้องออกไปทางซ้ายขวาด้านละ 90 .. จากนั้นก็ดึงลำโพงทั้งสองข้างให้ห่างผนังหลังออกมาเท่ากับ ความลึกของห้อง หารด้วย 3โดยวัดจากผนังด้านหลังมาถึงแผงหน้าของลำโพง จากนั้นก็ทดลองฟังโดยกำหนดจุดนั่งฟังไว้ที่จุด sweet spot แล้วค่อยๆ ทดลองขยับตำแหน่งลำโพงซ้ายขวาให้ชิดกันและถ่างห่างจากกันเพื่อจูนหาจุดที่เฟสของลำโพงทั้งสองข้างซ้อนทับกันสนิทที่สุด ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้ได้ โฟกัสของเสียงที่คมชัดที่สุด หลังจากนั้นก็ทำการขยับลำโพงทั้งสองข้างให้ถอยลงไปชิดผนังด้านหลังทีละนิดเพื่อควบคุมโทนัลบาลานซ์และขยายอัตราสวิงไดนามิกให้เปิดกว้างมากที่สุด กับทำให้รูปวงมีความเป็นสามมิติที่แสดงเลเยอร์ในด้านลึกออกมาได้เต็มที่ตามความสามารถที่ลำโพงหลักจะทำได้

จากชาร์ตข้างบน
A = เส้นกึ่งกลางห้องตามแนวยาว
B = เส้นความลึกของห้อง หารด้วย 3
C = เส้นความลึกของห้อง หารด้วย 5

ห้องฟังของผมกว้าง 360 .. x ลึก 660 ซ.ม. แต่ผมใช้ตัวเลขความลึก = 540 ซ.ม. ที่สัมผัสกับความกว้าง 360 .. ในการคำนวน ดังนั้น เส้น B จึงห่างผนังหลังขึ้นมาเท่ากับ 180 ซ.ม. หลังจากขยับลำโพง Q Concerto Meta เพื่อไฟน์จูนเสียงจนลงตัวแล้ว ผมได้ระยะห่างซ้ายขวาของ Q Concerto Meta อยู่ที่ 156 .. โดยวัดจากกึ่งกลางของแผงหน้าลำโพงเข้าหากัน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำให้ได้โฟกัสที่คมชัดมากที่สุดสำหรับลำโพงหลักคู่นี้ ส่วนระยะห่างผนังหลัง หลังจากทดลองขยับดันลำโพงถอยหลังลงไปผมพบว่าตำแหน่งที่ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยของโทนัลบาลานซ์, ไดนามิก และรูปวงเวทีเสียงที่น่าพอใจมากที่สุดอยู่ที่ 170.5 .. โดยวัดจากผนังหลังขึ้นมาถึงแผงหน้าของลำโพง (ดูภาพประกอบข้างบนเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น)

หลังจากได้ตำแหน่งของลำโพงหลักที่ลงตัวมากที่สุดแล้ว ผมจึงค่อยนำเอาลำโพงซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE ทั้งสองตัวเข้าไปเสริม ด้วยการวางลำโพงซับวูฟเฟอร์แต่ละตัวให้อยู่ในแนวเดียวกับลำโพงหลัก (เส้นสีฟ้าในภาพข้างบน) หันด้านที่ติดตั้งไดเวอร์ยิงออกมาทางฝั่งที่นั่งฟังซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับการกระจายเสียงของลำโพงหลัก ณ จุดเริ่มต้นก่อนการขยับจูนตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ ผมกำหนดให้แผงหน้าของลำโพงซับวูฟเฟอร์ทั้งสองข้างอยู่ห่างจากผนังห้องด้านหลังขึ้นมาเท่ากับ ความลึกของห้อง (5.4 เมตร) หารด้วย 5 นั่นคือ 1.08 เมตร (เส้น C ในภาพข้างบน)

จากนั้นก็ทำการปรับตั้งค่าที่แผงหลังของตัว Kube 10 MIE ไว้คร่าวๆ ด้วยการกำหนด

CROSSOVER = ตั้งไว้ที่ ‘48Hz
VOLUME = ตั้งไว้ตรงกลาง (ตำแหน่ง 12 นาฬิกา)
EQ = ตั้งไว้ที่ตำแหน่ง ‘In-Room
PHASE = ตั้งไว้ที่ตำแหน่ง ‘0 องศา
MODE = ตั้งไว้ที่ ‘Always On

เหตุผลที่ผมเลือกตั้งจุดตัดบนตัว Kube 10 MIE ไว้ที่ 48Hz (เล็งๆ เอา) ก็เพราะว่าสเปคฯ frequency response ของลำโพงหลักคือ Q Concerto Meta ระบุไว้ที่ 48Hz – 20kHz (+/-3dB) หลังจากนั้นก็เปิดเบิร์นฯ ทั้งระบบไปจนถึง 70 ชั่วโมง จึงเริ่มต้นทำการขยับตำแหน่งของลำโพงซับวูฟเฟอร์เพื่อไฟน์จูนเสียง และเมื่อลำโพงซับวูฟเฟอร์ผ่านการเบิร์นฯ ไปถึง 100 ชั่วโมง จึงค่อยมาทดลองไฟน์จูนละเอียดอีกรอบเป็นการสรุป

มีจุดเรฟเฟอเร้นซ์ที่สำคัญจุดหนึ่ง นั่นคือ เร้นจ์ของวอลลุ่มของ 9000A ที่ใช้ขับลำโพง Q Concerto Meta ให้ได้เสียงออกมาดีที่สุด คือเพลงทั้ง 20 เพลง ที่ผมเลือกไว้ทดสอบครั้งนี้แต่ละเพลงจะมี gain ของเสียงที่ต่างกัน หลังจากทดลองฟังเพลงเหล่านี้กับ Q Concerto Meta ซึ่งขับโดย 9000A โดยที่ยังไม่มีซับวูฟเฟอร์ ผมพบว่า เร้นจ์ของวอลลุ่มบน 9000A ที่ใช้กับเพลงเหล่านี้เพื่อให้ได้ ความดังของแต่ละเพลงออกมาเท่ากันจะอยู่ระหว่าง -20dB ถึง -12dB [*เร้นจ์วอลลุ่มของ 9000A เริ่มตั้งแต่ -78dB (เบาสุด) ขึ้นไปจนถึง 0dB (ดังสุด)] ในการปรับจูนเอ๊าต์พุตของซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE ก็ต้องยึดเร้นจ์วอลลุ่มนี้ด้วย

ผลการปรับจูนซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE เข้ากับลำโพงหลัก Q Concerto Meta

ช่วงชั่วโมงแรกๆ ของการเบิร์นฯ ผมพบว่า เสียงของ Kube 10 MIE ออกมากระชับเก็บตัวเร็ว ต้องเบิร์นฯ ทิ้งไว้เกือบยี่สิบชั่วโมงจึงรู้สึกได้ว่ามันเริ่มคายมวลของเสียงทุ้มออกมามากขึ้น ฐานเบสเริ่มแผ่ตัวออกไปกว้างขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าเสียงกลางมีความหนามากขึ้น แต่ในแง่ ไทมิ่งของเสียงยังรู้สึกว่ามันเคลื่อนไหวไปในลักษณะที่ยังไม่สอดคล้องกันกับเสียงของลำโพงหลัก ซึ่งผมใช้วิธีปิด/เปิดซับวูฟเฟอร์แล้วฟังเทียบกัน

พอเปิดเบิร์นฯ ไปถึงชั่วโมงที่ 30 อาการที่เสียงไม่กลืนกันทั้งในแง่ของความถี่และสปีดฯ ก็ยิ่งปรากฏออกมาชัดเจนมากขึ้น ซึ่งถามว่าฟังออกง่ายมั้ย.? ก็ไม่ง่ายนัก แค่รู้สึกว่าเสียงมันไม่ลื่นไหลและโฟกัสของเสียงมันเบลอ ไม่คม โดยเฉพาะในย่านความถี่ต่ำที่อยู่ใกล้ๆ กับจุดตัดที่ตั้งไว้ ซึ่งวิธีที่ฟังง่ายคือต้องเปิด/ปิดซับวูฟเฟอร์แล้วฟังเทียบกัน ซึ่งผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง คือแม้ว่าจะรู้สึกว่าเสียงจากซับฯ กับลำโพงหลักมันยังไม่กลืนกัน แต่ผลลัพธ์ของเสียงโดยรวมที่ออกมามันไม่ได้เลวร้ายมากชนิดที่ว่าฟังไม่ได้ คือมันแค่ยังฟังไม่ดีเท่านั้น เบสก็ยังมีลักษณะของหัวเสียงที่มีความคมชัดและหางเสียงเบสก็ไม่ได้ฟุ้งและรุ่มร่ามมาก นี่อาจจะเป็นเพราะวงจรครอสโอเวอร์ของ Kube 10 MIE ใช้สโลปออเดอร์ที่ 4 ที่มีการลาดชันของความดัง ณ จุดตัดลดลงที่ระดับ 24dB ต่ออ็อกเตรป ทำให้เสียงจากซับฯ มีลักษณะที่เก็บตัวเร็ว ไม่รุ่มร่าม

ผมปล่อยให้ Kube 10 MIE เบิร์นฯ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 50 พบว่าอาการหางเสียงทุ้มที่เบลอและอาการที่มูพเม้นต์ของเสียงไม่ลื่นไหลก็ยังคงอยู่ ส่วนที่ดีขึ้นคือหัวเสียงเบสเร็วขึ้นและอาการฟุ้งๆ ของเสียงในย่านต่ำลดลงไปมาก มีผลให้พื้นเสียงใสกระจ่างขึ้น รายละเอียดในย่านกลางแหลมลอยตัวออกมามากขึ้น แต่หลังจากทดลองเปิดปิด Kube 10 MIE เพื่อลองฟังเทียบก็ทำให้รู้ว่า เสียงทุ้มจากซับวูฟเฟอร์ยังไม่กลืนกับเสียงของลำโพงหลักเป๊ะๆ เพราะพอเปิด Kube 10 MIE ขึ้นมาพบว่าได้มวลเสียงทุ้มเพิ่มขึ้น ได้ความหนาของเสียงกลางมากขึ้น เสียงแหลมมีลักษณะที่ลอยตัวขึ้นมามากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน โฟกัสของแต่ละเสียงมีลักษณะที่แย่ลงเล็กน้อย ทรานเชี้ยนต์ของหัวเสียงแย่ลงรู้สึกได้ และพื้นเสียงก็มีความขุ่นมากขึ้นเล็กน้อย รวมๆ แล้ว พอเปิด Kube 10 MIE ขึ้นมามีผลให้เสียงโดยรวมแย่ลงประมาณ 10-15% ในขณะเดียวกัน ก็ได้ข้อดีในแง่มวลเสียงและแรงปะทะในย่านเสียงทุ้มที่ดีขึ้นมากชดเชยกันไป เนื้อเสียงหนาขึ้นทุกความถี่ลดหลั่นกันไป ซึ่งคราวนี้ผมพบว่า มิติเสียงมีความนิ่งขึ้นและได้ไทมิ่งที่ผ่อนคลายมากขึ้นด้วย เป็นข้อดีที่ออกมาต่างจากตอนฟังชั่วโมงแรกๆ

ผมเริ่มต้นทดลองปรับจูนค่าต่างๆ บนแผงหลังของ Kube 10 MIE หลังจากเบิร์นฯ เลยชั่วโมงที่ 60 ไปแล้ว ซึ่งสิ่งแรกที่ทดลองปรับจูนคือ จุดตัดความถี่โดยที่ยังคงลำโพงไว้ในตำแหน่งเดิม วอลลุ่มยังคงเท่าเดิมคืออยู่ที่ระดับ 12 นาฬิกา เฟสก็ยังไว้ที่ 0 องศา หลังจากผมทดลองปรับจุดตัดไปทั้งทิศทางที่ต่ำกว่าและสูงกว่า 48Hz ซึ่งเป็นจุดตัดที่ตั้งไว้ตั้งแต่ชั่วโมงแรก ผลคือ พอขยับจุดตัดให้สูงกว่า 48Hz ขึ้นมาทีละนิด ผมพบว่า เสียงโดยรวมเริ่มดีขึ้น รู้สึกได้ชัดว่าอาการเบลอของเสียงลดลง โดยเฉพาะในย่านทุ้มที่มีโฟกัสดีขึ้น มีพลังดีดตัวมากขึ้น มีแรงปะทะที่รุนแรงมากขึ้น ผมทดลองเพิ่มความถี่ของจุดตัดขึ้นไปทีละนิดจนถึงจุดหนึ่งเสียงกลับมาเบลอ ความคมของหัวเสียงเบสลดลง ผมก็เปลี่ยนมาเป็นค่อยๆ ลดจุดตัดลงทีละนิดจนมากลับมาได้จุดที่ได้เสียงดีที่สุดอยู่ใกล้ๆ กับ 60Hz คะเนจากสายตาน่าจะอยู่ราวๆ 58 – 59Hz ประมาณนี้ (ปุ่มปรับจุดตัดเป็นแบบลิเนียร์) ซึ่งจุดนี้ได้เสียงออกมาน่าพอใจมากที่สุดโดยที่ค่าอื่นๆ ยังคงอยู่ ณ จุดเดิม

ผมปล่อยให้ Kube 10 MIE ทำงานไปเรื่อยๆ จนถึงชั่วโมงที่ 100 ในอีกสามวันต่อมา ผมจึงทดลองปรับจูนอีกรอบด้วยการทดลองเปลี่ยนจุดตัดอีกทีผลลัพธ์ก็ยังคงอยู่ที่ความถี่ 58 – 59Hz เท่ากับตอนที่ผมปรับจูนไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับความถี่จุดตัดที่ให้ค่าเฉลี่ยผลรวมของเสียงออกมาลงตัวมากที่สุด ซึ่งพอเบิร์นฯ มาถึงชั่วโมงที่ 100 ผมพบว่ามีข้อดีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกบางส่วน คือรู้สึกได้ถึง ความเป็นตัวตนของแต่ละเสียงที่ยิ่งแยกตัวออกมาได้ชัดขึ้น ความคลุมเครือที่เคยรู้สึกเหมือนมีม่านหมอกปกคลุมบางๆ จางหายไปมาก ในขณะเดียวกัน เสียงทุ้มก็มีความสะอาดมากขึ้น มีการควบคุมตัวเองดีขึ้น ช่วงไหนหยุดก็หยุดได้ทันท่วงที ช่วงไหนของเพลงที่เสียงทุ้มลากยาวมันก็แสดงให้เห็นว่าเสียงทุ้มนั้นมีลีลาไปทางไหน มีการผ่อนคลายปลายเสียงทุ้มแบบไหน อากัปกิริยาของเสียงทุ้มเหล่านี้ฟังดีขึ้นมา ทำให้เห็นถึงลีลาของเสียงทุ้มที่ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ ตั้งใจมิกซ์มันเข้ามาในเพลงได้ชัดขึ้น ติดตามความเคลื่อนไหวของเสียงแต่ละเสียงไปได้ตลอด รู้สึกได้ว่าแต่ละเสียงมันมี ความนิ่งและ ลอยตัวอยู่ในเวทีเสียงได้อย่างมั่นคงมากขึ้น.. อ่าา ดีกว่านี้จะเป็นยังไง? เดาไม่ถูกเลย..!!

เตรียมขยับตำแหน่ง Kube 10 MIE เพื่อไฟน์จูนเสียงของซับฯ ให้กลืนกับเสียงจากลำโพงหลักให้มากที่สุด

การขยับเคลื่อนลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปยังตำแหน่งต่างๆ ภายในห้องก็คือการปรับจูนพารามิเตอร์หลักๆ ของเสียง ได้แก่ Phase, EQ และ Volume (โดยอ้างอิงกับตำแหน่งนั่งฟัง) ที่ออกมาจากลำโพงซับวูฟเฟอร์ตัวนั้นด้วยวิธีแมนน่วลนั่นเอง ซึ่งเป็นวิธีที่มีประโยชน์สำหรับซับวูฟเฟอร์ของ KEF รุ่นนี้ เนื่องจากฟังท์ชั่นปรับ Phase ของ Kube 10 MIE ให้มาเป็นสวิทช์โยกที่มีอ๊อปชั่นให้เลือกแค่ 0 กับ 180 องศา ไม่ใช่แบบที่ปรับจูนเฟสแบบลิเนียร์ ดังนั้น การเคลื่อนตำแหน่งของ Kube 10 MIE ไปทีละนิดภายในห้องจะช่วยไฟน์จูนเฟสของเสียงที่ออกมาจากซับฯ ได้ละเอียดขึ้น

เริ่มด้วยการทดลองขยับตำแหน่งของลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปใน 4 ทิศทาง ตามลูกศรสีแดงกับสีฟ้าในภาพข้างบน แนะนำให้ทดลองขยับตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ไปในทิศทางซ้ายขวา (แนวลูกศรสีฟ้า) ก่อน เพื่อค้นหาตำแหน่งที่เสียงทุ้มจากซับวูฟเฟอร์ซ้อนกันสนิท (in-phase กัน) ซึ่งขั้นตอนนี้ ถ้าสามารถปิดเสียงจากลำโพงหลักลงได้จะช่วยให้การปรับจูนตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ซ้ายขวาให้กลืนกันได้ง่ายขึ้น

เมื่อได้ระยะห่างซ้ายขวาของลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่คุณรู้สึกว่าเฟสเสียงของซับฯ ซ้อนกันสนิทแล้ว ก็ให้ทดลองขยับตำแหน่งลำโพงซับวูฟเฟอร์ทั้งสองข้างไปในทิศทางลูกศรสีแดง โดยพิจารณาในแง่ “โทนัลบาลานซ์” ตลอดทั้งย่าน โดยฟังดูว่า เสียงทุ้มจากซับฯ กับเสียงกลางแหลมจากลำโพงหลักมีปริมาณที่สมดุลกันหรือเปล่า.? วิธีไฟน์จูนเพื่อหาจุดลงตัวในขั้นตอนนี้ให้ใช้วิธีปรับระดับวอลลุ่มของซับฯ ขึ้นๆ ลงๆ ทีละนิดจนได้ระดับวอลลุ่มของซับฯ ที่ฟังดูกลมกลืนกับปริมาณกลางแหลมที่ออกมาจากลำโพงหลักมากที่สุด เปลี่ยนเพลงแล้วก็ยังคงมีความสมดุลอยู่ คือจะทุ้มมากหรือทุ้มน้อยก็เป็นไปตามเพลง คือรู้สึกได้เลยว่าแต่ละเพลงมีปริมาณเสียงทุ้มไม่เท่ากัน หลังจากนั้นให้ทดลองปรับ “จุดตัดความถี่” ที่ซับฯ ดูอีกที โดยเพิ่ม/ลดจากจุดเดิมละนิดแล้วลองฟังดูเพื่อหาจุดที่ปริมาณของเสียงทุ้มจากซับฯ กับกลางแหลมของลำโพงหลักมีความสมดุลกันมากที่สุด ได้เสียงทุ้มที่คมเป็นตัวและให้แรงปะทะมากที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้จะช่วยทำให้ “โทนัลบาลานซ์” ระหว่างความถี่จากซับฯ และความถี่จากลำโพงหลักมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางด้าน “โฟกัส” ของเสียงที่ดีขึ้นด้วยโดยเฉพาะในย่านความถี่ต่ำ ถือว่าเป็นขั้นตอนการไฟน์จูนอย่างละเอียด

ขั้นตอนไฟน์จูนนี้ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างยากในการฟัง แต่ถ้าเคยมีประสบการณ์ปรับจูนอะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อได้มาลองปรับจูนลำโพงซับวูฟเฟอร์ของ KEF รุ่น Kube 10 MIE ตัวนี้แล้ว คุณจะรู้สึกเลยว่ามันจูนง่ายกว่าลำโพงซับวูฟเฟอร์สมัยก่อนเยอะเลย เหมือนกับว่าเสียงของซับฯ มันเข้าไปกลืนกับเสียงของลำโพงหลักได้ง่ายๆ ซึ่งประเด็นสำคัญก็คือ ต้องเริ่มด้วยการเซ็ตอัพลำโพงหลักให้ลงตัวก่อน จากนั้นก็เอาลำโพงซับวูฟเฟอร์ลงไปวางในตำแหน่งตามชาร์ตที่ผมลงไว้ข้างบนนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับลำโพงซับฯ เพื่อจูนเสียงและปรับตั้งค่าบนตัวซับฯ ไปด้วย

ผลของเสียงที่ได้หลังจากไฟน์จูนลงตัวแล้ว

ช่วงที่ทำการไฟน์จูนตำแหน่งและปรับตั้งค่าบนตัว Kube 10 MIE นั้น ผมใช้เพลงทั้ง 20 เพลงที่เตรียมไว้วนไปวนมา ซึ่งผมทำเป็น playlist ไว้ที่ TIDAL (https://tidal.com/browse/playlist/04ea5d2f-05a2-4445-b5e0-ae67d0e22964) หลังจากได้ตำแหน่งของลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่ลงตัวมากที่สุดแล้ว ผลทางเสียงที่ได้ยินจากการเพิ่มซับวูฟเฟอร์ KEFKube 10 MIEทั้งสองตัวเข้าไปทำงานร่วมกับ KEFQ Concerto Metaนั้น จะปรากฏออกมาให้ได้ยินมากน้อยแค่ไหน ผมพบว่า คุณสมบัติทางด้าน gain ของตัวเพลงที่เอามาเล่นมีส่วนอยู่มากทีเดียว ยกตัวอย่างจาก playlist ข้างต้นนั้น ผมพบว่า เพลง The Rose ของ Amanda McBroom ที่ผมเลือกมา 2 เวอร์ชั่น ให้เสียงออกมาต่างกันมหาศาล.! เวอร์ชั่นที่ค่าย Sheffield Labs ทำเอาไว้เมื่อปี 1980 บรรจุอยู่ในอัลบั้มชุด Growing Up In Hollywood Town ซึ่งใน TIDAL จะถูกรวมอยู่ในอัลบั้มที่ชื่อว่า The Amanda Album นั้น เป็นเวอร์ชั่นที่มี gain ต่ำมาก เมื่อนำมาเปิดผ่านซิสเต็มที่ปรับจูนซับวูฟเฟอร์เสร็จแล้ว ปรากฏว่า ตอนเปิดเพลงนี้ ผมต้องเร่งวอลลุ่มของ 9000A ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของเร้นจ์ที่ใช้ในการปรับจูนเสียงของซับฯ ให้กลืนกับเสียงของลำโพงหลัก นั่นคือ -12dB จึงได้ยินรายละเอียดในเพลงนี้ออกมาครบ แต่หลังจากไปทดลองเปิดปิด Kube 10 MIE แล้วฟังเทียบกัน ผมพบว่า กับเพลงนี้ซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เปิดหรือปิดซับฯ เสียงแทบจะไม่ต่างกัน แสดงว่า gain สัญญาณของเพลงนี้ต่ำมาก ยิ่งเป็นความถี่ต่ำๆ ก็ยิ่งเบามากลงไปอีก

อัลบั้ม : The Amanda Albums (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Amanda McBroom
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/52418817?u)

อัลบั้ม : Portraits – The Best Of Amanda McBroom (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Amanda McBroom
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/64064193?u)

แต่พอผมทดลองเปลี่ยนมาฟังเพลง The Rose ที่เป็นเวอร์ชั่นที่บันทึกใหม่ในปี 1986 บรรจุอยู่ในอัลบั้มชุด Dreaming (ใน TIDAL อยู่ในอัลบั้มชุด Portraits – The Best Of Amanda McBroom) ผมต้องลดวอลลุ่มของ 9000A ลงมาอยู่ที่ -15dB จึงได้เสียงของเพลงนี้ออกมาดีที่สุด ได้ไดนามิกของเสียงที่เปิดกว้างกว่าเวอร์ชั่นที่อยู่ในอัลบั้ม The Amanda Albums มาก และคราวนี้เมื่อทดลองเปิดปิดซับวูฟเฟอร์ฟังเทียบกันจะรู้สึกได้เลยว่า ซับวูฟเฟอร์มีส่วนช่วยเสริมฐานเสียงของเพลงนี้ให้แน่นและมั่นคงขึ้นอย่างชัดเจน

จากปรากฏการณ์ที่พบนี้ ทำให้รู้ว่า การเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้าไปในซิสเต็ม 2 แแชนเนลแทบจะไม่มีผลกับเพลงเก่าๆ ที่มี gain ต่ำๆ เลย เพราะแอมป์สมัยใหม่จะออกแบบให้มีอัตราขยายต่ำเพื่อลดความเพี้ยนในการขยายสัญญาณลง เนื่องจากสัญญาณต้นทางที่เป็นสัญญาณดิจิตัลในปัจจุบันมี gain ที่แรงกว่าสัญญาณอะนาลอกมาก จึงเห็นว่า ถ้าเป็นเพลงเก่าที่มี gain ต่ำ มักจะถูกนำไป Remastered ใหม่เพื่อ gain ที่สูงขึ้น เมื่อผมทดลองฟังจากเพลงยุคใหม่ๆ ที่บันทึกมาในยุคดิจิตัล อย่างเช่นเพลง Tap Out ของ Shenseea, เพลง DMPB ของ Yung Gravy, เพลง Birds ของ Dominique Fils-Aime และเพลง Dive ของ Ed Sheeran ผมพบว่า แค่ใช้เร้นจ์วอลลุ่มของ 9000A อยู่ระหว่าง -18dB ถึง -15dB ก็ได้เสียงที่มีพลังไดนามิกที่สวิงได้กว้างมากและได้ความดังออกมาเต็มห้อง ซึ่งลำโพงซับวูฟเฟอร์ Kube 10 MIE ที่เสริมเข้ามามีส่วนยกระดับคุณภาพเสียงให้กับเพลงเหล่านี้อย่างชัดเจน.!!

อัลบั้ม : Never Get Late Here (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Shenseea
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/363827176?u)

อัลบั้ม : Serving Country (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Yung Gravy
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/377520733?u)

อัลบั้ม : Nameless (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Dominique Fils-Aime
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/82811590?u)

อัลบั้ม : Divide (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Ed Sheeran
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/70891469?u)

เพลงใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะบันทึก gain มาแรง และจัดเต็มทั้งทางด้าน ความถี่และ ไดนามิกซึ่งถ้านำเพลงเหล่านี้ไปเล่นบนซิสเต็มที่ใช้มาตรฐาน Hi-Fi ยุคเก่าที่อ้างอิงกับความถี่ 20Hz – 20kHz ภายใต้ไดนามิกเร้นจ์ไม่เกิน 85dB ถ้าเปิดดังๆ มักจะมีอาการโอเวอร์โหลดเกิดขึ้นกับลำโพง ถ้าเป็นลำโพงขนาดใหญ่อาการอาจจะไม่รุนแรง แค่รู้สึกว่าเสียงมันอัดๆ ดันๆ ตื้อๆ ไม่ผ่อนคลาย แต่ถ้านำมาฟังผ่านซิสเต็มยุคใหม่ๆ ที่ออกแบบมารองรับมาตรฐาน Hi-Res จะได้โทนเสียงออกไปอีกแบบ คือ จะได้ยินเสียงที่เปิดกว้างมากๆ ความถี่แผ่ออกไปได้สุดทั้งด้านแหลมและทุ้ม โดยเฉพาะย่านทุ้ม ยกตัวอย่างเพลง DMPB ของ Yung Gravy นั้น มีช่วงที่เสียงเบสลงไปต่ำมากๆ ซึ่งการเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้าไปเสริมช่วยทำให้ Q Concerto Meta สามารถถ่ายทอดความถี่ต่ำของเพลงนี้ออกมาให้ได้ยินแบบเต็มๆ ซึ่งจากการทดลองปิดซับวูฟเฟอร์เพื่อฟังเทียบกัน พบว่า พอปิดซับฯ ความถี่ต่ำที่ว่าหายไปเยอะเลย.!! เรียกว่าถ้าจะฟังเพลงนี้ให้ออกมาเหมือนที่ศิลปินตั้งใจนำเสนอจริงๆ ระบบลำโพงก็ต้องสามารถถ่ายทอดความถี่ต่ำออกมาได้ลึกจริงๆ และที่สำคัญคือ นอกจากจะต้องลงได้ลึกแล้ว ความถี่ต่ำนั้นจะต้องมีพลังดีดตัวด้วย ซึ่งเสียงทุ้มของเพลงนี้ที่ฟังผ่าน Kube 10 MIE มันมีทั้งความแน่น ลึก และขมวดตึง เก็บหัวเก็บหางเรียบร้อย ไม่มีอาการรุ่มร่ามแม้แต่น้อย

อีกเพลงที่ฟังแล้วขนลุกคือเพลง Dive ของ Ed Sheeran ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ยินเสียงทุ้มของเพลงนี้ที่รู้สึกกระชับ หนักและรุนแรงแล้ว แต่วันนี้พอมี Kube 10 MIE เข้ามาเสริม ผมพบว่าเสียงทุ้มของเพลงมันมีน้ำหนักมากขึ้น เสียงมันมีน้ำหนักและพลังงานที่กระแทกออกมาหนักหน่วงมาก ฟังแล้วรู้สึกเหมือนใครทุ่มกระสอบข้าวสารลงไปบนพื้น.! พอลองปิดซับฯ ปรากฏว่า น้ำหนักของเสียงทุ้มที่ว่ามันแผ่วลงไปทันที คือก่อนนี้ที่ยังไม่มีซับวูฟเฟอร์คู่นี้เข้ามาเสริม ก็ฟังดีแล้วนะ เสียงร้องก็ใส่อารมณ์แบบดิบๆ ยิ่งได้ซับวูฟเฟอร์คู่นี้เข้ามาเสริม ผมรู้สึกได้ว่า Ed ใส่อารมณ์เข้าไปกับเสียงร้องมากขึ้น texture ของเสียงร้องมันดิบมากขึ้น ให้อารมณ์เหมือนคนร้องจริงๆ มากขึ้น พอมีซับวูฟเฟอร์คู่นี้มาเสริม ผมรู้สึกได้ว่าทุกเสียงในเพลงนี้มันมีมวลที่เข้มข้นมากขึ้น และลีลาการเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงก็ดูนิ่งและมั่นคงมากขึ้นด้วย ตรงนี้อาจจะไม่เยอะมากแต่รู้สึกได้

อัลบั้ม : MEGAN (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Megan Thee Stallion
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/372011425?u)

เสียงทุ้มที่ดีขึ้นมากๆ เมื่อเปิดซับวูฟเฟอร์สองตัวนี้ขึ้นมาก็คือเสียงทุ้มในเพลง Tap Out ซึ่งเป็นเสียงทุ้มที่มีรายละเอียดเยอะ คือมีทั้งความสูงต่ำของตัวโน๊ตเบสที่หลากหลายและลีลาของการเคลื่อนไหวของเสียงเบสที่แปรเปลี่ยนไปหลากมูพเม้นต์ ไม่ใช่เสียงทุ้มที่แช่อยู่แค่ย่านความถี่เดียว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแม่นยำในการถ่ายทอดความถี่ต่ำของ Kube 10 MIE ได้เป็นอย่างดี เพลงนี้ปิดซับฯ แล้วแทบจะไม่อยากฟังเลย ฐานด้านล่างหายไปเยอะ.!!

แต่เสียงทุ้มที่ทำให้หูผึ่งจริงๆ เป็นเสียงทุ้มของเพลง Otaku Hot Girl ของ Megan Thee Stallion ซึ่งเป็นเสียงทุ้มที่ทั้งลงลึกและมีพลังมหาศาล ขนาดที่เปิดเพลงอยู่ในห้องที่ปิดประตูมิดชิด แต่เสียงทุ้มต่ำๆ ของเพลงนี้ยังแผ่ออกไปเขย่าโต๊ะอาหารตัวใหญ่ๆ ที่อยู่นอกห้องได้.. สุดมาก.!! ซึ่งแน่นอนว่า Kube 10 MIE ทั้งสองตัวมีส่วนช่วยเสริมอย่างชัดเจนในเพลงนี้..


อัลบั้ม
: Killing Me Softly With His Song (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Roberta Flack
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/68711203?u)

สิ่งหนึ่งที่การเสริมซับวูฟเฟอร์เข้ามาในชุดฟังเพลง 2 แชนเนล ต้องไม่เข้าไปทำลาย แต่ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ก็คือ รูปวงเวทีเสียงของเพลงเดิม ยกตัวอย่างเพลง Killing Me Softly With His Song เวอร์ชั่นของ Roberta Flack นี้บันทึกเสียงเมื่อปี 1972 (ปล่อยออกมาตอนต้นปี 1973) มีจุดสังเกตอยู่จุดหนึ่ง คือเพลงนี้จะบันทึกเสียงกระแทกกระเดื่องกลองที่มีลักษณะเป็นเสียงทุ้มหนักๆ ทึบๆ ลงไปที่แชนเนลขวา ซึ่งชัดเจนมากและย้ำอยู่นานด้วย หลังจากเสริม Kube 10 MIE เข้าไปแล้วจัดการเซ็ตอัพ+ปรับจูนจนลงตัว พอฟังเพลงนี้ด้วยการเปิดปิดซับฯ แล้วฟังเทียบ พบว่า ไม่ว่าจะเปิดหรือปิดซับฯ เสียงกระเดื่องกลองหนักๆ ที่ว่านั้นก็ยังคงรักษาตำแหน่งตรึงตัวอยู่ที่แชนเนลขวาได้อย่างมั่นคง และพบว่า ตอนเปิดซับฯ ผมได้ยินเสียงกระเดื่องที่มีน้ำหนักเน้นย้ำมากขึ้น มีพลังกระแทกกระทั้นมากขึ้นด้วย

อัลบั้ม : Identity Crisis (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Matt Simons
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/227052931?u)

สิ่งที่สำคัญและต้องให้ความระมัดระวังมากที่สุดในการเสริมซับวูฟเฟอร์เข้ากับชุดฟังเพลง 2 แชนเนลก็คือ ต้องพยายามรักษา คุณภาพของเสียงกลางและแหลม” ที่ออกมาจากลำโพงหลักเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ในการปรับจูนต้องทำให้เสียงกลางแหลมของซิสเต็มเดิมถูกกระทบน้อยที่สุด และถ้าจะกระทบก็ต้องให้ผลลัพธ์ออกมาเชิงบวกเท่านั้น

ผมมีเพลงที่มีคุณสมบัติเหมาะกับการทดสอบในประเด็นนี้อยู่เพลงหนึ่ง ชื่อว่า The Boxer ของ Simons & Garfunkel แต่เป็นเวอร์ชั่นคัฟเวอร์โดยนักร้องรุ่นใหม่ชื่อว่า Matt Simons ซึ่งลีลาของเพลงนี้ครึ่งแรกจะมีแต่เสียงพิคกิ้งกีต้าร์กับเสียงร้องที่มีลีลาคล้ายกับเวอร์ชั่นออริจินัล เวลา 1:56 นาที ของช่วงต้นที่เพลงดำเนินไปไม่มีเสียงทุ้มเข้ามายุ่งเลย เสียงกีต้าร์และเสียงร้องลอยเด่นขึ้นมาในสนามเสียง (มีเสียงเปียโนโผล่เข้ามาแซมเล็กน้อย) พอถึงนาทีที่ 1:57 จะมีเสียงทุ้มต่ำๆ เสริมเข้ามารองเป็นฐานล่างของเพลง ซึ่งเป็นเสียงทุ้มที่อวบหนา มีพลังกระแทกกระทั้น แผ่กว้างแต่มีขอบเขตและหยุดตัวลงได้ตามจังหวะลีลาของเพลง ตอนทดลองปิดซับฯ จะรู้สึกได้ว่าเสียงทุ้มต่ำๆ ที่ว่านี้มีลักษณะที่บางเบาลง ความกระชับลดลง เนื้อมวลจางลงพร้อมกับน้ำหนักกระแทกกระทั้นก็ลดลงด้วย ซึ่งตอนปิดซับฯ vs เปิดซับฯ ผมไม่พบว่ามันกระทบกับ ไทมิ่งของเพลงแต่อย่างใด แสดงว่าซับฯ Kube 10 MIE คู่นี้ให้สปีดในการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตได้ฉับไวมาก ไม่มีอาการหน่วงช้าให้รู้สึกเลย (น่าจะเป็นอิทธิฤทธิ์ของโปรเซสเซอร์ MIE แน่ๆ)

อัลบั้ม : Winter Songs (Ice Music) (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Terje Isungset
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/3343903?u)

อัลบั้ม : Liberty (TIDAL MAX/FLAC-24/48)
ศิลปิน : Anette Askvik
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/5761228?u)

เพลงยุคใหม่ที่บันทึกเน้นแอมเบี้ยนต์กว้างๆ แนวเวิ้งว้างอย่างเพลง Fading Sun ในอัลบั้มชุด Winter Songs (Ice Music) ของ Terje Isungset กับเพลง Liberty จากอัลบั้มชื่อเดียวกันของ Anette Askvik สองเพลงนี้ได้รับประโยชน์จากการเสริมซับวูฟเฟอร์เข้าไปเต็มๆ คือพอเปิดซับฯ ทั้งสองตัวขึ้นมาทำงาน มันทำให้มวลของแอมเบี้ยนต์มีความเข้มข้นมากขึ้น แผ่คลุมอาณาบริเวณภายในห้องได้กว้างขวางมากขึ้น และที่สำคัญคือมันทำให้รายละเอียดเบาๆ ที่แทรกอยู่ในสองเพลงนี้มีโฟกัสที่คมขึ้น สามารถรับรู้ตำแหน่งได้ชัดขึ้น และรับรู้ถึงการมีตัวตนของแต่ละเสียงได้ดีขึ้น แม้ว่าแต่ละเสียงจะมีความดังที่ต่ำมากก็ตาม แต่พอเปิดใช้ซับฯ มันทำให้รับรู้ได้ว่ารายละเอียดเสียงเบาๆ เหล่านั้นมันเวียนว่ายอยู่ในสนามเสียงตลอด ไม่ได้หายไปไหน ไม่มีรอยโหว่เกิดขึ้นในเวทีเสียงเหมือนตอนปิดซับวูฟเฟอร์

สรุป

ตลอดเวลาสิบกว่าวันที่ผมทดลองเล่นกับ Kube 10 MIE คู่นี้ โดยส่วนตัวหลังจากเซ็ตอัพ+ปรับจูนจนทำงานร่วมกับ Q Concerto Meta ลงตัวแล้ว ผมพบว่า การเสริม Kube 10 MIE เข้ามาในชุดฟังเพลง 2 แชนเนลที่มี Q Concerto Meta เป็นลำโพงหลักครั้งนี้ มันให้ประสบการณ์ที่ดีกับเสียงที่ผมได้ยิน มากบ้างน้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับเพลงที่ฟัง และผมพบว่า กับเพลงเก่าๆ ที่มี gain ต่ำๆ (เบา) ตัวซับวูฟเฟอร์จะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ เข้าใจว่าเป็นเพราะสัญญาณความถี่ต่ำของเพลงเหล่านั้นน่าจะเบามากอยู่แล้ว ส่วนเพลงใหม่ๆ (ส่วนใหญ่ที่บันทึกออกมาช่วงยุค ’80 ขึ้นมา) จะได้ประโยชน์จากการเสริมซับวูฟเฟอร์อย่างชัดเจน

ขนาดของลำโพงหลักมีส่วนมั้ย.? นี่ก็เป็นความคิดที่คาใจของผมอยู่เหมือนกัน ซึ่งผมตั้งใจไว้ว่าจะทำการทดลองเปลี่ยนลำโพงหลักจาก Q Concerto Meta ไปเป็นลำโพงที่มีขนาดเล็กกว่านั้น ที่ผมตั้งใจไว้ก็คือ PSB รุ่น Alpha P3 ซึ่งเป็นลำโพงสองทางที่ใช้วูฟเฟอร์ขนาดเล็กแค่ 4 นิ้ว ตอบสนองความถี่ 57Hz – 21000Hz (+/-3dB) ผมตั้งใจจะเอาลำโพง PSB คู่นี้เข้าไปแทนที่ Q Concerto Meta แล้วจูนดูว่าจะไปกับ Kube 10 MIE ได้มั้ย.? อีกแนวทางที่อยากลองคือเอาลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางๆ เข้ามาแทน Q Concerto Meta แล้วลองจูนดูว่าจะไปกับ Kube 10 MIE ได้มั้ย.? ซึ่งลำโพงตั้งพื้นที่ผมตั้งใจว่าจะเอามาทดลองก็คือ Focal รุ่น THEVA No.3 (REVIEW) ถ้าทางตัวแทนไม่เรียกคืนกลับไปซะก่อน แต่ผมจะขอแยกรายงานผลการทดลองทั้งสองกรณีข้างต้นออกไปเป็นอีกบทความหนึ่ง เพื่อไม่ให้รีวิวตัวนี้มันยืดยาวมากเกินไป..

***********************
ราคา : 34,900 บาท / ตัว
***********************
ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อที่
บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โทร. 02-692-5216
Line ID: @kefthailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า