ในบรรดาคุณสมบัติทางด้านกายภาพของเสียงทั้งหมด “ซาวนด์สเตจ” (Sound Stage) คือคุณสมบัติของเสียงที่เหล่านักเล่นเครื่องเสียงต่างก็ยอมรับกันว่าให้ความอัศจรรย์และน่าตื่นเต้นค้นหามากที่สุด และคุณสมบัติทางด้านซาวนด์สเตจนี่แหละที่ดึงดูดให้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ชอบฟังเพลง สมัครใจเดินทางเข้าสู่ถนนของ “นักเล่นเครื่องเสียง“

ภาพปกอัลบั้ม Rio After Dark เวอร์ชั่น CD

ภาพปกอัลบั้ม Rio After Dark เวอร์ชั่น SACD
Track Reference แทรคนี้มีชื่อว่า “Viola Fora De Moda” เป็นแทรคเพลงลำดับที่ 4 อยู่ในอัลบั้มชุด Rio After Dark ผลิตผลงานโดยค่ายไฮเอ็นด์ Chesky Records หมายเลขแผ่นซีดี JD28 ปัจจุบันมีเวอร์ชั่น SACD ออกมาด้วย เบอร์แผ่น SACD241 ซึ่งในเวอร์ชั่น SACD นี้มีมิกซ์เป็นระบบเสียงมัลติแชนเนลด้วย และมีให้ดาวน์โหลดซื้อในรูปของไฟล์เพลงไฮเรซฯ PCM 96/24 บนเว็บไซต์ HDtracks.com ด้วย
เนื่องจากค่าย Chesky Records เป็นค่ายเพลงที่ให้ความพิถีพิถันมาก ทั้งในกระบวนการบันทึก และทำมาสเตอร์ โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นคุณภาพของเสียงเป็นพิเศษ มากกว่าค่ายเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไป ซึ่งนักเล่นเครื่องเสียงที่ได้มีโอกาสสัมผัสผลงานของค่ายเพลงไฮเอ็นด์ฯ เหล่านี้ล้วนทราบดี
และแน่นอนว่า เพลงที่บันทึกและทำมาสเตอร์โดยค่ายเพลงไฮเอ็นด์เหล่านี้จะแสดง “ศักยภาพ” ออกมาได้ดีมาก ฉีกหนีเพลงที่บันทึก, มิกซ์ และมาสเตอร์โดยค่ายเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของรายละเอียดเสียงและซาวนด์สเตจ (หรือ เวทีเสียง) เมื่อนำไปเปิดฟังผ่านชุดเครื่องเสียงที่มีคุณภาพสูง
—————
TITLE : Viola De Moda
SINGER : Ana Caram
ALBUM : [1989] Rio After Dark (Chesky Records JD28/CD, SACD241/SACD)
เนื้อร้อง :
Ana Caram เป็นศิลปินชาวบราซิล เกิดที่เมือง Sao Paolo และเนื้อเพลงนี้ซึ่งเขียนโดย Capinan ก็เป็นภาษาบราซิล ยังไม่มีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษให้เห็น (หรือผมยังหาไม่เจอ..?) Ana Caram ก็ร้องเป็นภาษาบราซิล ซึ่งผมไม่สามารถถอดเนื้อมาให้ดูได้ ต้องขออภัย..
—————
นักดนตรี :
Ana Caram : Vocals & Guitar
Steve Sacks : Alto Flute
David Finck : Bass
Paquito D’Rivera : Saxophone, Clarinet
Cafe De Silva : Percussion
Carlos Alberto De Oliveira : Percussion
David Chesky : Piano, Producer
Bob Katz : Recording Engineer
Joe Salvatto : Assistant Engineer
—————
เสียงที่คุณจะได้ยินในแทรคนี้มีอยู่ 6 กลุ่ม ด้วยกัน นั่นคือ เสียงร้องของ Ana Caram, เสียงประสานของผู้ชาย, เสียงกีต้าร์โปร่ง, เสียงเบส, เสียงฟรุ๊ท และเสียงเครื่องเคาะหลายชนิด
แทรคนี้มีจุดสังเกตให้คุณใช้ในการฝึก ear-training ได้หลายจุดด้วยกัน จุดแรกคือใช้ฝึกฟังเพื่อแยกแยะ “รายละเอียด” ของเสียง เบสิคที่สุดก็คือให้มุ่งความสนใจในการฟังไปที่เสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ไล่ตั้งแต่ต้นแทรคไปจนจบ วิธีการให้เริ่มต้นด้วยการหาดินสอมาหนึ่งแท่งกับกระดาษเปล่ามาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็เริ่มต้นฟังตั้งแต่เริ่มต้นแทรคไปเรื่อยๆ แล้วคอยจดลงกระดาษว่า
1. คุณได้ยิน “เสียงเบส” เริ่มต้นโน๊ตแรกขึ้นตรงนาทีที่เท่าไร.?
2. เสียงเบส อยู่ทางด้านขวา หรือด้านซ้าย.?
3. คุณได้ยิน “เสียงฟรุ๊ท” เริ่มต้นโน๊ตแรกขึ้นตรงนาทีที่เท่าไร.?
4. คุณได้ยิน “เสียงรัวฉาบเบาๆ” เริ่มต้นขึ้นตรงนาทีที่เท่าไร.?
5. คุณได้ยิน “เสียงกลอง” เริ่มต้นตีขึ้นครั้งแรกตรงนาทีที่เท่าไร.?
6. เสียงประสานผู้ชาย มีทั้งหมด “กี่เสียง” เริ่มต้นขึ้นนาทีที่เท่าไหร่.?
7. เสียงประสานผู้ชาย อยู่ทางด้านไหนของเสียงร้องนำ.? ซ้าย, ขวา หรือตรงกัน.?
8. คุณได้ยิน “เสียงเขย่าโมบาย” กี่ครั้งในแทรคนี้.? เกิดขึ้นนาทีที่เท่าไหร่บ้าง.?
9. คุณได้ยิน “เสียงเขย่ากระพรวน” กี่ครั้งในแทรคนี้.? เกิดขึ้นนาทีที่เท่าไหร่บ้าง.?
ฯลฯ
ในแทรคนี้คุณจะได้ยินสารพัด “เครื่องเคาะ” (percussion) ที่ล่องลอยไปทั่วทั้งเวทีเสียง เกิดเป็นสนามเสียงที่แผ่ขยายไปทั้งทางด้านกว้างและลึก มีทั้งเคาะ, ตี, เขย่า และฟาด ซึ่งหากเทียบกับเพลงอื่นๆ ส่วนใหญ่ ที่มีเสียงเพอร์คัสชั่นเยอะๆ แบบนี้ จะพบว่า เพลงเหล่านั้นมักจะให้เสียงเพอร์คัสชั่นที่ออกไปทางแหลมมากไป โดยเฉพาะเสียงเครื่องเคาะที่ทำด้วยโลหะ โทนเสียงมักจะออกไปทางแหลมสูงและบาง ขาดมวลเนื้อ ในขณะที่แทรคนี้ไม่มีอาการแบบนั้น ซึ่งลักษณะเสียงของเครื่องเคาะในแทรคนี้ เป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์มาก แต่ละเสียงแสดงคุณสมบัติของความเป็นธรรมชาติออกมาได้อย่างชัดเจน
จุดที่สองที่ใช้ฝึกได้จากแทรคนี้ นั่นคือ ฝึกฟังคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกทรานเชี้ยนต์, สปีด, เนื้อเสียง และ ฮาร์มอนิก ของเสียงเครื่องเคาะทั้งหลาย โดยสังเกตความแตกต่างของเสียงที่เกิดจากเคาะ, ตี, ทุบ, ฟาด เครื่องเคาะแต่ละตัว ซึ่งเครื่องดนตรีประเภท percussion หรือเครื่องเคาะ–เครื่องเขย่าที่มีใช้อยู่ในแทรคนี้ประกอบกันหลากหลายประเภท แตกต่างกันทั้งรูปทรง, วัสดุที่ใช้ทำ ไปจนถึงลักษณะการกระทำของนักดนตรี percussionist ที่กระทำกับเครื่องเคาะแต่ละชิ้น ซึ่งในแทรคนี้ผู้บันทึกเสียงมือพระกาฬของค่าย Chesky Records คือ Bob Katz ได้สร้างผลงานระดับ master class เอาไว้
บ๊อบ แคทซ์ บันทึกพื้นเสียง (background) ของแทรคนี้ออกมาได้ใสและเคลียร์มาก ความหมายก็คือ ถ้าซิสเต็มของคุณมีสเปคฯ ทางด้าน S/N ratio ที่ดีพอ และคุณเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงได้ลงตัว ไม่มีเสียงก้องสะท้อนในห้องเข้ามาทำลายเสียงของแทรคนี้ คุณจะได้ยินคุณสมบัติของเสียงทั้ง 4 ด้านข้างต้นได้อย่างชัดเจน เริ่มจากฟังแล้ว (ต้อง) บอกได้ว่า เสียงเพอร์คัสชั่นแต่ละเสียงนั้น เกิดจากนักดนตรี “กระทำอย่างไร” กับเครื่องเคาะชิ้นนั้นๆ อย่างเช่น ชิ้นไหนใช้วิธีเคาะ ชิ้นไหนใช้วิธีเขย่า ชิ้นไหนใช้วิธีทุบ ตี ฟาด ซึ่งหากว่า ซิสเต็มของคุณดียิ่งขึ้นไปอีกระดับ และทั้งสภาพอะคูสติกภายในห้องกับตำแหน่งลำโพงที่คุณเซ็ตอัพไว้มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากลักษณะการกระทำแล้ว คุณยัง (ต้อง) รู้ด้วยว่า นักดนตรี “ออกแแรงกระทำ” ต่อเครื่องเคาะชิ้นนั้นๆ ไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง และในแต่ละช่วงเวลา อย่างเสียงฟาดกลองช่วงนาทีที่ 03:45 ถึง 04:10 จะได้ยินชัดเลยว่า คนที่เคาะกลองกับคนที่ฟาดกลอง พวกเขาเพิ่มน้ำหนักในการเคาะและฟาดมากขึ้น เป็นช่วงโซโล่ที่เสียงกลองดังกว่าตอนอื่น หลังนาทีที่ 04:10 ไปแล้วเขาจะผ่อนน้ำหนักในการฟาดลงไปนิดนึง ก่อนจะรักษาความแรงคงที่ระดับหนึ่งช่วงที่เครื่องเคาะชิ้นอื่นๆ ออกมาโชว์ตัว จนถึงเวลาประมาณ 05:10 ช่วงที่เสียงร้องหลักของ Ana Caram เริ่มต้นขึ้นในท่อนสุดท้ายพร้อมเสียงประสาน เสียงเคาะก็จะผ่อนเบาลงนิดนึง เปิดโอกาสให้เสียงร้องขึ้นมานำ จนจบเครื่องกระพรวนกับโมบายก็เร่งเสียงดังขึ้นมาปิดฉาก
กับซิสเต็มที่ดีพอสมควร และเซ็ตอัพทุกอย่างลงตัว ถ้าเพิ่มความสังเกตให้มากขึ้น คุณควรจะรับรู้ถึงลักษณะ “เนื้อมวล” ของเสียงแต่ละเสียงได้ โดยเฉพาะเครื่องเคาะทั้งหลาย คือฟังออกได้ชัดว่า ชิ้นไหนทำด้วยโลหะ ชิ้นไหนทำด้วยไม้ ซึ่งลักษณะของฮาร์มอนิกหรือความกังวานที่เกิดจากหางเสียงที่ทอดตัวออกไปจากตัวเสียงหลักมันมีทั้งรูปแบบของ harmonic structure และความยาวของหางเสียงที่ต่างกัน นอกจากนั้น “น้ำหนักเน้นย้ำ” ที่ต่างกัน ก็สามารถสัมผัสได้ในแต่ละครั้งของการตี เคาะ ฟาด เขย่า ถ้าซิสเต็มดีพอและเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงลงตัว /
***********************
แทรคอื่นๆ
– Walking On Sacred Ground by: Janis Ian
– Isn’t She Lovely by: Livingston Taylor
– Bird On The Wire by: Jennifer Warnes
– Angel Eyes by: Cheryl Bentyne
– Company by: Patricia Barber



