ใครจะไปคิดว่า ซอฟท์แวร์ดิจิตัล DSP จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของหูฟังได้มากขนาดนี้.! เริ่มต้นด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สาย (wireless connection) ต่อมาก็ระบบตัดเสียงรบกวน (noise cancellation) จนมาถึงล่าสุดก็คือความสามารถในการปรับแต่งบุคลิกเสียง (sound setting) ด้วยอีควอไลเซอร์ จนถึงตอนนี้เชื่อว่ายังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า พัฒนาการของหูฟังลักษณะนี้จะไปยุติลงที่ใด.? จะยังมีเทคโนโลยีอะไรอีกบ้างที่จะถูกระดมออกมาใช้กับหูฟังตัวเล็กๆ แบบนี้..??
SOUL ยังคงเดินหน้า ..
หลังจากเริ่มก่อตั้งแบรนด์มาเมื่อ ปี 2010 SOUL ก็ขยันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ผมมีโอกาสทดสอบหูฟังของ SOUL มาหลายตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะหูฟังประเภทเอียร์บัดแบบไร้สายนั้นผมเคยทดสอบมาตั้งแต่รุ่น X-Shock (REVIEW), รุ่น Sync Pro (REVIEW), รุ่น S-Gear (REVIEW), รุ่น S-FIT (REVIEW) และรุ่น Sync ANC (REVIEW) ต่อเนื่องมาตลอด ได้เห็นถึงพัฒนาการของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ที่ SOUL ทำออกมาเป็นระยะๆ ได้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยหยุดสร้างสรรอะไรใหม่ๆ เข้ามาในหูฟังทุกรุ่นที่ทำออกมาใหม่เสมอ ทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกมา ผมจะรู้สึกตื่นเต้นที่มีโอกาสได้ทดสอบเพื่อค้นหาดูว่า วิศวกรของ SOUL เขาใส่อะไรใหม่ๆ เข้ามาในหูฟังเหล่านั้นบ้าง
‘Emotion Pro’
กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าสนใจ!
เห็นโฆษณานี้แล้วแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าหูฟังตัวนี้ยังขาดอะไรอีก.? หลักๆ ก็เหมือนจะมีหมดแล้ว ทั้งระบบตัดเสียงรบกวนที่พัฒนาก้าวหน้ามาเป็นระบบไฮบริดฯ แล้ว, มีเทคโนโลยี Crystal Clear Calls ที่ช่วยให้เสียงสนทนาชัดใสมากขึ้น, มีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบ Multipoint Connectivity ที่สามารถเชื่อมต่อหูฟังตัวนี้เข้ากับอุปกรณ์ได้มากกว่าหนึ่งตัวในคราวเดียวกัน, มีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันความเปียกชื้นได้ถึงระดับ IPX5, มีเทคโนโลยี Low Latency ที่ช่วยแก้ปัญหาหน่วงช้าของเสียงที่ไม่ทันกับความเร็วของภาพ, มีโหมด Transparency ที่ทำให้ได้ยินเสียงรอบข้างโดยไม่ต้องดึงหูฟังออกมาจากรูหู, มีแบตเตอรี่ที่ใช้ติดต่อกันได้นานสูงสุดถึง 36 ชั่วโมง ฯลฯ …
รูปร่างหน้าตา
Emotion Pro เป็นหูฟังเอียร์บัดที่มาพร้อมกล่องใส่ที่ออกแบบมาด้วยกัน ทำหน้าที่เป็นทั้งกล่องเก็บและเพาเวอร์แบ็งค์ให้กับตัวหูฟังไปด้วยในตัว
กล่องใส่หูฟังของรุ่นนี้ออกแบบมาได้เล็กกระทัดรัดมาก.! หยิบจับได้เต็มมือ น้ำหนักเพียงแค่ 29.9 กรัม เท่านั้น
เทียบขนาดกับเม้าส์ของแอ๊ปเปิ้ล และเหรียญสิบบาท ให้เห็นถึงความกระทัดรัดของกล่องใส่หูฟังรุ่นนี้
ตัวหูฟังทรงอวบ
ปกติ SOUL จะมีหูฟังขนาดเล็กที่ใช้วิธีแยงเข้าไปในร่องหูอยู่ 2 รูปทรง คือแบบที่มีบอดี้เล็กและมีก้านเสาอากาศยาวๆ อย่างรุ่น Sync ANC กับรุ่น Sync Pro กับอีกแบบที่มีบอดี้อวบๆ เสาอากาศสั้นๆ อย่างรุ่น S-Fit กับรุ่น X-Shock ซึ่งรุ่น “Emotion Pro” ตัวนี้ก็มาในแนวเดียวกับรุ่น S-Fit กับ X-Shock คือมีบอดี้ที่มีลักษณะอวบอ้วน เสาอากาศสั้น
ถึงแม้ว่าบอดี้จะมีลักษณะอวบอ้วน แต่ก็มีการออกแบบให้มีเหลี่ยมมุมที่สอดรับเข้ากับร่องหู ช่วยทำให้ใส่แล้วกระชับกับร่องหู ไม่ร่วงหลุดง่ายๆ และไม่รู้สึกรำคาญขณะสวมใส่เนื่องจากน้ำหนักเบามาก เพียงแค่ข้างละ 5.5 กรัม เท่านั้น
ไมโครโฟน 6 ตัว.!
นี่แหละที่ผมว่ามันน่าทึ่ง.. แม้ว่าตัวหูฟังจะเล็กกระทัดรัด แต่คุณทราบมั้ยว่า ในแต่ละข้างมีไมโครโฟนติดตั้งอยู่ข้างในมากถึง 3 ตัว!
ไมโครโฟน 2 ตัวถูกติดตั้งไว้สำหรับทำงานในฟังท์ชั่น ANC (Active Noise Cancellation) โดยที่ตัวหนึ่งเรียกว่า Reference Microphone ทำหน้าที่ “Feed Forward” คือตรวจวัด noise หรือปริมาณสัญญาณรบกวนที่อยู่ภายนอกแล้วส่งข้อมูลเข้าไปที่ DSP ของหูฟัง ส่วนอีกตัวเรียกว่า Error Microphone ทำหน้าที่ “Feed Backward” คือตรวจวัดปริมาณเสียงรบกวนภายในช่องหูแล้วส่งข้อมูลที่วัดได้ไปให้วงจร DSP ซึ่งวงจร DSP ในตัวหูฟัง Emotion Pro จะนำข้อมูลที่ได้รับจากไมโครโฟนทั้งสองตัวนี้ไปทำการประมวลผลเพื่อสร้างสัญญาณรูปแบบเดียวกับสัญญาณรบกวนแต่เป็นเฟสตรงข้ามเพื่อเข้าไปหักล้างกับสัญญาณรบกวนที่แทรกเข้ามาปนกับสัญญาณเสียงที่ออกมาจากไดเวอร์ ดังนั้น เสียงที่เราได้ยินจึงมีเฉพาะเสียงที่ออกมาจากไดเวอร์โดยตรง
หูฟังประเภทอินเอียร์กับเอียร์บัดในยุคก่อนหน้านี้จะมีเฉพาะ ANC แบบ Feed Forward เท่านั้น แต่แบบที่มีทั้ง Feed Forward และ Feed Backward ที่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่าเพิ่งมีออกมายุคหลังๆ นี้เอง ซึ่ง Emotion Pro ตัวนี้เป็นหนึ่งในหูฟังเอียร์บัดที่ใช้เทคโนโลยี Active Noise Cancellation แบบนี้
ส่วนไมโครโฟนตัวที่สามมีไว้สำหรับดึงเสียงพูดของเราขณะโต้ตอบกับปลายสายที่โทรฯ เข้ามาหา ซึ่งไมโครโฟนตัวนี้มีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Crystal Clear Voice กำกับมาด้วย จึงช่วยทำให้ฝั่งคู่สนทนาทางปลายสายได้ยินเสียงของเราชัดเจนมากขึ้น
โครงสร้างภายใน
ผ่าเข้าไปดูโครงสร้างภายในของหูฟังตัวนี้กันหน่อย ถึงจะตัวเล็กๆ แต่ข้างในนั้นอร้าอร่ามไม่เบา ตัวไดเวอร์ขับเสียงเป็นแบบไดนามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ม.ม. ตอบสนองความถี่ได้ครบย่านเสียงตั้งแต่ 20Hz ถึง 20kHz ความต้านทาน (อิมพีแดนซ์) อยู่ที่ 32 โอห์ม ความไวอยู่ที่ 90 +/-3dB จากภาพจะเห็นว่าตัวแม่เหล็กมีขนาดใหญ่กว่าตัวไดเวอร์ซะอีก ทำให้เก็บไฟได้เยอะ
ระบบชาร์จไฟ
สามารถชาร์จแบบไร้สายได้
ขั้วต่อ USB-C สำหรับชาร์จแบตฯ ติดตั้งอยู่บนตัวกล่อง
ไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ 4 ดวง ดวงละ 25%
จุดสัมผัสตัวนำสำหรับชาร์จไฟอยู่ในหลุมใส่หูฟังบนตัวกล่องชุบทองอย่างดี
หูฟังตัวนี้สามารถชาร์จไฟได้สองแบบ แบบแรกคือ แบบไร้สาย ใช้กับแท่นชาร์จแบบไร้สาย (ไม่ได้แถมมาให้) หรือจะชาร์จโดยใช้สาย USB-C ก็ได้ (มีสายแถมมาให้) ซึ่งที่ตัวกล่องจะมีช่องเสียบ USB-C เพื่อใช้ชาร์จแบตเตอรี่มาให้ มีไฟ LED สีขาว 4 ดวงแสดงสถานะขณะชาร์จไฟ เมื่อชาร์จจนเต็มไฟทั้งสี่ดวงนี้จะสว่าง (ปริมาณไฟดวงละประมาณ 25%) ซึ่งปริมาณไฟทั้งหมดสามารถชาร์จให้กับหูฟังเพื่อใช้งานได้นานถึง 28 ชั่วโมง กรณีที่เปิดใช้ฟังท์ชั่น ANC ตลอดเวลา (ใช้ได้นาน 7 ชั่วโมงต่อการชาร์จจนเต็มหนึ่งครั้ง) แต่ถ้าใช้งานหูฟังโดยปิดฟังท์ชั่น ANC จะใช้ได้นานถึง 36 ชั่วโมง (ใช้ได้นาน 9 ชั่วโมงต่อการชาร์จจนเต็มหนึ่งครั้ง) แต่ถ้าแบตเตอรี่หมดลงขณะที่คุณยังต้องการใช้งานอยู่ มันยังมีฟังท์ชั่น Quick Charge ช่วยย่นเวลาในการชาร์จให้ด้วย คือชาร์จแค่ 15 นาที จะสามารถใช้งานต่อได้นานถึง 1 ชั่วโมง
การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
Emotion Pro ใช้มาตรฐาน Bluetooth เวอร์ชั่น 5.1 ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ 2 ชิ้นพร้อมกัน (multipoint connection) ช่วยเพิ่มความสะดวกขณะทำงานบนคอมพิวเตอร์และสลับรับสายโทรฯ เข้าได้โดยไม่ต้องสลับเชื่อมต่ออุปกรณ์ให้เสียเวลา
เชื่อมต่อกับ iPhone 7
เชื่อมต่อกับ MacBook Pro
Emotion Pro ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.1 ซึ่งผมรู้สึกได้เลยว่า การเชื่อมต่อ Bluetooth ระหว่างหูฟัง Emotion Pro ตัวนี้กับอุปกรณ์อื่นทำได้ง่ายมากกว่าหูฟังรุ่นอื่นๆ ที่ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่นต่ำกว่านี้
ระบบ Bluetooth ของหูฟังตัวนี้รองรับโปรไฟล์ HFP, A2DP และ AVRCP ทำให้สามารถควบคุมสั่งงานหูฟังตัวนี้ได้ทั้งทางตรงคือ สัมผัสลงบนตัวหูฟัง และทางอ้อม คือควบคุมสั่งงานผ่านทางระบบไร้สาย Bluetooth ด้วยแอพลิเคชั่น ซึ่งผมชอบการควบคุมสั่งงานผ่านแอพฯ SOUL Plus มากกว่าแบบสัมผัสบนตัวหูฟังเพราะมันแม่นยำกว่ามาก
แอพลิเคชั่น SOUL Plus
แอพฯ SOUL Plus เป็นแอพฯ ฟรี มีให้ใช้ทั้งแฟลตฟอร์ม iOS และ Android
แอพลิเคชั่น SOUL Plus ถูกออกแบบมาให้ใช้แจ้งปริมาณแบตเตอรี่ของหูฟังทั้งสองข้าง (กรอบสีฟ้า) และใช้ควบคุมสั่งงานฟังท์ชั่นหลักๆ อีก 3 อย่าง อย่างแรกคือ เลือกโหมดการทำงานของตัวหูฟัง (กรอบสีส้ม) ซึ่งมีให้เลือก 3 โหมดคือ “ANC Mode” = เปิดใช้ฟังท์ชั่น ANC, โหมดที่สองคือ “Normal Mode” = ปิด ANC และปิดไมโครโฟน crystal clear voice โหมดที่สามคือ “Transparency Mode” = เปิดไมโครโฟนดึงเสียงจากภายนอกเข้ามาในหู ซึ่งวิธีเลือกใช้งานแต่ละโหมดก็ง่ายมากแค่แตะปลายนิ้วจิ้มลงไปบนสัญลักษณ์ที่อยู่ตรงกับชื่อโหมดที่ต้องการ หลังจากจิ้มเลือกลงไปแล้ว จะมีเสียงผู้หญิงแจ้งบอกให้รู้ว่ากำลังใช้โหมดอะไร อย่างตอนที่ผมทดลองเลือกใช้โหมด ANC หลังจากเสียงผู้หญิงแจ้งว่า “Noise Cancallation On” ดังเข้ามาในรูหู หลังจากนั้นเสียงบรรยากาศรอบด้านก็วูบเบาลงไปทันที เมื่อลองสลับมาที่โหมด Transparency Mode เสียงผู้หญิงจะแจ้งว่า “Audio Transparent Beyond” ปรากฏว่าเสียงรอบๆ ข้างดังขึ้นมาทันที ส่วน Normal Mode นั้นเสียงรอบข้างจะเบาลงนิดนึง เบาลงน้อยกว่าตอนใช้ ANC Mode เนื่องจากโหมด Normal นั้นเสียงรอบด้านจะถูกชีลด์ด้วยรูปทรงบอดี้ของตัวหูฟัง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น passive noise cancellation นั่นเอง
ผมเคยลองฟังท์ชั่น ANC ของหูฟังบางตัว พบว่ามันให้ผลไม่ชัดเจน ความรู้สึกของความแตกต่างแค่ผิวๆ แต่ฟังท์ชั่น ANC ของ Emotion Pro ตัวนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างได้ชัดมากระหว่างใช้ (ANC On) กับไม่ใช้ (Normal Mode)
ความสามารถอย่างที่สามของแอพฯ SOUL Plus ก็คือ ควบคุมสั่งงานการเล่นไฟล์เพลง (กรอบสีเขียว) โดยมีคำสั่งให้เลือกใช้อยู่ 4 คำสั่ง คือ เล่น/หยุดชั่วคราว (play/pause), เลื่อนไปแทรคข้างหน้า (next) และถอยกลับไปแทรคที่เพิ่งผ่านมา (previous) ซึ่งการสั่งงานบนแอพฯ จุดนี้จะส่งไปที่แอพฯ เล่นเพลงผ่านทาง Bluetooth กรณีที่คุณใช้แอพฯ เล่นเพลงที่อยู่คนละอุปกรณ์กับอุปกรณ์ที่ใช้ลงแอพ SOUL Plus ตัวอย่างเช่นตอนที่ผมทดลองเล่นไฟล์เพลงจาก TIDAL ด้วยแอพเพลเยอร์ของ TIDAL บนคอมพิวเตอร์ MacBook Pro ของผมแล้วส่งสัญญาณมาที่หูฟัง Emotion Pro จากนั้นผมก็ทดลองควบคุมการเล่นไฟล์เพลงบนแอพฯ ของ TIDAL ที่อยู่บน MacBook Pro ผ่านทางคำสั่งของแอพ SOUL Plus ที่อยู่บน iPhone 7 ปรากฏว่าผมสามารถควบคุมได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องไปแตะต้องตัว MacBook Pro เลย และไม่มีดีเลย์ด้วย
Sound Settings นี่คือฟังท์ชั่นเด็ดของ Emotion Pro !
ไม่ว่าจะราคาแพงแค่ไหน หูฟังตัวเล็กๆ แบบนี้ก็ไม่มีทางที่จะตอบสนองเสียงได้ครบทั้งสเปคตรัมได้อย่างราบเรียบ ยังไงก็ต้องอาศัยการปรับจูนด้วยวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์ค ซึ่งหูฟังไร้สายสมัยใหม่หันมาใช้บริการของเทคโนโลยี DSP (digital sound processing) กันทั้งนั้น เพราะนอกจากจะสามารถย่นย่อวงจรอิเล็กทรอนิคขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนลงบนชิปไอซีตัวเล็กได้แล้ว DSP ที่ใช้โปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงๆ ยังสามารถใส่อ๊อปชั่นพิเศษให้ผู้ใช้นำไปใช้งานได้อีกมาก
ประสิทธิภาพของภาค DSP ในตัว Emotion Pro ตัวนี้ถูกนำไปใช้กับการปรับแต่งเสียงมากเป็นพิเศษ จุดประสงค์ก็เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับจูนเสียงของหูฟังให้ออกมาตรงใจของผู้ฟังได้หลากหลายรูปแบบ ฟังท์ชั่น Sound Settings ของ Emotion Pro ตัวนี้ให้ความยืดหยุ่นสูง อำนวยประโยชน์กับผู้ใช้ได้มาก พวกเขามีทั้งรูปแบบของเสียงที่ปรับจูนสำเร็จจากโรงงานที่เรียกว่า System Presets (กรอบสีเขียว – ภาพบน) มาให้จิ้มเลือกใช้แบบง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาจูนเอง มีมากถึง 9 รูปแบบ มีทั้งแบบที่จูนมาให้เหมาะกับแนวเพลง อย่างเช่น Jazz, Rock, Blues และ Classical, แบบที่จูนมาโดยเน้นเพลงที่มีสไตล์นุ่มนวลชวนฝัน (Soft) เพลงที่เน้นเบส (Bass) และเน้นเสียงร้อง (Vocal) เน้นเพลงพ๊อพท๊อปฮิตทั่วๆ ไป (Billboard) ก็มี หรือถ้าอยากจะฟังรูปแบบของเสียงที่จูนโดยวิศวกรของ SOUL เอง ซึ่งเป็นแนวเสียงเอกลักษณ์ของแบรนด์ก็มีให้เลือกฟังด้วย (SOUL®)
แต่ถ้าคุณยังไม่ถูกใจกับเสียงที่จูนสำเร็จจากโรงงาน อยากจะปรับจูนเสียงด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ ซึ่งหูฟังตัวนี้มี My Presets มาให้คุณทำการปรับจูนเสียงด้วยอีควอไลเซอร์ 10 แบนด์ ที่ครอบคลุมความถี่ตั้งต่ 32Hz ขึ้นไปจนถึง 16kHz ฝั่งเลขน้อย (ทางซ้าย) จะเป็นความถี่ต่ำ ส่วนเลขมาก (ทาขวา) จะเป็นความถี่สูง เมื่อปรับเสร็จแล้วก็สามารถบันทึกเก็บไว้ได้ ซึ่งมีหน่วยความจำไว้ให้เก็บบันทึกได้ 3 เมมโมรี่ ด้วยกัน
วิธีการปรับจูนก็ทำได้ง่ายๆ เริ่มด้วยการเลือกเมมโมรี่ที่ต้องการปรับจูนและบันทึกเก็บก่อน จากที่มีให้เลือก 3 เมมโมรี่คือ A, B และ C ผมทดลองเลือกเมมโมรี่ C (ลูกศรสีเขียว) ขึ้นมาก่อน หลังจากจิ้มลงไปที่ C แล้ว ตรง Equalizer จะเซ็ตเริ่มต้นอยู่ที่ระดับแฟลตคือ 0dB ทุกแบนด์ความถี่ คุณต้องการปรับจูนความถี่ไหนก็ให้ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปที่สัญลักษณ์สไลเดอร์ (ศรชี้สีฟ้า) ของความถี่นั้นแล้วลาก ถ้าลากขึ้นด้านบนก็เป็นการเพิ่มความดังของความถี่นั้น ถ้าลากลงมาด้านล่างก็คือปรับลดความดังของความถี่นั้น ซึ่งหลังจากปรับไปแล้ว ที่ด้านล่างของแถบความถี่ที่คุณปรับจะปรากฏตัวเลขระบุ dB ไว้ให้สังเกต หลังจากปรับจูนเสร็จแล้วก็กดลงไปที่ Save (ศรชี้สีแดง) เพื่อเก็บบันทึกค่าเอาไว้ ถ้าต้องการปรับจูนใหม่ก็สามารถทำได้โดยจิ้มลงไปที่เมมโมรี่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง หลังจากปรับจูนแก้ไขแล้วก็อย่าลืมกด Save เพื่อบันทึกค่าใหม่ลงไปด้วย
ผมทดลองปรับจูนดูพบว่า เครื่องมือ Equalizer ที่หูฟัง Emotion Pro ตัวนี้ให้มามันทำงานได้ผลจริง! แสดงผลต่างที่เกิดกับเสียงหลังการปรับออกมาได้ชัดเจนมาก ความละเอียดของการปรับจูนอยู่ที่ +/-1dB ปรับแล้วเห็นผล และเมมโมรี่ที่ให้มา 3 ค่า ก็มีประโยชน์ เนื่องจากแหล่งที่มาของสัญญาณเสียงที่ต่างกัน จะให้ลักษณะโทนเสียงออกมาไม่เหมือนกัน อย่างเช่น ผมทดลองฟัง TIDAL บน iPhone 7 กับ TIDAL บน MacBook Pro ปรากฏว่าเสียงไม่เหมือนกัน ผมเลยปรับจูนทั้งสองแหล่งให้ได้เสียงที่ออกมาพอใจแล้วบันทึกแยกไว้คนละเมมโมรี่.. เวิร์คมาก.!!!
สรุป
หูฟังเอียร์บัดรุ่น Emotion Pro ตัวนี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก ซึ่งสะท้อนออกมากับการใช้งานจริง เริ่มจากการเชื่อมต่อที่ง่ายขึ้น เสถียรมากขึ้น หลังจากเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวใดแล้ว เมื่อเปิดเครื่องออกมาเริ่มใช้งานมันจะเจอกันและทำการเชื่อมต่อเองโดยอัตโนมัติ ระยะทำการได้ไกลถึง 10 เมตรในพื้นที่โล่ง และที่ผมชอบมากคือความสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ 2 ชิ้นพร้อมกัน มันเป็นฟังท์ชั่นที่สอดคล้องกับการใช้งานจริงอย่างมาก.. อันนี้ยกนิ้วโป้งให้เลยทั้งสองนิ้ว!
การทำงานของโหมด ANC (Active Noise Cancellation) ก็ได้ผลจริง ตัดเสียงรบกวนได้อย่างชัดเจน รวมถึงโหมด Audio Transparency ที่ทำให้รับรู้ถึงสภาพรอบด้านที่ชัดเจน สามารถโต้ตอบได้โดยไม่ต้องดึงหูฟังออก อันนี้ก็เยี่ยมมาก.!
ทีเด็ดที่จ๊าบสุดๆ ของหูฟังเอียร์บัดตัวนี้ก็คือฟังท์ชั่น Sound Settings ที่เปิดโอกาสให้ผมสามารถปรับจูนเสียงที่ผมชอบได้เอง ซึ่ง Equalizer 10 band ที่ให้มาเป็นเครื่องมือในการปรับจูนก็เวิร์คมาก.!! สามารถปรับจูนได้อย่างละเอียด tailer made เสียงออกมาได้ตามที่ต้องการจริงๆ … ฟังท์ชั่นนี้เอาใจผมไปเลย.!!!
ผมเคยทดสอบหูฟังของ SOUL มาแล้วหลายรุ่น ถ้าจะให้โหวต ผมขอโหวตให้ Emotion Pro ตัวนี้เป็นอันดับหนึ่งที่ให้ความประทับใจในการใช้งานกับผมมากที่สุด ชอบทั้งฟังท์ชั่นที่ให้มาและคุณภาพเสียงของมัน.!!! /
********************
ราคา : 4,290 บาท / ชุด
********************
สั่งซื้อได้ที่
Asavasopon Online
และที่ร้านอัศวโสภณทุกสาขาในห้างชั้นนำ