มีคนเคยพูดให้ฟังว่า อยากทำแอมป์เป็น ไม่ยาก ไปลงเรียนวิชาที่โรงเรียนอิเล็กทรอนิคส์ 3 เดือนออกมาทำแอมป์ได้ มีเสียงดัง แต่ถ้าคิดจะทำแอมป์ไฮเอ็นด์ฯ บอกเลยไม่ง่าย เผลอๆ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไปไม่ถึงดวงดาว!
Absolute Audio Labs
แบรนด์ไทยชื่อหรู!
“วัชระ สลัดแก้ว” เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีความรู้ในการทำแอมป์ฯ ที่เลยระดับทำให้มีเสียงดังไปนานแล้ว ปัจจุบัน เขาอยู่ในกลุ่มที่พยายามทำแอมป์ฯ ให้ได้เสียงที่ไปตามที่ใจคิดว่าควรจะเป็นเสียงที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับนักออกแบบแอมป์ฯ คนอื่นๆ ในโลกนี้ที่ต้องอาศัยจินตนาการเป็นบันไดเพื่อไต่ไปสู่ฝัน จุดเริ่มต้นของวัชระไม่ได้สตาร์ทที่ศูนย์ แต่อาศัยต่อยอดมาจากพื้นฐานงานออกแบบของ Nelson Pass พ่อมดทางด้านออกแบบแอมปลิฟายชาวอเมริกัน คนดังคนหนึ่งของวงการเครื่องเสียงระดับโลก
แนวทางการออกแบบเพาเวอร์แอมป์รุ่น PCF-25 ตัวนี้ วัชระถอดแบบมาจากเพาเวอร์แอมป์ยี่ห้อ Pass Labs ของเนลสัน พาส โดยเลือกดีไซน์บางส่วนจากรุ่น M2 และรุ่น F5 เอามาผสมผสานกัน ถ้าได้คุยกับเขา คุณจะได้เห็นถึงไอเดียในการออกแบบที่แตกต่างจากภาษาที่ผู้ผลิตแอมป์อื่นๆ ใช้ในการทำโฆษณาตามสื่อต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกมาในลักษณะของนามธรรม ฟังดูหรูแต่ไม่เข้าใจ แต่ที่วัชระบอกกับผมถึงสิ่งเขาได้ทำอะไรลงไปในแอมป์ฯ ตัวนี้มันเป็นรูปธรรมทางเทคนิคที่เข้าใจได้ อย่างเช่น ใช้การป้อนกลับทั้งสองแบบ นั่นคือ negative feedback และ positive feedback, ใช้มอสเฟ็ตแบบ lateral ที่สามารถทนกระแสได้มากกว่าปกติถึง 5 เท่า, วงจรเป็นแบบ all direct coupling, ใช้การคัดเกรดแบบแมทซ์ควอด ซ้าย/ขวา, จูนสเปคตรัม ลำดับฮาร์มอนิกส์ที่ 2, 3 ให้สัมพันธ์กันแบบแอมป์หลอด และควบคุมความเพี้ยนเอาไว้ไม่ให้เกิน 0.06%, ใช้หม้อแปลงขนาด 450VA, ใช้ตัวเก็บประจุค่ารวมทั้งหมด 180,000 ไมโครฟารัด, ตัวถังทำจากอะลูมิเนียมทั้งชิ้น
ซึ่งข้อมูลบางข้อนั้นผมยอมรับว่ายังไม่เคยได้ยินจากแอมป์ตัวอื่นมาก่อนเลย ที่ติดใจมากก็คือข้อที่ว่า “ปรับจูนสเปคตรัม ลำดับฮาร์มอนิกที่ 2, 3 ให้สัมพันธ์กันแบบแอมป์หลอด” ซึ่งหลังจากโทรศัพท์ไปคุยกับวัชระเกี่ยวกับเบื้องหลังของเรื่องนี้ ยอมรับว่าได้แง่มุมกลับมาคิดต่ออีกเยอะเลย ใครสนใจจะวิเคราะห์เชิงช่าง แนะนำให้โทรฯ ไปคุยกับเขาเลย (โทร. 083-121-4445)
PCF-25
เพาเวอร์แอมป์ class-A ดีไซน์
วัชระบอกผมว่า “PCF” ซึ่งเป็นโค๊ดรหัสรุ่นของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ย่อมาจาก “Positive Current Feedback” ซึ่งเป็นการจัดกระแสฟีคแบ็คในทางเดินสัญญาณแบบ local feedback ส่วนตัวเลข 25 ที่ต่อท้ายก็คือกำลังขับของแอมป์ฯ ตัวนี้
“.. วิธีทำ positive feedback จะเลียนแบบการทำงานของการป้อนกลับในแอมป์ fully balanced แต่ทำงานที่ single phase ข้อดีคือมันจะไม่จดจำ แคแร็คเตอร์ของอุปกรณ์ทางเดินสัญญาณมากนัก“ ตอนหนึ่งของการสนทนา วัชระสรุปถึงผลของการใช้ positive feedback ไว้ว่า เมื่อคำนวนได้ถูกต้อง จะทำให้ได้ค่าแด้มปิ้ง แฟ็คเตอร์ที่ดีขึ้นด้วย

เพราะจุดประสงค์หลักของคุณวัชระคือต้องการโคลนนิ่ง Pass Labs ขึ้นมาตามแนวทางที่เนลสัน พาสให้ไว้ในเว็บไซต์ Pass DIY แอมป์ตัวนี้จึงใช้ภาคขยายแบบ class-A ยืนพื้นตามต้นแบบที่เนลสัน พาสแนะนำอย่างเคร่งครัด ให้กำลังขับอยู่ที่ข้างละ 25W ข้อมูลทางสเปคซิฟิเคชั่นอื่นๆ ไม่ได้แสดงเอาไว้ ส่วนข้อมูลในทางเทคนิคการออกแบบปรากฏอยู่ในหัวข้อข้างบนนั้น
จากข้อมูลที่คุยกัน ยังมีทริคในการออกแบบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นทริคที่ส่งผลดีกับวงจรขยายแบบ class-A นั่นคือออกแบบทางเดินวงจรให้สั้นที่สุด มีสิ่งกีดขวางน้อยที่สุด ซึ่งวัชระบอกกับผมว่า ทางเดินสัญญาณในวงจรมีคอมโพเน้นต์ขวางทางอยู่แค่ 7 ตัวเท่านั้น! และอีกเคล็ดลับที่สำคัญสำหรับแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-A นั่นคือ เลือกใช้คอมโพเน้นต์ที่มีคุณภาพดี และผ่านการคัดสรรอย่างละเอียดเท่านั้น (เขาใช้รีซีสเตอร์ของ Dale กับ Philips, ใช้แผงวงจรเคลือบทอง, ใช้คาปาซิเตอร์ของ Vishay ขนาดรวมกัน 180,000 ไมโครฟารัด)
รูปร่าง–หน้าตา
มาดูหน้าตาของ PCF-25 ตัวนี้ดูหน่อย

ตัวถังภายนอกของ PCF-25 ละม้ายกับเพาเวอร์แอมป์รุ่น Aleph 30 ของ Pass Labs ที่ผมเคยใช้อยู่หลายปีที่แล้ว ความกว้างของ Aleph 30 จะเท่ากันคืออยู่ที่ 430 ม.ม. ส่วนความลึกของ Aleph 30 จะลึกกว่านิดหน่อยคืออยู่ที่ 393 ม.ม. ความสูงของ Aleph 30 ก็มากกว่านิดหน่อยคืออยู่ที่ 140 ม.ม.

หน้าตารุ่น Aleph 30 ของ Pass Labs
PCF-25 มีไฟแอลอีดีสีฟ้าดวงใหญ่อยู่บนหน้าปัด (B) แบบเดียวกับ Aleph 30 แต่อยู่คนละตำแหน่ง นอกจากนั้น บนหน้าปัดของ PCF-25 ยังมีป้ายหนาชุบทองสลักชื่อยี่ห้อ Absolute Audio Labs แปะติดอยู่ (A) ดูโดดเด่นมาก นอกจากป้ายชื่อกับไฟแอลอีดีแล้ว บนหน้าปัดของ PCF-25 ยังมีหมุดน็อตโลหะที่ใช้ขันยึดแผงหน้าปัดฝังอยู่อีก 4 ตัว ทำให้ดูเป็นงาน DIY ที่มีความดิบในตัว ตรงไปตรงมา ไม่ได้ซ่อนงานไว้ใต้แผ่นแผงหน้าเหมือนแอมป์ที่ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

PCF-25 ติดฮีทซิ้งค์โลหะชิ้นใหญ่ไว้ที่ด้านข้างตัวถังทั้งสองข้าง (C) ยาวตั้งแต่แผงหน้าลงมาถึงแผงหลัง กระนั้น ในการใช้งานจริง ความร้อนได้ถูกกระจายไปทั่วแทบจะทุกตารางนิ้วบนตัวถัง กลายเป็นว่า แผ่นโลหะที่ปิดทับอยู่ด้านบนก็ทำหน้าที่เป็นแผงระบายความร้อนไปด้วยในตัว
แผงหลังกับจุดเชื่อมต่อต่างๆ

ความแตกต่างอีกจุดสำหรับ PCF-25 กับ Aleph 30 คือตัว PCF-25 เอาสวิทช์ main power (D) ไปไว้ที่แผงด้านหลัง ในขณะที่ของตัว Aleph 30 อยู่บนแผงหน้าปัด เต้ารับปลั๊กไฟเอซี (E) เป็นแบบสามขาแยกกราวนด์ เพาเวอร์แอมป์ของวัชระตัวนี้รับสัญญาณอินพุตแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ (อันบาลานซ์) ได้อย่างเดียว (Aleph 30 มีอินพุตบาลานซ์ XLR มาให้ด้วย) ผ่านขั้วต่อ RCA ส่วนขั้วต่อสายลำโพง (H, I) ก็ให้มาแชนเนลละคู่ แต่ใช้ขั้วต่อที่มีคุณภาพดี เชื่อมต่อสายลำโพงได้ทั้งแบบผ่านขั้วต่อบานาน่า, หางปลา หรือจะใช้สายเปลือยเสียบตรงเข้ารูแล้วขันยึดก็ได้
ทดลองแม็ทชิ่ง
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าสเปคฯ ที่รู้สำหรับเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ก็มีแค่กำลังขับ 25W ต่อข้างเท่านั้น ผมจึงค่อนข้างซีเรียสกับลำโพงที่จะต้องแม็ทฯ ให้ได้ก่อน ผมจึงใช้วิธีแม็ทชิ่งด้วยการจับคู่กับปรีแอมป์ให้กับ PCF-25 ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าอินพุตของ PCF-25 จะได้รับเกนสัญญาณที่แรงพอ จากนั้นจึงค่อยทดลองเปลี่ยนลำโพงเข้าไปจับคู่แล้วลองฟังเสียงกันจริงๆ จังๆ ไปเลย ซึ่งการทดสอบแม็ทชิ่งสำหรับเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับต่ำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเราได้ปรีแอมป์+เพาเวอร์แอมป์ที่แม็ทชิ่งกันดีแล้ว เบื้องต้นนั้น เมื่อต่อลำโพงเข้าไป ให้ลองฟังคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก” ของเสียงอย่างเดียวก่อน เพื่อตรวจสอบดูว่า กำลังของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้สามารถขับลำโพงที่เอามาทดลองจับคู่ได้เต็มที่แค่ไหน วิธีฟังก็ง่ายๆ ให้เริ่มต้นด้วยการเร่งวอลลุ่มขึ้นไปจนได้ระดับความดังที่เราต้องการฟังจริง จากนั้นให้ลองฟังลักษณะเสียงที่ออกมาว่ามีอาการอั้นตื้อหรือเปล่า.? (ตรงนี้ คุณต้องพยายามทำความเข้าใจในการแยกแยะความหมายของคำว่า “ความดัง” กับ “อาการอั้น–ตื้อ” ออกจากกันให้ได้ซะก่อน) ถ้าเสียงที่ออกมามีอาการอั้นๆ ตื้อๆ แม้ว่าจะเร่งวอลลุ่มที่ปรีแอมป์ขึ้นไปมากๆ เสียงโดยรวมอาจจะมีความดังเพิ่มมากขึ้น แต่การ “สวิงไดนามิก” ยังไม่เปิดกว้าง แบบนี้ก็พอจะสรุปได้ว่า แอมป์ขับลำโพงไม่ออก หรือออกแต่ไม่เต็มที่

จากการทดลองจับคู่กับทั้งปรีแอมป์และลำโพงอยู่นานแรมเดือน ผมพอจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนิสัยประจำตัวของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ออกมาค่อนข้างชัดเจน ที่พบอย่างแรกคือ PCF-25 เป็นเพาเวอร์แอมป์ที่ต้องการเอ๊าต์พุตจากปรีแอมป์ที่ค่อนข้างแรง และต้องเป็นสัญญาณที่มีคุณภาพสูงด้วย ซึ่งเกนของปรีแอมป์มีส่วนช่วยทำให้กำลังขับ “พลังมด” ที่ 25W ต่อข้างของเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้กลายร่างเป็น “พลังช้าง” ได้เลย ในขั้นตอนแรกนั้น ผมทดลองจับคู่ PCF-25 กับ external DAC ที่มีภาคปรีแอมป์ในตัวสองตัวที่มีผมมีอยู่ นั่นคือ MyTek รุ่น Liberty DAC (REVIEW) กับ Cambridge Audio รุ่น CXN v2 (REVIEW) โดยใช้ภาคปรีแอมป์ในตัว Liberty DAC และ CXN v2 ในการควบคุมระดับเกนสัญญาณที่ส่งไปให้ PCF-25 โดยตรง ผมพบว่า PCF-25 ไปกับ CXN v2 ได้ดีกว่า Liberty DAC คือเอา PCF-25 จับกับ Liberty DAC ขับลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 4.4 ได้เสียงออกไปทางนุ่มเนียน แต่ขาดความสดไปหน่อย แต่พอเปลี่ยนมาจับ PCF-25 กับ CXN v2 ขับลำโพง EVO 4.4 คู่เดียวกัน (สายสัญญาณและสายลำโพงชุดเดียวกัน) ปรากฏว่า ได้เสียงออกมาเต็มกว่า เร่งวอลลุ่มที่ CXN v2 แค่เพียง 25-26 เสียงก็ออกมาเต็ม ตัวเสียงหนาใหญ่ ไดนามิกสวิงกว้าง ถือว่าการแม็ทชิ่งระหว่างเกนเอ๊าต์พุตของ CXN v2 กับเกนอินพุตของ PCF-25 อยู่ที่ระดับร้อยเปอร์เซ็นต์! (recommended!)
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้น นั่นคือตัวแปรสำคัญในการแม็ทชิ่งเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับต่ำๆ จะไปตกอยู่ที่ลำโพง จากการทดลองแม็ทชิ่งครั้งนี้โดยใช้ CXN v2 ทำหน้าที่เป็นทั้งเพลเยอร์และปรีแอมป์จับคู่กับ PCF-25 ยืนพื้นไว้แล้วลองเปลี่ยนลำโพงไปเรื่อยๆ ผมพบว่า ถ้าใช้ลำโพงตั้งแต่ระดับที่มีราคาไม่สูงขึ้นไปจนถึงระดับมิดเอ็นด์ (ประมาณคู่ละหมื่นกว่าขึ้นไปจนถึง 5 หมื่นบาท) อย่างเช่น Mission รุ่น QX2, Wharfedale รุ่น EVO 4.2 (REVIEW) และ EVO 4.4 (REVIEW) จะได้ผลลัพธ์ออกมาดีน่าพอใจ ทั้งในแง่รายละเอียดเสียงและการสวิงของไดนามิก นั่งฟังใกล้แบบ nearfield และเล่นเพลงที่ไม่ได้โชว์ทรานเชี้ยนต์รุนแรงอย่างแผ่นกลองจีน ถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้าเล่นในห้องใหญ่ เปิดดัง และเล่นเพลงโหดๆ ภาคปรีฯ ในตัว Liberty DAC กับ CXN v2 เอาไม่อยู่ ต้องขยับไปเล่นปรีแอมป์จริงๆ
ในช่วงท้ายของการทดสอบผมเปลี่ยนมาใช้ปรีแอมป์รุ่น Modulus 3A ของ Audible Illusion กับปรีแอมป์รุ่น TL 2.5 ของ VTL จับคู่กับ PCF-25 พบว่า มันทำให้กำลังขับ PCF-25 ดูแข็งขันและเอาจริงเอาจังได้มากขึ้นอย่างน่าประหลาด กับลำโพงตั้งพื้นระดับกลางอย่าง Wharfedale รุ่น EVO 4.4 สามารถเปิดดังๆ ได้สบาย เสียงหลุดตู้โดยไม่มีอาการอั้นหรือตื้อใดๆ เลย และยังสามารถขยับขึ้นไปขับลำโพงที่โหดขึ้นอย่าง Totem Acoustics รุ่น The One ได้ด้วย.!
มีอีกจุดหนึ่งที่ผมพบจากการทดลองแม็ทชิ่ง นั่นคือ สายไฟเอซี มีผลกับเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้มากเช่นกัน ทั้งในแง่ของคุณภาพเสียงและพลังเสียง พอเปลี่ยนสายไฟเอซีของ Life Audio รุ่น Essence 1 (REVIEW) เข้าไปแทนสายแถมสีดำ รับรู้ได้ถึงพลังเสียงของ PCF-25 ที่เพิ่มขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังแฝงที่ผ่านออกมาจากการย้ำเน้นทรานเชี้ยนต์ของนักดนตรีที่กระทำกับเครื่องดนตรีประเภทเพอร์คัสชั่น และเมื่อลองเปลี่ยนไปใช้สายไฟเอซีที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกอย่างของ Nordost รุ่น Valhalla เสียงของ PCF-25 ก็สามารถขยับขึ้นไปได้อีกระดับทางด้านความใสของพื้นเสียง, ไดนามิกทรานเชี้ยนต์ระดับไมโครไดนามิก และหางเสียงที่ทอดยาวและเปล่งประกายมากขึ้นในย่านแหลม ตลอดจนถึงมวลแอมเบี้ยนต์ที่อบอวลมากขึ้นเมื่อฟังเพลงที่บันทึกสดในโบสถ์หรือวิหาร กับเพลงที่บันทึกมาจากการแสดงสดและเพลงคลาสสิก ในขณะที่ทางด้านพละกำลังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากแล้ว
ทดสอบฟังเสียง
คุณจะประเมินคุณภาพและลักษณะเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นใด ต้องทำให้มันอยู่ในสภาพที่ทำงานเต็มที่มากที่สุดก่อน นั่นคือ แม็ทชิ่ง + เซ็ตอัพ + ปรับจูน ให้ลงตัวมากที่สุดก่อนจึงค่อยนั่งลงสำรวจเสียงของมัน
ผมเลือกลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 4.4 กับปรีแอมป์ VTL รุ่น TL 2.5 ในการจับคู่กับ PCF-25 สำหรับการฟังเพื่อวิเคราะห์เสียงของ PCF-25 เพราะซิสเต็มนี้ให้เพอร์ฟอร์มานของเสียงออกมาดีที่สุดเมื่อเฉลี่ยจากหลายๆ ด้าน (สายสัญญาณผมใช้ Kimber Kable รุ่น Timbre ส่วนสายลำโพงใช้ Nordost รุ่น Tyr2 ต่อแบบซิงเกิ้ลไวร์ โดยใส่จั๊มเปอร์ที่ตัวลำโพงแถมมา)

อัลบั้ม : Blues & Grass (DSF64)
ศิลปิน : Charlie Burnham, Aubrey Dayle, Queen Esther, Mark Peterson, James “Blood” Ulmer
มีเพื่อนนักเล่นฯ เคยถามผมว่า เพาเวอร์แอมป์ที่ดีไซน์วงจรขยายด้วย class-A จะมีลักษณะเสียงที่เด่นไปทางไหน.? อย่างแรกสุดคือเรื่อง “โฟกัส” ของเสียงที่แม่นยำ เพราะวงจรขยายแบบ class-A จะไม่มีปัญหา “crossover distortion”

ซึ่งเป็นความเพี้ยนที่เกิดขึ้นกับวงจรขยาย class-AB และ class-B ถ้าจะลองฟังประสิทธิภาพของแอมป์ที่ออกแบบวงจรขยาย class-A ว่ามันเจ๋งแค่ไหน แนะนำให้ลองฟังจากเพลงที่บันทึกเสียงสดๆ ใช้ระบบบันทึกเสียงที่ตรงไปตรงมา ขั้นตอนสั้นๆ อย่างพวกอัลบั้มแสดงสดที่เป็นงานบันทึกเสียงของค่ายเพลงไฮเอ็นด์ฯ เหตุที่ต้องจำกัดวงว่าเป็นงานแสดงสดของค่าไฮเอ็นด์ฯ ก็เพราะว่างานบันทึกเสียงแสดงสดของค่ายเพลงตลาดทั่วไป “เกือบทั้งหมด” ในปัจจุบันจะใช้วิธีบันทึกแบบ multitrack ผ่านคอนโซลแล้วเอาไปมิกซ์ใหม่ ซึ่งเฟสของสัญญาณที่ควรจะถูกต้องมีโอกาสจะถูกทำให้เกิดความผิดเพี้ยนขึ้นได้ในขั้นตอนมิกซ์
งานเพลงอัลบั้มชุด “Blues & Grass” ของค่าย Chesky Records ชุดนี้ บันทึกเสียงสดในเมืองนิวยอร์ค ที่ A.C. Pianocraft Recital Hall เมื่อวันที่ 24 เมษายน ปี 2004 ดูแลการบันทึกเสียงโดย Barry Wolifson อีดิตและทำมาสเตอร์โดย Nicholas Prout ซึ่งงานชุดนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์เพลงและนักวิจารณ์สายไฮไฟฯ ว่าเป็นอัลบั้มที่ให้บรรยากาศของการแสดงสดที่มีชีวิตชีวาอย่างมาก เป็นอีกหนึ่งผลงานที่แบรี่ วูลิฟสันทำออกมาได้ดีมาก สามารถจำลองสภาพแวดล้อมและเก็บเอาบรรยากาศในการแสดงสดออกมาได้อย่างครบถ้วน เมื่อนำมาเล่นผ่าน PCF-25 ขับลำโพง Wharfedale EVO 4.4 ผมก็เห็นจริงตามที่ว่า เสียงร้องของ Queen Esther ในหลายๆ เพลงปรากฏลอยขึ้นมาในอากาศราวกับผีหลอก โฟกัสมันชัดมากๆ และได้ยินเสียงคนดูเป่าปากและตบมือลอยไปทั่วบริเวณ มิติเยี่ยมสุดๆ ฟังแล้วรู้สึกเหมือนเข้าไปยืนรวมกลุ่มอยู่กับคนฟังในวันนั้น

อัลบั้ม : Jazz at the Pawnshop (WAV 16/44.1)(HDCD)
ศิลปิน : Arne Domnerus, Bengt Hallberg, Georg Riedel, Egil Johansen & Lars Erstrand
ฟังเพลงบลูฯ เล่นสดแล้ว นึกถึงอัลบั้มนี้ขึ้นมาทันที เป็นเพลงแจ็สชุดแรกๆ ที่ผมฟังแล้วอิน รู้จักเมื่อตอนเริ่มเข้ามาเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆ ตอนนี้ฟังบ่อยมาก เมื่อใดก็ตามที่ซิสเต็มของคุณถึงพร้อมทั้ง แม็ทชิ่ง + เซ็ตอัพ + ปรับจูน หยิบอัลบั้มนี้ขึ้นมาฟังแล้วห้องฟังของคุณจะกลายเป็น Stampen คลับดึงดูดคุณเข้าไปนั่งฟังวงนี้บรรเลงสดๆ
PCF-25 เก่งมากในการถ่ายทอดบรรยากาศที่มีแอมเบี้ยนต์อบอวลและแผ่คลุมแบบที่เป็นอยู่ในอัลบั้มนี้ มันจัดวางเสียงกลอง, เบส, แคริเน็ต, เปียโน, อัลโต้แซ็ก และไวบราโฟน ให้ล่องลอยอยู่เต็มห้อง มีซ้าย, มีขวา, มีหน้า, มีหลัง ครบทุกมิติ และแต่ละชิ้นก็มีความมั่นคง นิ่งไม่วูบวาบ (ต้องให้เครดิต CXN v2 ด้วย) และจากการฟังอัลบั้มนี้ทำให้ผมค้นพบอีกคุณสมบัติเด่นของ PCF-25 นั่นคือ “ฮาร์มอนิก” ที่เยี่ยมยอดมาก! โดยเฉพาะเสียงไวบราโฟนของ Lars Erstrand ที่ทอดกังวานออกไปได้จนสุดเสียง ผมชอบฟังเสียงไวบราโฟนในเพลง “I’m Confessin’” แทรคที่ 2 ซึ่งเป็นเพลงช้าๆ ที่น่าฟัง ขึ้นต้นด้วยเสียงอัลโต้แซ็กของ Arne Domnerus ขึ้นมาสอง–สามโน๊ตก่อนที่ Lars Erstrand จะตามด้วยไวบราโฟนโน๊ตต่ำๆ ซึ่งทอดหายเสียงกระเพื่อมออกไปเป็นระลอกๆ เหมือนการกระเพื่อมของน้ำเมื่อโยนหินลงไป ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว เสียงดนตรีทั้งหมดลอยเข้าไปอยู่หลังระนาบของลำโพง ปรากฏตำแหน่งชัดเจน แม้ว่าจังหวะดนตรีจะเนิบนาบ แต่ละชิ้นเล่นด้วยความดังปานกลาง แต่บรรยากาศที่ปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่ทำให้รู้สึกถึงความ “เต็ม” และ “อิ่มฉ่ำ” ชื่นมื่นตลอดเแปดนาทีของเพลงนี้

อัลบั้ม : Glad Rag Doll (FLAC 24/96)
ศิลปิน : Diana Krall

อัลบั้ม : Save The Last Dance For Me (WAV 24/192)
ศิลปิน : The Drifters
สองอัลบั้มข้างบนนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า PCF-25 ตอบสนอง “เสียงกลาง” ออกมาได้ดีมาก ซึ่งเป็นอะไรที่ควรจะคาดหมายได้จากแอมป์ที่ดีไซน์วงจรขยาย class-A ซึ่งมีหลายคนพูดว่า ถ้าแอมป์โซลิดสเตท class-A ที่ออกแบบได้ดีจริงๆ แล้ว จะต้องให้เสียงกลางที่ฉ่ำและหวานไม่แพ้แอมป์หลอด
ผมไม่แน่ใจว่า ใครเป็นคนกล่าวข้างต้น แต่หลังจากทดลองฟังสองอัลบั้มข้างบนผ่าน PCF-25 ไปแล้ว ผมยอมรับว่ามีความเห็นคล้อยตามคำกล่าวนั้นนะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของ Diana Krall หรือเสียงร้องของนักร้องชายทั้ง 4 คนในวง The Drifters มันปรากฏออกมาในลักษณะที่คล้ายเสียงจากแอมป์หลอดซิงเกิ้งเอ็นด์มาก คือลอยเด่นขึ้นมาอากาศแบบไม่มีความเครียดใดๆ ขยับเคลื่อนลีลาในการรัองออกมาอย่างสบายๆ ลื่นไหล ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่มีอาการอึดอัดหรือหน่วงดึงใดๆ เนื้อใสเนียนไม่ได้หนาจนเหนอะ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ คือเสียงกลางของ PCF-25 เหมือนเสียงกลางของแอมป์หลอด 300B ที่ดีไซน์วงจรขยายแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ ซึ่งให้เสียงกลางที่ใส ลอย และผ่อนคลาย เนื้อมวลไม่ได้หนาจนเหนอะหนะ กำลังพอดีๆ ซึ่งในสถานการณ์นี้ คงต้องยกเครดิตให้กับทวีตเตอร์ AMT กับมิดเร้นจ์ทรงโดมของลำโพง EVO 4.4 ด้วย แม้ว่าอัลบั้ม “Save The Last Dance For Me” ของคณะดนตรี The Drifters จะออกมานานถึง 60 ปีมาแล้ว (ตั้งแต่ปี 1960) แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ของวงจรขยายแบบ class-A ทำให้ยังคงรักษาความสดของน้ำเสียงเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

อัลบั้ม : Virtuoso (DSF64)
ศิลปิน : Joe Pass
ความโดดเด่นในแง่ของการถ่ายทอด “ทรานเชี้ยนต์” ของไดนามิกก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่แอมป์ class-A มีอยู่ในตัว พิสูจน์ได้จากการทดลองฟังเพลงบรรเลงที่ใช้เครื่องดนตรีเดี่ยว โดยเฉพาะเสียงของเครื่องดนตรีที่เกิดจากการบรรเลงด้วยวิธี “ดีด” ซึ่งเป็นประเภทของสัญญาณเสียงที่สะดุดหู ซึ่งคุณสมบัติในการตอบสนองกับสัญญาณอินพุตได้เร็วมากๆ ของวงจรขยาย class-A ทำให้เสียงกีต้าร์ของโจ พาสในอัลบั้มนี้มีความสดใส กระชับ เร็ว ฟังแล้วเหมือนเล่นสดมาก ฮาร์มอนิกมาครบ ทำให้ได้ยินเทคนิคที่โจ พาสใช้ในการบรรเลงแต่ละโน๊ตได้อย่างชัดเจน คนที่เล่นกีต้าร์เป็น รู้เทคนิค จะชอบมากเป็นพิเศษเพราะมันออกมาใสและชัดมากๆ !!
สรุป
แอมป์ class-A ดีขนาดนี้ ทำไมยังมีการออกแบบและผลิตแอมป์คลาสอื่นอยู่.? จุดอ่อนของแอมป์ class-A ก็คือ “กำลังขับ” ซึ่งแอมป์ที่ใช้ทรัพยากรเท่าๆ กัน ถ้าดีไซน์ภาคขยายแบบ class-A จะได้กำลังขับออกมาน้อยกว่าแอมป์ที่ใช้วงจรขยายคลาสอื่นอย่าง class-B ที่เน้นสมรรถนะทางด้านกำลังขับมากกว่าความเนียนสะอาดของเสียง ซึ่งต้องมองว่า ลำโพงที่มีอยู่ในตลาดทุกวันนี้มีทั้งแบบที่ให้ความไวสูง ใช้กำลังขับไม่เยอะ แบบนี้เหมาะกับแอมป์ class-A แต่ลำโพงที่ออกแบบมาด้วยเทคนิคที่ทำให้ความไวต่ำ แบบนั้นต้องใช้แอมป์ที่มีกำลังขับเยอะๆ ถึงจะขับออก กรณีนั้น ถ้าจะใช้แอมป์ class-A ขับก็คงต้องเป็นแอมป์ class-A ที่มีกำลังขับสูงๆ ซึ่งในโลกความเป็นจริงแล้ว แอมป์ class-A แท้ๆ ที่มีกำลังขับสูงๆ จะมีราคาสูงมากๆ ยกตัวอย่างก็คือ Accuphase รุ่น E-800 (REVIEW) ที่ให้กำลังขับแค่ 50W แต่ราคาหลายแสน
หลังจากทราบราคาขายของ PCF-25 จากวัชระว่าอยู่ที่สามหมื่นนิดๆ บอกเลยว่าคุ้มมาก! ถ้าเป็นแบรนด์นอก จะหาเพาเวอร์แอมป์ class-A ราคานี้บอกเลยว่ายาก.. ยิ่งได้ฟังเสียงแล้วก็ยิ่งขอยืนยันว่าคุ้มมาก มีอยู่อย่างเดียวที่คุณต้องลองคือ มันจะขับลำโพงของคุณออกมาได้เต็มที่หรือเปล่า.? ซึ่งกรณีนี้ ถ้าคุณสนใจ แต่ยังไม่มั่นใจ ให้โทรศัพท์ไปที่เบอร์ โทร. 083-121-4445 (บอย วัชระ) เพื่อนัดหมายให้เขายกไปทดลองขับจริงก่อนได้เลย ถ้าบ้านคุณอยู่ไม่ไกลจากถนนรัตนาธิเบตเกิน 100 กิโลเมตร ซึ่งวัชระบอกว่า บริการนี้ครอบคลุมกรุงเทพมหานคร ไปจนถึงจังหวัดใกล้เคียง อย่างเช่น อยุธยา, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, นครปฐม, ฉะเชิงเทรา และชลบุรี /
***********************
ราคา : 32,500 บาท / ตัว
***********************
ออกแบบและผลิตโดย
Absolute Audio Labs
โทร. 083-121-4445 (บอย วัชระ)



